โลกธาตุ พระเจ้าสร้าง หรือ สภาวธรรม
นักปราชญ์โบราณ อธิบายโลก หรือ โลกธาตุ หรือเครื่องจักรกลธรรมชาติ ไว้ในทุกมิติ ตามแต่เรื่องราวสมัยนั้นๆให้เข้าใจกลไกอันซับซ้อน และชี้แนวทางทีจะออกจากเครื่องพันธนาการร้อยรัด ที่คติทางโลกถือว่าน่าเพลิดเพลินทั้งปวงเหล่านั้นไว้โดยละเอียดพิสดาร จากที่เคยได้อ่านมาบ้างเห็นมีอยู่หลายแนวคล้ายๆกัน เรื่องแนวธรรมแนวปรัชญาประเทศไทยมักได้รับอิทธพลแนวคิด ความเชื่อจากอินเดียโบราณ เป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพราหมณ์ พุทธ หรือคำภีร์อื่นๆ กล่าวไว้คล้ายกัน แต่มีบางท่านอธิบายให้ผมฟังว่า เรื่องราวทางฝั่งอินเดียเกิดมาหลังดินแดนสุวรรณภูมิ ดินแดนที่เคยมีพระพุทธเจ้าสามองค์อุบัติขึ้น ก่อนจะมีพระสมณโคดม เป็นองค์ที่ ๔ แต่ดินแดนล่มสลายลงไปก่อน อารยธรรมสมัยต่อมาจึงไปเกิดที่ฝั่งชพูทวีป แต่กัปป์นี้เรียกว่าภัทรกัปป์ หรือกัปป์ที่ ๑๐๖ ที่จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นถึง ๕ พระองค์
จักรวาล ๑ จักรวาล และทวีปที่อยู่อาศัยของสรรพสัตว์ |
๑. โลกธาตุ อย่างเล็ก ประกอบด้วยพันจักรวาล
๒. อย่างกลาง ประกอบด้วยล้านจักรวาล
๓.อย่างใหญ่ ประกอบด้วยแสนโกฏิจักรวาล
ซึ่งภายในแต่ละจักรวาลเหล่านี้ได้มีสรรพชีวิตต่างๆ หลายรูปแบบเกิดและอาศัยอยู่ โดยเรียกตามภาษาในสมัยโบราณ เช่น เปรต เดรัจฉาน มนุษย์ คนธรรม์ รากษส นาค ครุฑ เทวดา พรหม ฯ ที่ว่ายวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร แสดงเรื่องราว ตามกิเลสตัณหา คือ โลภ โกรธ หลงมิรู้จบสิ้นจนกว่าจะบรรลุถึงโมกษะตามคติแบบพราหมณ์ หรือถึงนิพพานตามคติแบบพุทธ) หรือจะได้พบกับพระเจ้าตามคติคริสตน์ อันแนวคิดและความเข้าใจต่อองค์ความรู้ ต่อความจริงทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ว่าสิ่งแวดล้อมในแต่ละยุคสมัย จะเปลี่ยนแปลง ไปด้วยเหตุปัจจัยอันใดในทางธรรมชาติอันบริสุทธิ์ หรือธรรมชาติประยุกต์อันประณีต หมู่นักปราชญ์ที่แท้จริงง ย่อมมีภูมิปัญญาพอที่ทะลุกำแพงกาลเวลา กำแพงธรรมใดๆได้โดยวิสัยปกติของปราชญ์ฉันนั้นแล
โลภ โกรธ หลง มาจากไหน ใครสร้าง
ศาสนาอื่น ไม่ขอกล่าวถึง
โหราศาสตร์ ว่า โลภ โกรธ หลง เป็นมาแต่พื้นดวงกำเนิด คนแต่ละคนที่เกิดมาย่อมถูกกำหนดมาแล้วแต่ชั้นใน จากดาวพระเคราะห์ที่พระศิวชุบขึ้นมาจาก ดวงวิญญานต่างๆ ทั้ง ๘ โหราศาสตร์เองก็มีหลายแนว ทฤษฎีอาจแตกต่างกันออกไป ของไทยเดิมๆ แยกจักรวาลเป็น จุลจักรวาล จักรวาล และมหาจักรวาล ทั้งดวงดาวและจักรราศี มี ๑๒ ภพ ๑๒ เรือนชะตา มี ๒ ด้านคู่กันเสมอตั้งเป็นธาตุ ดิน น้ำ ลมไฟ ตัวผู้กับตัวเมีย
ขับเข้าไปอยู่ในดวงให้เป็นเทวนพเคราะห์ทั้ง ๘ มีจริต มีโมหะมีคุณลักษณะที่ต่างกันไป เพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งทั้งด้านมืดและด้านสว่าง เป็นชั้นๆออกมา ขับเข้าไปอยู่ในรูปนาม ธาตุน้ำทำให้คิดให้มีอารมย์ ธาตุลมทำให้ตึงให้หย่อน ให้แรง ธาตุไฟทำให้เกิด ให้อยู่ ให้ดับ เกิดเป็นธาตุดินรูปนามที่จับต้องได้ ด้วยเบญจขันธ์วิญญาน เกิดเป็นเรื่องราวต่างๆมากมาย มืดกับสว่าง ดีกับชั่ว สุนทรีย์กับถ่อยเถื่อน ได้กับเสีย เจริญกับเสื่อม ฯลฯ ปรัชญาจีนเรียก หยินหยาง ซึ่งก็คล้ายๆกันอาจต่างกันบ้างเรื่องการนับธาตุ
เทวดากับอสูร
แง่มุมโหราศาสตร์
โหราศาสตร์ไม่ว่าระบบไหน มีพระราชาอยู่ ๒ องค์ คือเทพเจ้าแห่งความสว่าง มีพระอาทิตย์เป็นเจ้า กับเทพเจ้าแห่งความมืด มีพระราหูเป็นเจ้า พระราหูเองก็มีตั้ง ๘ ภาค เรียกอัฐฐคชนามเป็นเจ้าแห่งโลก เทวดาซึ่งแปลว่าผู้มีแสงสว่างย่อมเป็นบริวารของพระอาทิตย์ หรือสุริยเทพฯ พระสุริยเทพฯเป็นผู้เติมพลังความสว่างความร้อนความกล้าฯให้ ส่วนฝ่ายอสูรย่อมเป็นบริวารหรือลูกน้องของพระราหูหรืออสุรินทร์เทพฯ มีความมืดเป็นเจ้าเรือนคอยเติมความหลงใหล ใครรัก ใคร่เอา ใคร่อยากได้ อันความมืดความสว่างนั้นก็คิดได้ถึง ๙ ชั้น ความหมายชั้นลึกแสดงถึงอารมย์ทางจิต ต่อออกมาถึงระดับพลังงาน แสง สี เสียง วัตถุ บ้านเรือนเมืองและประเทศ ฉะนั้นเรื่องชั่วดีในระดับชั้นมนุษย์ จึงเป็นเรื่องปกติทางโลก เป็นพลังงานชั้นนอก ชั้นที่ 7 หรือที่ 8 เพราะโลกต้องเป็นเช่นนี้ มีสองสิ่งนี้คู่กัน หลายหลากสีสรรเป็นเช่นนี้นิรันด์
พระเคราะห์ในดวงชะตา พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสษบดี พระศุกร์ พระเสาร์ ถือเป็นเทวะนพเคราะห์ ต้องมอง ๙ ชั้น หากมีคุณสมบัติตรงข้ามไปในด้านร้ายก็ถือเป็นนพเคราะห์ที่ถูกฝ่าย อสูรครอบงำ หรืออบรม ให้เป็นไปทางไม่ดี ในทางคุณสมบัติเดิม แต่อาจเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่ง เช่นพระอาทิตย์มองแบบชั้นเดียวหมายถึงเกียรติ์ยศหากถูกราหูครอบงำให้เสีย ก็กลายเป็นคนบ้าเกียรติ์หลงเกียรติ์ โกงกิน หลอก ลวง ต้มตุนให้ได้มาซึ่งเกียรติ์นั้นๆ เป็นต้น
มองตามหลักธรรมเชิงรูปนามทั่วไป
เทวดา อันบุคคลผู้ล่วงลับจากความเป็นมนุษย์ เมื่อได้บำเพ็ญกุศลพร้อมมีหิริโอตตัปปะอย่างเต็มเปี่ยม ก็จะมีกำลังพอสามารถก้าวข้ามภูเขาสัตตบรรพต และสีทันดรมหาสมุทรได้เข้าไปอยู่ในดินแดนชั้นในอันเป็นดินแดนเทวดา ได้ตามลำดับชั้น อาจมาฝึกต่อที่ภพภูมิเทวดาที่นี่ หรือบางท่านฝึกสำเร็จมาแต่เมืองมนุษย์มาถึงนี่ก็อาจเลยไปถึงชั้นดุสิต หรือสูงกว่า
อสูร ในทำนองเดียวกัน อันบุคคลผู้ล่วงลับจากความเป็นมนุษย์ได้สร้างอกุศลธรรม ด้วยพลกำลังแก่กล้า พร้อมทั้งไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่เกรงกลัว ไม่ละอายต่อบาปไม่ฟังคำติเตือนท้วงติงจากผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้ที่ถึงพร้อมไปด้วยคุณธรรม อำนาจของบาปอกุศลก็จะนำพาให้จมลงสีทันดรมหาสมุทร ถูกกระแสน้ำลึกแห่งอารมย์ร้าย โทสะ โลภ หลง ชักพาให้เข้ามาถึงชั้นในของภูเขาพระสุเมรเช่นกัน แต่ต้องตกไปอยู่บนภูเขาสามยอดที่ชื่อตรีกูฏมหาบรรพตได้เป็นพวกเทวอสูรที่มีฤทธานุภาพ แต่เป็นเรื่องที่ตรงข้ามกับคุณธรรมแบบเทวดา
รูปวาดสมมุติที่อยู่ของเทวดาและอสูร
ย้อนกลับไปตอนเริ่มต้นของสวรรค์ แรกเริ่มก็มีเทวดาอาศัยอยู่ก่อนแล้วที่ยอดเขาพระสุเมรุ ต่อมาก็มีเทวดาจุติมาใหม่ ก่อนที่จะมาจุติบนสวรรค์ได้นั้นท่านบูรพพาจารย์ว่ามาจากการที่มฆะมาณพ แลบริวาร ได้เป็น ผู้บำเพ็ญคุณธรรมความดีงามที่เรียกว่า วัตตบท ๗ ประการ จึงได้ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ และหาอุบายไล่เทวดาเก่าออกไป แล้วจึงได้ชื่อใหม่ตั้งแต่บัดนั้น มาถึงตอนนี้ เราคิดแบบธรรมดาทั่วไปแสดงว่าเทวดาที่มาใหม่ ชั่วหรือนิสสัยไม่ดีแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนักปราชญ์คงหาทางตั้งเรื่องเพื่อให้เกิดอารมย์ ๒ ด้านขึ้นมามากกว่า
โครงสร้างโลกธาตุที่อยู่ของเทวดาและมนุษย์ในแง่มุมปปรัชญาโบราณ |
กำเนิดฝ่ายอสูร
เทวดาเก่าที่ถูกขับออกไป เพราะถูกเทวดาที่มาใหม่จับโยนลงมาจากสวรรค์ โดยการหลอกให้ดื่มจนเมามายขาดสติ แต่ด้วยบุญบารมีเก่าที่เคยสร้างไว้ในอดีต จึงได้มี วิมานและนครที่อยู่อาศัยที่ได้บังเกิดขึ้นที่ยอดเขาตรีกูฏมหาบรรพต และก็ได้มีอารมย์แค้น โกรธ อาฆาตุ พยาบาท เป็นเจ้าเรือน หยุดพัตนาจิตให้เจริญยิ่งขึ้น คงหมกมุ่นอยู่กับไฟโทสะ โมหะ และหาทางทวงคืนโดยการยกทัพขึ้นไปทำสงครามอยู่เป็นเนืองนิจ ต่อมาจึงเรียกว่าอสูร คือถือเอาตามอารมย์อันไม่สุนทรีย์ อันไม่กล้านั้น(ไม่กล้าให้ทาน ให้อภัย ให้ ฯลฯ คิดแต่จะรับ ) และก็ไม่ได้เจริญสติ ภาวนา พัตนาจิตใจ ยังติดอยู่ในวังวนแห่งความแค้นซึ่งเป็นเรื่องต่ำๆ ออกไม่ได้ มีจอมอสูรเป็นหัวหน้าชื่อท้าวท้าวสัมพรอสูร ซึ่งตอนหลังเรียกว่าท้าวเวปจิตติ เป้นจอมอสูรผู้มีจิตหวาดหวั่นอันมีเหตุจากไปรื้อศาลาและเครื่องบริขารพระฤาษีผู้ทรงฌาน แล้วถูกพระฤาษีว่ากล่าวหรือแช่งด้วยก็ไม่รู้
กำเนิดฝ่ายเทวดา
เทวดาบนชั้นดาวดึงส์จะมีอารมย์ต่างจากอสูรคือ เทวดาชั้นนี้ จะมีความสุนทรีย์ ในดนตรี ระบำรำฟ้อน และเครื่องประโลมอารมย์กามคุณทั้ง ๕ สูงสุดกว่าเทวดาชั้นอื่น แต่เหล่าเทวดาทั้งหลายชอบนิยมฟังเทศฟังธรรม ทั้งที่พระอินทร์ทรงเทศน์เอง หรือมีพระพุทธมาเทศนาโดยเฉพาะในวันพระนี่ คล้ายๆกับมนุษย์หรือผู้คนบางพวกในโลกมนุษย์สมัยปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะประเทศไทยหาดูชมได้ไม่ยาก
โดยปกติเทวดาจะมีเทวธรรม คือ ธรรมะประจำใจของเทวดา ๒ ประการคือ
มีหิริ = ความละอายต่อบาปอกุศลทุกชนิด แม้ความคิดที่ไม่ดี ก็ไม่กล้าคิด และ
มีโอตตัปปะ = มีความเกรงกลัวต่อบาป กลัวต่อผลของบาปอกุศล ไม่กล้าที่จะทำบาปอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย
เทวดาอีกอย่างตามคำศัพท์คือ ผู้กล้า ภาษาบาลีใช้คำว่า วีร (วี-ระ), สุร (สุ-ระ) หรือ สูร (สู-ระ), หรือ สุรา (สุ-รา) ที่หมายถึงผู้กล้า ผู้มีแสงสว่าง มีบางท่านนำไปแปลว่า สุระ หรือสุรา หมายเหล้าๆก็คือเทวดา เพราะพอดื่มได้ที่แล้วจะกล้า อสุรา คือไม่มีเหล้า แต่สุรา หรือสุระ แปลว่าเหล้า แปลว่ากล้า ดื่มแล้วเมาทำให้กล้า
ภาพโครงสร้างโดยรวมของโลกธาตุในอดีต สงครามมีสูงสุดแค่ชั้นดาวดึงส์เท่านั้น
สูงกว่านั้นไม่มี บุคคลผู้ใดที่ต้องการไปให้พ้นจากสงครามก็พึงฝึกตนให้สูงๆขึ้นเลยช้นนี้
ภาพข้างบน เป็นภาพจากปรัชญาโลกธาตุโบราณ ผมเองก็ไม่รู้ว่าแรกเริ่มแนวคิดนี้เริ่มมาเมื่อสมัยใด เป็นแนวคิดของพุทธหรือว่ามาจากพราหมรณ์ ยังไม่แน่ชัด ต้องมองตามภูมิรู้ครับ ผมมองในคติโลกปัจจุบันว่าเป็นการอธิบายโครงสร้างทางจิตวิญญาน บูรพาจารย์ท่านซ่อนแง่คิดต่างๆอะไรระดับไหนก็แล้วแต่ปัญญาจะไปถึงผมเขียนเท่าที่ผมรู้ โลกสมัยก่อนกับโลกสมัยนี้ ความหมายอาจต่างกัน ต้องมีพื้นฐานเรื่องธาตุ เรื่องพื้นฐานทางจิตสมัยก่่อนด้วย
สวัสดีครับ
มหาปลี จักรวาล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น