เทวดา

ต่อเนื่องจากเรื่องโลกธาตุที่ว่าในจักรวาลหนึ่งมีสวรรค์ ๖ ชั้น พรหม ๑๖ชั้น ในตอนนี้จะพาไปดูเรื่องเทวดาที่ท่านผู้รู้เขาเล่ากันมา แต่จากประสบการณ์ชีวิตจริง ผมไม่เคยเจอเทวดาแม้แต่เพียงคร้ังเดียว

ผมเคยฝันว่าเดินขึ้นสวรรค์  สุดลูกหูลูกตา
ทั้งที่อยากเจอมากขนาดก่อนนอนคิดถึงแต่เรื่องเทวดาอย่างเดียว (เคยเจอผี 3-4ครั้ง เจอพระ 2ครั้ง ในอีกโลกหนึ่งในภาวะภวังค์ครึงหลับครึ่งตื่น)หลับแล้วจะฝันสักหน่อยก็ยังไม่ได้

แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งฝันว่า ได้เดินทางขึ้น  เมืองสวรรค์ คือคนที่
ไปด้วยกันนะเขาพูดกัน   โดยมีคนเดินทางกันไปมากๆๆเลย เป็นบันไดขึ้นไป       ผมไปกับเมียและลูกขณะนั้นลูกชายผมอายุประมาณ 4 ขวบ   เป็นบันไดสีออกขาวๆกว้างพอสมควร (เหมือนในรูปซ้ายมือเป๊ะ แต่รูปนี้ผมเอาจาก เวปไซด์ใครไม่รู้ ใช้ phooto shop แต่งขึ้นมาใหม่)  โดยที่บันไดค่อยๆทอดยาวขึ้นไปบนท้องฟ้ายาวมากๆๆๆ  ลักษณะคล้ายๆคอนกรีต ขาวๆเก่าๆหน่อย ไม่มีต้นไม้หรือหญ้าขึ้นข้างทาง มีแต่เมฆหรือควันขาวๆเดินขึ้นไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เจอพระหนุ่มรูปหนึ่งรูปร่างผอมสันทัด ไม่ยอมให้ลูกชายผมขึ้นไปด้วย ผมก็ไม่ยอมจะเอาไปให้ได้ พระองค์นั้นก็ไม่ยอมเถียงกันผลักกันไปกันมาตกใจตื่นพ้น เลยไม่รู้ว่าสวรรค์จะเป็นยังไง


สำหรับเรื่องไปเมืองสวรรค์นี้ พ่อผมเคยเเล่าให้ผมฟังเมื่อครั้งผมยังเด็ก    ว่าท่านเคยฝันว่าไปมาจริงๆไปเห็นเจดีย์จุฬามณีมาด้วยท่านบอกว่าสวยงามมากๆ จนติดตาท่านเชื่อของท่านเต็ม 100ว่ามีอยู่จริง ไปดูเรื่องสวรรค์ที่ผู้รู้บอกไว้ คนบอกคนแรกก็ไม่รู้ว่าใคร บอกไว้แต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีบันทึก มีอยู่จริงเท็จประการใดน่าจะเป็นเรื่องอจินไตยจริงๆ : 

เทวดา ๖ ชั้น
ชั้นจาตุมหาราชิกา ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

๑.จาตุมหาราชิกา
นับห่างจากแผ่นดินที่เราอยู่ ขึ้นไปเบื้องบนได้ 46,000 โยชน์ ก็จะถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ตั้งอยู่บนยอดเขายุคันธร ทางทิศใต้เป็นเขาสิเนรุราช มีเมืองสวรรค์สำหรับเทวดาอยู่ 4 เมือง มีกำแพงล้อมรอบ ประดับประดาด้วยแก้ว 7 ประการ บานประตูทำด้วยแก้ว มีปราสาทอยู่เหนือประตูทุกด้าน ภายในเป็นแผ่นดินทองคำ แวววาวงดงาม แก้วที่ประดับพื้นเมือง เหยียบลงไปก็อ่อนนุ่มยุบลงเล็กน้อย แล้วก็เต็มขึ้นมาเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังมีสระน้ำ ใสยิ่งกว่าแก้ว มีดอกบัว 5 ชนิดบานอยู่ มีกลิ่นหอมมาก มีดอกไม้และต้นไม้ที่งามเลิศ มีผลไม้อร่อยยิ่งนัก ต้นไม้นี้ออกดอก ออกผลตลอดปีไม่รู้วาย


ทิศตะวันออก
เทวดาผู้เป็นใหญ่ เหนือเทวดาทั้งหลาย สถิตอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุราช ทรงนามว่า "ท้าวธตรฐมหาราช" เป็นใหญ่ปกครองเทวดาทั้งหมด ในบริเวณกำแพงจักรวาล

ทางทิศตะวันตก
เทวดาที่เป็นใหญ่ ทรงนามว่า "ท้าววิรูปักษ์มหาราช" ปกครองเหล่าครุฑและนาค รวมทั้งเหล่า เทวดาทั้งหลาย ในบริเวณกำแพงจักรวาล ด้านทิศตะวันตก

ทางทิศใต้
เทวดาผู้เป็นใหญ่ ทรงนามว่า "ท้าววิรุฬหกมหาราช" ปกครองเหล่ายักษ์ ที่ชื่อว่า "กุมภุณฑ์" รวมทั้งเหล่าเทวดาทั้งหมด ในบริเวณกำแพงจักรวาล ด้านทิศใต้

 ทางทิศเหนือ
เทวดาผู้เป็นใหญ่ทรงพระนามว่า "ท้าวไพศรพณ์มหาราช" ปกครองเหล่ายักษ์ รวมทั้งเทวยดาทั้งหมด ในบริเวณกำแพงจักรวาล ด้านทิศเหนือ

เทวดาชั้นนี้มีอายุยืนถึง 500 ปีทิพย์ ถ้าเปรียบเทียบกับมนุษย์เราได้ 9 ล้านปี มนุษย์ผู้ใดทำบุญไว้ดี ก็จะเกิดเป็นเทพยดา มีปราสาทแก้ว เงินทอง และสมบัติทิพย์มากมาย ถ้าเทวดาเกิดในที่ชายผ้าพับ ของเทวดาองค์ใด ก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกสาว ของเทวดาองค์นั้น ถ้าเทวดาเกิดเหนือที่นอน ก็นับเป็นเมียเทวดา ผู้เป็นเจ้าของวิมาน ถ้าเทวดาเกิดที่เชิงฐานบัลลังก์ ของเทวดา ก็มีฐานะเป็นสาวใช้ของเทวดานั้น ถ้าเทวดาใดทำบุญไว้น้อย ได้ไปเกิดที่ประตูประสาท หรือภายในกำแพงของเทวดาองค์ใด ก็จะมีฐานะเป็นข้ารับใช้ ของเทวดาองค์นั้น

เทวดาเมื่อไปเกิดในแดนสวรรค์นั้น มีร่างกายโตใหญ่ขึ้นทันที อีกครู่หนึ่งต่อมา ก็มีเครื่องประดับสวยงาม มีวัยเป็นหนุ่มเป็นสาวอายุ 16 และคงสภาพเช่นนี้ตลอดไป เทวดาจะมีร่างกายสะอาด บริสุทธิ์ปราศจากมลทิน ภายในกายปราศจากกลิ่นเหม็น แม้เพียงเล็กน้อย เทวดาทั้งหลายรู้จักเนรมิตกาย ให้ใหญ่โตและเล็ก ตามความประสงค์ได้ อาหารของเทวดาคือ อาหารทิพย์ การเจ็บป่วย จะไม่บังเกิดแก่เทวดาเลย มีแต่ความสุขใจตลอดเวลา

๒.ชั้นดาวดึงส์
อยู่เหนือสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาขึ้นไป ตั้งอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ เป็นที่อยู่ของพระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้งหลาย ตัวเมืองกว้างขวาง ใหญ่โตมากและด้านยาวถึง 8 ล้านวา มีปราสาทแก้ว ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว มีประตู 1,000 ประตู ทุกประตูมียอดปราสาท ทำด้วยทองประดับด้วยแก้ว 7 ประการ เวลาเปิดปิดกระตู จะมีเสียงดังไพเราะราวกับดนตรี  กลางนครดาวดึงส์ปราสาทชื่อ "ไพชยนต์ปราสาท" งดงามมากสุดจะพรรณา เป็นที่ประทับของพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่


ทางทิศตะวันออก ของนครดาวดึงส์ มีสวนทิพย์ชื่อ "นันทวัน" มีสมบัติทิพย์ และไม้ผลไม้ดอกมากมาย เป็นสถานที่เล่นสนุกสนาน สำหรับเทวดาในชั้นนี้ ด้านทิศใต้ของนครดาวดึงส์ มีสวนอุทยานใหญ่ชื่อ "ผารุสกวัน" ต้นไม้อยู่ในสวนนี้ มีลักษณะอ่อนค้อม ราวกับมีผู้ดัดไว้ ทางทิศตะวันตกของนครดาวดึงส์ มีอุทยานใหญ่อีกแห่งหนึ่ง เป็นที่เล่นสนุกสนานถูกใจเทวดาทั้งหลาย ชื่อว่า "จิตรลดา" ต้นไม้และเถาวัลย์ในสวนนี้ สวยงามราวกับมีผู้แต่งประดับไว้ ทางทิศเหนือของนครดาวดึงส์ มีอุทยานใหญ่ชื่อ "มิสสกวัน"

ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของนครดาวดึงส์ มีสวนใหญ่ชื่อ "มหาพน" เป็นสวนสนุกเพลิดเพลิน กำแพงล้อมรอบเป็นทองคำ มีปราสาทแก้วอยู่เหนือประตูทุกแห่ง ปราสาททองคำ 1,000 หลัง
ประดับด้วยแก้ว 7 ประการ มีสระแก้วงดงามมาก ใต้พื้นสระมีแท่นแก้ว อยู่ในรถไพชยนต์ แท่นแก้วมีกลดแก้วกางอยู่ กว้างหนึ่งโยชน์ หัวรถไพชยนต์มีม้าแก้ว 2,000 ตัว มีสร้อยมุกดาห้อยประดับ พร้อมทั้งมาลัยดอกไม้ทิพย์ แล้วแก้วทองห้อยประดับอยู่มากมาย อีกทั้งมีสระไบแก้ว และกระพรวนทอง มีรัศมีงดงาม เวลาลมพัดจะได้ยินเสียงดังก้อง ราวเสียงพิณพาทย์



คลิปโลกธาตุน่าดู ทำได้สวยงามดีครับ


ที่เขาพระสุเมรุนั้น มีช้างตัวหนึ่งชื่อ "ไอยราพต" ช้างตัวนี้ไม่ใช่สัตว์เดรัจาฉาน เพราะในเมืองสวรรค์ ไม่มีสัตว์เดรัจฉานอยู่เลย มีเทวดาองค์หนึ่งชื่อ "เอราวัณเทวบุตร" ยามเมื่อพระอินทร์เสด็จไปเล่นที่ใดก็ตาม เอราวัณเทวบุตรก็จะเนรมิตรตัว เป็นช้างเผือกเชือกใหญ่สูง หนึ่งล้านสองแสนวา มีเศียร 33 เศียร มีเศียรเล็กๆ อีก 2 เศียร ใหญ่ที่สุดตรงกลางชื่อ "สุทัศน์" เป็นที่ประทับของพระอินทร์ มีปราสาทตั้งอยู่ตรงกลาง มีพรวนทองคำห้อยประดับกวัดแกว่งไปมา เศียรข้างทั้ง 33 เศียรนั้น แต่ละเศียรมีงา 7 งา งาแต่ละอันมีสระ 7 สระ แต่ละสระมีกอบัว 7 กอ บัวแต่ละกอมี 7 ดอก ดอกบัวแต่ละดอกมี 7 กลีบ แต่ละกลีบมีนางฟ้ายืนรำ 7 คน นางฟ้าแต่ละคนมีสาวใช้ 7 นาง เมื่อใดที่พระอินทร์เสด็จประทับเหนือแท่นแก้ว ในหัวช้างเอราวัณนั้น มเหสีทั้ง 4 องค์ของพระอินทร์ ต้องเสด็จตามไปเฝ้าอยู่เสมอ ได้แก่ นางสุธัมมา นางสุชาดา นางสุนันทา และนางสุจิตรา นอกจากนี้ ยังมีนางฟ้าที่เป็นมเหสีอีก 92 องค์ และมีเทพธิดาที่บรรเลงดนตรี ถวายพระอินทร์อีกมากมาย เสียงดนตรีที่ปรากฏบนสวรรค์ ไพเราะเพราะพริ้งยิ่งนัก และมีความมหัศจรรย์มาก เครื่องดนตรีทุกชนิด ไม่ว่าพิณ กลอง สังข์ บัณเฑาะว์ ปี่ สามารถดังขึ้นมาเองได้ หากมีผู้บรรเลงดนตรีชนิดใดขึ้นมา เครื่องดนตรีชนิดเดียวกันนั้น อีกหกหมื่นชิ้นก็จะบรรเลงได้เอง

ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของนครดาวดึงส์นี้ มีพระเจดีย์องค์หนึ่งชื่อ "พระจุฬามณีเจดีย์" รุ่งเรืองงามประดับด้วยแก้วอินทนิล ตั้งแต่กลางยอดเจดีย์ ไปจนถึงยอดเป็นทอง ประดับด้วยแก้ว 7 ประการ สูง 80,000 วา มีกำแพงล้อมรอบ มีธงปฎากและธงชัย เทวดาทั้งหลาย ก็ถือเครื่องดีดสีตีเป่าต่างๆ มาบรรเลงบูชาถวายพระเจดีย์ทุกวัน มิได้ขาด พระอินทร์เสด็จไปนมัสการพระเจดีย์ พร้อมด้วยหมู่เทพยดา และนางฟ้าทั้งหลาย ทรงนำข้างตอกดอกไม้ ธูปเทียน ของหอมและชวาลาทั้งหลาย ถวายแก่องค์พระเจดีย์มิได้ขาด


นอกเมืองดาวดึงส์นี้ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีอุทยานชื่อ "บุณฑริกวัน" มีกำแพงล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน มีปราสาทแก้วอยู่เหนือประตูทุกๆ ประตู มีต้นทองหลางใหญ่ชื่อ "ปาริชาติ กัลปพฤกษ์" ใต้ต้นไม้นี้มีแท่นศิลาแก้วสีแดงเข้ม อ่อนนุ่มราวกันฟูกและหมอน ใกล้ต้นปาริชาตินั้น มีศาลาใหญ่ชื่อ "สุธรรมาเทวสภาคยศาลา" งามยิ่งกว่าศาลาอื่นๆ พื้นศาลาเป็นแก้ว 7 ประการ มีกำแพงล้อมรอบ มีดอกไม้ชนิดหนึ่งชื่อ "อาสาพตี" มีกลิ่นหอมมาก ดอกไม้นี้บานช้ามาก เวลา 1 พันปีจึงจะบาน เมื่อดอกบานทั่วทุกกิ่งก้านแล้ว จะมีแสงรุ่งเรืองมาก ที่ศาลานั้นมีราชอาสน์ทิพย์ของพระอินทร์ อีกทั้งที่นั่งของเทวดาทั้ง 32 องค์ ที่เคยได้กระทำบุญร่วมกับพระอินทร์ ในปางก่อน และยังมีที่นั่งของเทวดาทั้งหลาย เรียงกันตามลำดับ

พระอินทร์เสด็จไปในสุธรรมาเทวสภาคยศาลา เพื่อให้เทวดาทั้งหลาย มาชุมนุนกันในที่นั้น เมื่อใดเทวดาทั้งหลาย ต้องการจะฟังธรรม ก็จะมีพรหมองค์หนึ่งชื่อ "สนังกุมาร" ลงมาจากพรหมโลก เนรมิตตนเป็นคนธรรพ์ชื่อ "ปัญจสิงขร" ปัญจสิงขรคนธรรพ์ จะขึ้นนั่งเหนือธรรมาสน์เพื่อเทศนาธรรม หากว่าพรหมสนังกุมาร ไม่มาเทศนาธรรมให้เทวดาทั้งหลายฟัง บางครั้งเทวดาในสวรรค์ ที่เป็นผู้รู้ธรรมก็จะ
ได้รับเชิญ ให้ขึ้นเทศนาธรรมในที่นั้น ในบางครั้งพระอินทร์ ก็ทรงขึ้นธรรมาสน์เทศนาธรรมเอง เมื่อใดพระอินทร์ทรงเทศนาธรรม ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ก็จะพาบริวารไปเฝ้าทั้ง 4 ทิศ และหมู่คนธรรพ์ ก็จะนำเครื่องดนตีทั้งหลาย มาบรรเลงร่ายรำกัน อยู่ที่ปลายเขากำแพงจจักรวาลทั้ง 4 ด้าน

ยังมีปราสาทแก้ว ปราสาททองอีกมากมาย อันเป็นวิมานของเทวดาทั้งหลาย อยู่ในอากาศสูงเทียมเท่าเขาพระสุเมรุ เทวดาทั้งหลายนี้มีอายุยืนถึง 1,000 ปีทิพย์ หรือ 36 ล้านปี ในเมืองมนุษย์ สมบัติและยศศักดิ์ทั้งหลายของพระอินทร์ และเหล่าเทวดาที่ได้มานั้น เพราะได้กระทำบุญกุศลธรรมมาแต่ก่อน ผู้ใดปรารถนาจะได้ไปเกิดในเมืองสวรรค์ อย่าได้ประมาทลืมตน ควรเร่งขวนขวายทำบุญกุศล ให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ดูแลบิดามารดา ผู้เฒ่าผู้แก่ ครูอาจารย์ และสมณพราหม์ผู้ทรงศีล ก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนี้


๓.ชั้นยามา
นับจากดาวดึงส์สวรรค์ขึ้นไป 84,000 โยชน์ ก็จะถึงสวรรค์ชั้นยามา เทวดาที่อยู่ในสวรรค์ชั้นนี้ จะมีปราสาทแก้ว ปราสาททองเป็นวิมาน มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีสวนอุทยานแก้ว และมีสระโบกขรณี เทวดาทั้งหลาย ที่หน้าตารุ่งเรืองงดงามยิ่งนัก กายสูง 8,000 วา "พระสุยามเทวราช" เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นนี้ ในชั้นฟ้านี้ไม่มีแสงอาทิตย์เลย เพราะอยู่สูงกว่าพระอาทิตย์มากนัก เทวดาทั้งหลายมองเห็นได้ด้วย แสงรัศมีจากแก้วทั้งหลาย และรัศมีจากตัวเทวดานั่นเอง ส่วนจะรู้เช้าหรือค่ำได้ ก็อาศัยดูจากดอกไม้ทิพย์ ถ้าเห็นดอกไม้ทิพย์บาน จึงรู้ว่ารุ่งเช้า ถ้าเห็นดอกไม้นั่นหุบ จึงรู้ว่าเป็นยามกลางคืน อายุเทวดาในชั้นนี้ยืนถึง 2,000 ปีทิพย์ หรือ หนึ่งร้อยสี่สิบสี่ล้านปี ในเมืองมนุษย์

๔.ชั้นดุสิต
นับจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไปอีก 18,000 โยชน์ จึงจะถึงสวรรค์ชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นนี้มีวิมานเป็นปราสาทแก้ว และปราสาททอง มีกำแพงแก้วล้อมรอบ ไม่ว่าจะเป็นความกว้าง ความสูง  ความงาม มีมากกว่าปราสาทของเทวดาทั้งหลาย ในสวรรค์ชั้นยามาทั้งสิ้น มีสระและสวนเช่นในสวรรค์ชั้นฟ้าทั้งหลาย เทวดาผู้เป็นใหญ่ชั้นนี้คือ "พระสันตุสิตเทพยราช" เทวดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ รู้บุญรู้ธรรม แม้แต่พระโพธิสัตว์ ผู้สร้างสมบารมี ก่อนจะเสด็จลงมาเป็นพระพุทธเจ้า ก็สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นนี้บนสวรรค์ชั้นนี้มีเทพเจ้าสำคัญๆ ได้แก่ สิริมหามายาเทพเจ้า ก็คือพระนางสิริมหามายา ซึ่งเป็นพุทธมารดา เมื่อประสูติพระพุทธเจ้าได้ 7 วันก็สวรรคต


แล้วมาเกิดเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงกระทำยมกปาฏิหารย์ทรมาน เดียรถีย์นิครนถ์เสร็จแล้ว ได้รำลึกถึงพระมารดาจึงได้เสด็จขึ้นมาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ประทับเหนือแท่นบัณฑุกัมพลใต้ต้นปาริชาติ ฝ่ายพระอินทร์พอทราบข่าวก็ได้ป่าวประกาศให้เทวดาทั้งหลายไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธองค์ทอดพระเนตรเทวดาเหล่านั้นแล้วไม่เห็นพระชนนีก็ได้ตรัสถามพระอินทร์ พระอินทร์จึงทรงทราบว่าพระพุทธองค์คงมีพระประสงค์จะเทศนาโปรดพุทธมารดาให้บรรลุพระอริมรรคอริยผล จึงเสด็จไปทูลเชิญสิริมหามายาเทพบุตรลงมายังดาวดึงส์ พระพุทธองค์ได้เทศนาพระสัตตปกรณาภิธรรมทั้งเจ็ดพระคัมภีร์ เสร็จแล้วสิริมหามายาเทพบุตรก็ได้สำเร็จพระโสดาบัตติผล)พระโพธิสัตว์บนสวรรค์ชั้นดุสิตนี้เป็นที่ประทับของพระโพธิสัตว์ที่รอคอยโอกาสที่จะเสด็จลงมาบนโลก

พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็เคยประทับอยู่ก่อนที่จะมาจุติลงบนโลกมนุษย์ เมื่อทรงประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตพระองค์นามว่า พระเสตุเกตุเทพบุตรและได้จุติบนโลกเมื่อเหล่าเทวดาไปทูลอาราธนา พระศรีอาริยเมตไตรย พระโพธิสัตว์องค์สุดท้ายในภัทรกัป ขณะนี้ประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตรอเวลาที่จะจุติมาบนโลก เพื่อจะตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า มีคำทำนายว่าจะมาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีพระนามว่า อชิต (ผู้ที่ไม่พ่ายแพ้ )

ขณะนี้พระศรีอาริยเมตไตรย ผู้จะเสด็จลงมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในภัทรกัป ก็สถิตอยู่ที่สวรรค์ชั้นนี้ และเทศนาธรรมให้เทวดาทั้งหลายฟัง อยู่ทุกเมื่อมิได้ขาด อายุของเทวดาในชั้นนี้ มีอายุยืนถึง 4,000 ปีทิพย์ หรือ ห้าร้อยเจ็ดสิบหกล้านปี ในเมืองมนุษย์


๕.ชั้นนิมานรดี
นับจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป 336,000 โยชน์ ก็ถึงสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ซึ่งมีปราสาทแก้วปราสาททอง มีกำแพงแก้ว กำแพงทอง มีแผ่นดินเป็นทองราบเรียบ และมีสระน้ำสวนแก้ว เหมือนสวรรค์ชั้นดุสิตทุกประการ แต่งามขึ้นไปอีก นิมมานรดีภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นที่เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าที่มีความยินดีด้วยกามคุณที่ตนเองนิรมิตขึ้น สวรรค์ชั้นนี้มีสมเด็จพระนิมมิตเทวราชเป็นผู้ปกครอง บนสวรรค์ชั้นนี้มีปราสาท มีสระ และสำราญทั้งหลายของเทวดา ประณีตงดงามเท่าสวรรค์ชั้นดุสิต เทวดาในสวรรค์ชั้นนี้ถ้ามีปรารถนาที่จะได้สิ่งใดก็สามารถที่จะนิรมิตเองได้ทุกสิ่ง เทวดาชั้นนี้มีอายุยืนได้ 8,000 ปีทิพย์ หรือ สองพันสามร้อยสี่ล้านปี ในเมืองมนุษย์


๖.ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
หนือขึ้นไปจากสวรรค์ ชั้นนิมมานรดี 672,000 โยชน์ ก็จะถึงสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี สวรรค์ชั้นนี้ประเสริฐด้วยสุขสมบัติ มากยิ่งไปกว่าสวรรค์ชั้นต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว หากว่าปรารถนาจะได้ สรรพทิพย์อาหารใดๆ ก็จะมีเทวดาองค์อื่นๆ มาเนรมิตให้ดั่งใจปรารถนา เทวดาในชั้นนี้สูงถึง 64,000 วา เทพยดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นนี้ชื่อว่า "พระปรนิมมิตวสวัตตีเทวราช" เป็นใหญ่เหนือเทวดาทั้งหลายฝ่ายหนึ่ง และ "พระยามาราธิราช" เป็นใหญ่ในหมู่มารทั้งหลายฝ่ายหนึ่ง ในชั้นนี้จึงมีผู้เป็นใหญ่ 2 องค์ ไม่เคยไปหากันเลย สวรรค์ทุกชั้นมีอาณาเขต จดขอบแดนจักรวาล อายุของเทวดา ในสวรรค์ชั้นนี้ยืนได้ 16,000 ปีทิพย์ หรือ แปดพันสองร้อยสิบหกล้านปี ในเมืองมนุษย์

เทวดาทั้งหลายจะสิ้นอายุ จากเมืองฟ้านั้นเป็นไปได้ 4 ประการ คือ

1. อายุขยะ สิ้นชีวิตตามอายุในสวรรค์ชั้นนั้น
2. บุญญขยะ สิ้นชีวิตก่อนถึงกำหนดอายุในสวรรค์ชั้นนั้น
3. อาหารขยะ สิ้นชีวิตเพราะสนุกจนลืมกินอาหาร
4. โกรธขยะ สิ้นชีวิตเพราะความโกรธ เมื่อเทพยดาโกรธ หัวใจจะกลายเป็นไฟไหม้ตนเอง

เทวดาทั้งหลาย แม้ว่าเสวยอาหารแล้ว ก็จะไม่มีลามกอาจม เหมือนที่มนุษย์เรามีเลย เมื่อเวลาที่เทวดาจุติจากสวรรค์นั้น ร่างกายก็จะหายไปเลย ถ้าเทวดาผู้มีบุญนั้น ก่อนจะจุติ 7 วัน จะเห็นนิมิต 5 ประการ คือ

1. เห็นดอกไม้ในวิมานของตนเหี่ยว และไม่หอม
2. ผ้าที่ทรงดูหม่นหมอง
3. อยู่ไม่เป็นสุข มีเหงื่อไคลออกจากรักแร้
4. อาสนะร้อนและแข็งกระด้าง
5. กายของเทพยดานั้นเหี่ยวแห้ง เศร้าหมอง ไม่มีรัศมี

แม้ว่าเทวดาทั้งหลาย จะมีความสุขสมบัติปานใดก็ดี ก็ยังหมดสิ้นจากความสุข และสมบัติต่างๆ ลงได้ ฉะนั้นมนุษย์เราทั้งหลาย จะยึดมั่นในสมบัติ หรืออายุของตนได้อย่างไร เหตุฉะนี้พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายก็ดี จึงไม่ปรารถนาในสุขสมบัติ ในสังสารวัฏนี้ ท่านจึงเสด็จเข้าสู่นิพพานสมบัติ เพราะเหตุนี้เอง การจะเกิดมาได้สุขสมบัติ ในเทวโลกก็ดี มนุษย์โลกก็ดี ก็เพราะได้กระทำบุญมาก่อน รวมทั้งเหตุ 3 ประการ คือ อโลโภเหตุ (ไม่โลภอยากได้ทรัพย์สินของผู้อื่น) อโทโสเหตุ
 (ไม่โกรธแค้นกล่าวโทษ หรือริษยาผู้อื่น) อโมโหเหตุ (ไม่หลง ไม่กระทำบาป ทำแต่บุญ) เหตุทั้ง 3 ประการนี้จะทำให้มียศศักดิ์ และสุขสมบัติ ได้กล่าวสวรรค์ในฉกามาพจรภูมิ โดยสังเขปแต่เพียงเท่านี้

                                              ตำนานเมืองสวรรค์วัดเขาไกรลาส

คนธรรพ์

คนธรรพ์  คือ ใคร ?  ในตำนานเรืองโลกธาตุโบราณกล่าวถึงชีวิตยุคโบราณไว้ในมิติที่ต่างจากปัจจุบันเช่นมี  พรหม  เทวดา  อสูร ยักษ์  วิทยาธร คนธรรพ์ ครุฑ นาค กินนร  กินนรี ฯลฯ ตอนนี้จะมาดูเรื่อง คนธรรพ์  ที่พอหามาบอกเล่าได้ครับ   
คนธรรพ์ดีดดพิณ

คนธรรพ์  พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายว่า เป็นชาวสวรรค์พวกหนึ่ง เป็นบริวารท้าวธตรฐ    มีความชํานาญในวิชาดนตรีและขับร้อง   คนธรรพ์ มีแต่เพศชาย คู่กับ อัปสระ หรืออัปสร ซึ่งเป็นเพศหญิงล้วน และเป็นชาวสวรรค์เช่นกัน   คนธรรพ์มีกำเนิดต่างจากกับอัปสรซึ่งเกิดเมื่อครั้งกวนเกษียรสมุทร ส่วนกำเนิดคนธรรพ์นั้น    มีแต่ตำนานพระพุทธศาสนาที่ว่าเกิดจากต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม

ในหมู่คนธรรพ์แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ คนธรรพ์ชั้นสูง มีวิมาน อยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เช่น ปัญจสิขเทพบุตร มีเทพธิดาประจำอยู่ในวิมาน, คนธรรพ์ชั้นกลาง เกิดอยู่ในป่าหิมพานต์ มีวิมานอยู่ในต้นไม้ และเป็นบริวารของคนธรรพ์ชั้นสูง และคนธรรพ์ชั้นล่างอยู่บนพื้นมนุษย์ สิงอยู่ในต้นไม้จำพวก ไม้หอม เช่น นางตะเคียน นางตานี เป็นต้น ส่วนคน ธรรพ์ที่เป็นหัวหน้าของเหล่าคนธรรพ์ เรียกว่า ประคนธรรพ์ หรือประคนธรรพ หรือประโคนธรรพ์ หรือประโคนธรรพ


ภาพคนธรรพ์บรรเลง ภาพจากจิตรกรรมชาวภาษาตากใบ จิตรกร ศักยภาพ วงษ์จินดา 

คนธรรพ์มีความถนัดในการดนตรี การละคร ระบำรำฟ้อน ศิลปะ วรรณกรรม กวีนิพนธ์ เมื่อมีเทวสมาคมครั้งใด คนธรรพ์มักทำหน้าที่ขับกล่อม ให้ความสำราญแก่หมู่ทวยเทพทั้งหลาย คนธรรพ์นี้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ทำบุญเจือด้วยกามคุณ

ในวงการดนตรีไทย ยกย่องพระประคนธรรพว่าคือครูตะโพน และตะโพนทุกๆ ใบคือตัวแทนของท่าน ที่อาจมีสาเหตุเกี่ยวเนื่องมาจากพระประคนธรรพเป็นประธานควบคุมการบรรเลงเพลงสาธุการ ซึ่งมีเรื่องที่เล่าว่า


เก็บเล็กผสมน้อยเรื่องคนธรรพ์

เมื่อแรกที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ท้าวผกาพรหมได้ท้าประลองฤทธิ์ด้วย โดยให้ผลัดกันซ่อนตัวแล้วให้อีกฝ่ายค้นหา ท้าวผกาพรหมเป็นฝ่ายซ่อนก่อน เนรมิตกายเป็นละอองธุลีแล้วหลบลงไปซ่อนอยู่ในก้นสมุทรที่ดำมืด แต่ก็ไม่อาจหลบพ้นข่ายพระญานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ครั้นถึงคราวที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นฝ่ายซ่อนบ้าง ทรงเนรมิตพระวรกายให้ย่อเล็กลงเท่าละอองธุลีเช่นเดียวกัน แต่เสด็จขึ้นไปประทับซ่อนอยู่ในมุ่นมวยผม บนเศียรของท้าวผกาพรหมซึ่ง ใช้ทิพยเนตรมองค้นหาจนตลอด ทั่วทั้งไตรภพก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้ ต้องยอมแพ้ พระพุทธเจ้าจึงแสดงพระองค์ให้รู้ว่าประทับอยู่บนมวยผมของท้าวผกาพรหมนั่นเอง

ท้าวผกาพรหมจึงอัญเชิญ ให้เสด็จลงมาจากมุ่นมวยผม ทูลอยู่หลายครั้ง ก็ยังทรงนิ่งเฉยอยู่ จน เมื่อเหล่าคนธรรพ์พากันประโคมบรรเลงเพลงสาธุการขึ้น จึงได้เสด็จลงมา ดังนั้น ในเวลาต่อมาเพลงสาธุการจึงกลายเป็นเพลงที่ใช้ประโคมบรรเลงในพิธีเพื่ออัญเชิญองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเฉพาะ และเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่เริ่มบรรเลงเพลงสาธุการก่อนเครื่องดนตรีชนิดอื่นก็คือตะโพน นักดนตรีไทยจึงถือว่าตะโพนเป็นเครื่องดนตรีศักดิ์สิทธิ์ เป็นตัวแทนของพระประคนธรรพที่บรรเลงประโคมเพลงสาธุการ

นเรื่องโลกธาตุทางจีนสายพุทธก็มีตำนานโลกธาตุ คล้ายๆกับของไทย      แต่ไม่ทราบว่ารับอิทธิพลมาจากอินเดียด้วยหรือเปล่า  มีเรื่องราวเกี่ยวกับคนธรรพ์อยู่ด้วย ค้นหาเรื่องราวได้นิดๆหน่อย มีรูปปั้นด้วยผมเจอจากเวปไซด์หนึ่งตามลิงค์ข้างล่างครับ

โลกธาตุตามคติจีนก็มีคนธรรพ์ครับ ภาพจากไซด์
http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=edat&topic=606


ท้าวธตรัฐมหาราช หรือ ทิก๊กเทียนอ๋อง
ท้าวธตรัฐมหาราช
หรือ ทิก๊กเทียนอ๋อง
เจ้าแห่งคนธรรพ์ ปกครองทิศบูรพา (ตะวันออก)ประจำฤดูร้อน ทรงถือ พิณ เป็นราชาแห่งฝูงคนธรรพ์เป็นผู้ดีดพิณถวายเตือนพระสติพระโพธิสัตว์ในคราวบำเพ็ญทุกขกิริยา ให้หันมาตั้งมั่นในมัชฌิมาปฏิปทา

ซึ่งในคติเบตท้าวธตรฐเป็นเทพเจ้าแห่งความร่าเริง เพราะมีของวิเศษเป็นพิณที่ดีด และเพลงที่เล่นนั้นเป็นเพลงแห่งความสุขกล่อมปวงประชา .....


ในภาพยนต์จีนที่โด่งดังเรื่อง ๘ เทพอสูรมังกรฟ้า    ก็มีคนธรรพ์ เป็น ๑ ในเทพฯเหล่านั้น   คนธรรพ์ คือ ต้วนอี้-ผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร เพียงหลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เหมือนกับซีจุ๊-หลวงจีนที่ทำผิดวินัยสงฆ์โดยไม่ตั้งใจ     ต่อมาได้เป็นราชบุตรเขยของอาณาจักรซี่เซี่ย
จะเห็นว่าในคติพุทธ - พราหมณ์ นั้น จะมีเรื่องของคนธรรพ์บันทึกไว้ทั่วทุกภูมิภาคทุกชนชาติ          
ประวัติคนธรรพ์
ในคติพราหมณ์ตามตำนานเล่าว่า   พระประคนธรรพมีกำเนิดมาจากพระนลาฏ (หน้าผาก) ของพระพรหมผู้สร้างโลก พระพรหมสร้างพระประคนธรรพให้จุติเป็นคนธรรพ และต่อมาได้กลายมาเป็นเทวะฤๅษี มีนามว่า พระนารทมุนี คือเทวดาที่บำเพ็ญตนเป็นฤๅษี     ทำให้เหล่าคนธรรพให้ความเคารพและยำเกรงพระนารทมุนี หรือพระประคนธรรพเป็นอย่างมาก

วรรณคดีอีกเรื่องที่เล่าถึงคนธรรพ์คือเรื่อง กากี ซึ่งได้เค้าเรื่องมาจากกากาติชาดก มี ๓ สำนวน คือ บทเห่กล่อมพระบรรทม ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศ บทมโหรีเรื่องกากี ของเจ้า พระยาพระคลัง และบทเห่กล่อมบรรทมเรื่องกากี ของสุนทรภู่ เรื่องกากีมีตัวละครเอกตัวหนึ่งเป็นคนธรรพ์ ซึ่งเก่งทางด้านดนตรีและการขับร้อง รับใช้ท้าวพรหมทัต แปลงตัวเป็นไรแทรกขนพญาครุฑไปยังวิมานฉิมพลี และได้เป็นชู้คนหนึ่งของนางกากี


                คนธรรพ์ที่มนุษย์ทั้งหลายรู้จักกันดีก็คือ ปัญจสิขร ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการดีดพิณ

เมื่อครั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จกลับจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากที่ทรงแสดงธรรมโปรดพระมารดาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระอินทร์จึงเนรมิตบันไดทองคำถวายและมีปัญจสิขรผู้นี้เป็นผู้ดีดพิณขับร้องถวายพระพรนำเสด็จลงมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงและสำเนียงอันไพเราะหนักหนา เป็นที่โจทก์ขานกันมาตราบจนกระทั่งทุกวันนี้

ภาพจาก...http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=thammakittakon&date=31-07-2009&group=20&gblog=9


ส่วนคำว่า คนธรรพวิวาห์    หมายถึง การได้เสียเป็นผัวเมียกันเองโดยไม่แต่งงาน      โดยปรกติเมื่อคนธรรพ์รักชอบนางใดก็จะอยู่ด้วยกันโดยไม่จัดพิธีแต่งงาน จึงเกิดแบบอย่างที่เรียกว่า คนธรรพวิวาห์ คือได้เสียกันเอง   คนวรรณะกษัตริย์ก็แต่งงานแบบคนธรรพวิวาห์โดยไม่ถือว่าผิดธรรมเนียม  บางท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่า คนธรรพศาสตร์  คนธรรพศาสตร์หมายถึงวิชาดนตรีและขับร้อง และใพจนานุกรมศัพท์วรรณกรรมไทย อธิบายว่า เนื่องจากคนธรรพ์เชี่ยวชาญทางด้านดนตรีและการขับร้องจึงเรียกศาสตร์ด้านนี้ว่าคันธรรพศาสตร์ ส่วนวิชาของคนธรรพ์ที่เรียกว่า คันธรรพเวท นั้น เป็นภาคผนวกของสามเวท ซึ่งเป็น ๑ ในพระเวททั้ง ๔ อันเป็นตำราศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู      วิชาคันธรรพพระเวทประกอบด้วยเรื่องเกี่ยวกับดนตรี เพลง ละคร และการร่ายรำ.


เรื่องเล่าจากหลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ จ.กระบ๊่ เรื่องคนธรรพ์
จากไซด์นี้ http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=15476

ถ้ำคนธรรพ์เป็นถ้ำที่ความมหัศจรรย์ ตอนที่พระอาจารย์จำเนียรได้ไปสำรวจในคราวแรก ปากถ้ำลอดเข้าไปได้ แต่มันเป็นแอ่งน้ำย้อยลึกลงไป เมื่อเอาไฟฉายส่องเข้าไปก็เห็นหินย้อยสวยงามมาก    วันนั้นที่ปากถ้ำ  พระอาจารย์จำเนียรได้พบผู้ชายนุ่งกางเกงตัวเดียวไม่ใส่เสื้อ ร่างสันทัด ผิวคล้ำ ตาคม


ท่าทางบ๊องๆ ทีแรกคิดว่าเป็นชายสติแตก “ท่านมาทำไม เสียงร้องถามของชายคนนั้น”   “เข้ามาสำรวจที่นี่โยมอยู่ไหน”  “อยู่ที่นี่แหละ” เขาตอบพลางชี้มือเข้าไปในป่า แล้วถามขึ้นอีก” “ท่านอยากเข้าไปดูสมบัติโบราณในถ้ำนี้ไหม”

สมัยที่มีการสร้าง พระบรมธาตุมหาเจดีย์ ที่นครศรีธรรมราช ผู้คนได้เอาพระพุทธรูปได้เอาพระพุทธรูปเงินทอง เพชรนิลจินดาจำนวนมากใส่เรือมาหลายลำ ขณะเดินเรือในทะเลเจอพายุใหญ่ไม่สามารถเดินเรือต่อไปได้ ได้แวะเข้าไปจอดที่อ่าวลูกธนูและขนเอาสมบัติทั้งหมดซ้อนในนี้ มหาสมบัติโบราณได้ถูกซ้อนไว้ตามหลืบหินด้านบน กาลเวลาทำให้หินย้อยลงมาปิดบังมหาสมบัติเอาไว้ ส่วนข้างล่างก็มีบ้างที่หินงอกทับถมไว้ หากเอาหินงอกหินย้อยออกจะพบมหาสมบัติของโบราณ

“ท่านขึ้นหลังผมสิ ผมจะพาไปดูสมบัติ” แต่พระอาจารย์จำเนียรปฏิเสธ “เป็นพระสงฆ์ขี่หลังโยมได้รึ ไม่เอาหรอก น่าเกลียด” “เจ้าคนนี้สงสัยสติไม่ดีแน่ ท่าทางไม่น่าไว้ใจ สงสัยเป็นพวกค้นหาสมบัติตามถ้ำ แต่คงกลัวปู่โสมเฝ้าทรัพย์ จึงคิดอาศัยบารมีพระแน่ๆเลย”

หลายวันต่อมา พระอาจารย์จำเนียรได้มาถ้ำเสืออีก เพื่อสำรวจป่าเขาสำเนาไพร่ย่านนั้นให้ทั่วถึง ตรงที่เป็นทางขึ้นสูงๆ ก็ช่วยๆกันเอาเชือกมาผูกไม้ทำบันไดขึ้นไปชั่วคราว พอขึ้นไปบนปากถ้ำนั้น (ตอนนั้นยังไม่ได้ชื่อว่าถ้ำคนธรรพ์)ก็พบผู้ชายผู้นั้นอีก

“เอ๊ะ เจ้าคนนี้ทำไมมายืนตรงนี้อีก หรือจะหาหนทางเขาไปลักสมบัติโบราณในถ้ำ พระอาจารย์จำเนียรนึกในใจด้วยความแปลกใจ”   หลังจากที่บอกเขาว่า บ้านเขาอยู่ในป่าแถวๆนี้ และย้อนมาดูอะไรๆแถวนี้อยู่เสมอ เขาก็ยังชวนพระอาจารย์จำเนียรเข้าไปเยี่ยมชมสมบัติโบราณในถ้ำคนธรรพ์อีกพระอาจารย์จำเนียรและลูกศิษย์ยังไม่กล้าเข้าไปดูเพราะเกรงว่าในซอกหลืบหรือรูถ้ำอาจจะมีงูเหลือม งูพิษร้าย ตลอดจนเสือโคร่ง เสือดาว หากเจอเข้าอย่างจังอาจจะเป็นอันตรายได้ ขณะที่ยืนคุยกับชายลึกลับอยู่นี้แสงแดดแจ่มจ้าเห็นหน้าตาชัดเจนว่า เป็นคนจริงๆ ไม่ใช่ภาพลวงตา พูดจากันรู้เรื่องทุกถ้อยคำ

พระอาจารย์จำเนียรได้บอกชายคนนี้ว่า “ถ้าถ้ำนี้มีสมบัติของคนโบราณ ถ้าปล่อยให้เปิดปากไว้อย่างนี้ คงมีสักวันหนึ่งที่จะถูกคนโลภพากันมาค้นหาเอามหาสมบัติโบราณเอาไปกินหมด เอายังงี้แล้วกัน ขอร้องช่วยเอาไม้มาทำเป็นประตูถ้ำ ปิดปากถ้ำชั่วคราวก่อนเอากุญแจมาใส่ให้ด้วย ค่ากุญแจค่อยมาเอาภายหลัง ชายท่าทางบ๊องๆลึกลับตอบว่า “ไม่ต้องหรอกครับ ถ้ำนี้มีคนธรรพ์เฝ้าปกป้องรักษาอยู่แล้ว เป็นหน้าที่ของพวกเขาเอง” ได้ฟังคำตอบแล้ว พระอาจารย์จำเนียรก็นึกในใจว่า “อย่าเข้าไปวุ่นวายเรื่องนี้เลย เจ้าหมอนี่ท่าทางไม่เต็มบาท” แล้วก็เดินเลี่ยงไปสำรวจทางอื่น

 ต่อมาราวสองเดือน พระอาจารย์จำเนียรได้ร้อนใจ กลัวว่าจะมีใครมาขัดขวางหรืออิจฉาริษยา แอบมาปลูกสร้างถาวรวัตถุตัดหน้าไว้หรือเปล่า จึงรีบปีนป่ายขึ้นภูเขาไปก่อนใคร โดยใช้บันไดชั่วคราวที่ได้ทำไว้ เมื่อไปถึงถ้ำคนธรรพ์ พระอาจารย์จำเนียรต้องสะดุ้ง เพราะได้เจอกับเจ้าคนท่าทางบ๊องๆ ไม่เต็มบาทยืนอยู่ที่เดิมที่ปากถ้ำ นุ่งกางเกงตัวเก่าอยู่”

“ถ้าไม่ใช่คนต้องเป็นผี” พระอาจารย์จำเนียรได้คิดพิสูจน์ “เป็นคนหรือเป็นผีกันแน่ ถ้าเป็นผีต้องมีแต่ภาพ เป็นมายาลวงตา ขณะเดียวกันก็สำรวจรูปร่าง ก็เหมือนปักษ์ใต้ทั่วๆไป  เหมือนกับรู้ชายคนนั้นถอยหลังหนีขณะที่ท่านจำเนียรยื่นมือจะจับแขน “ทางถ้ำปิดเรียบร้อยแล้วครับ” “ปิดยังไง” ถามพลางก็เดินเข้าหาคนๆนั้นถอยกรูดๆแล้วก็ตอบว่า “พวกคนธรรพ์เอาหินมาปิดปากถ้ำไว้ครับ” เมื่อเอาไฟฉายส่องดูชัดๆ ก็เห็นเป็นสีขาวๆ คล้ายปูนโบกปิด ถ้ำมันยังเปียกๆ อยู่เป็นหินไม่ใช่ปูน ไม่มีทราย ไม่มีปูนซีเมนต์ เป็นหินล้วนๆ เอามาโบกปิดปากถ้ำไว้อย่างอัศจรรย์ “หินอะไรถึงเหลวเอามาอุดปากถ้ำไว้ได้” ถามพลางก้าวเข้าหาเจ้าคนลึกลับ “เป็นหินแบบเดียวกับหินย้อยลงมาเป็นหินงอกในถ้ำอย่างนั้นแหละ”เจ้าหมอนั่นตอบพลางถอยหลังพลาง เขาถอยจนไปติดแอ่งน้ำที่ไหลมาจากซอกภูเขา ซึ่งมีต้นไม้รกชัฏ เขาพลิ้วตัวแอบหลบแอ่งน้ำราวกับมีนัยน์ตาหลังแล้ววูบเข้าหาต้นไม้พระอาจารย์จำเนียรเห็นผิดท่าก็กระโดดตามหมายจะคว้าไว้ อ้าว! หายวับไปเสียแล้ว ราวกับล่องหน

คนธรรพ์ นี้ทางภาคอื่นจะเรียกว่าพวกลับแล หรือ พวกบังมด เป็นคนพวกหนึ่ง ถือศีลเคร่งครัด มีสัจจะเคร่งครัด พูดอะไรต้องทำตามแบบนั้น อำนาจศีล อำนาจสัจจะ ทำให้คนธรรพ์มีความสามารถพิเศษพิสดารเก่งกว่ามนุษย์ธรรมดา เช่น กำบังตัวหรือหายตัวไปได้ในพริบตา  ครับนี่คือเรื่องราวของคนธรรพ์ ที่พระอาจารย์จำเนียรเล่าให้ฟัง ถ้ำเสือยังมีสิ่งลี้ลับอีกเยอะ..

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

ประสบการณ์ลี้ลับตอน ถ้ำคนธรรพ์

นักสิทธวิทยาธร

นักสิทธิ์วิทยาธร... เป็นนเรื่องที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนครับ     เคยได้ยินแต่คำว่า "วิทยาธร "  อย่างเดียวเท่านั้น  คำๆนี้ผมเจอเข้าโดยบังเอิญจากการค้นหาคำศัพท์เกี่ยวกับโลกธาตุทั้งหลาย    ที่เคยฟังมาจากพระเทศน์ คนฒ่าคนแก่เล่าให้ฟัง  ได้ลองค้นหาคำว่า "วิทยาธร" ดูจากเวปไซด์ต่างๆ ก็ได้เจอข้อมูลพอสมควรครับ นี่คือตัวอย่างหนึ่งครับ ..เวปไซด์วัดท่าขนุน  ต. ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
http://watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=310   

ขอชี้แจงถึงสาเหตุที่ต้องก็อบปี้งานเขียนบางท่านเก็บเอาไว้   เพราะผมมีประสบการณ์หลายครั้งแล้วที่เรื่องราวดีๆ น่าสนใจ  เก็บเป็นลิงค์เอาไว้   พอเข้าไปดูภายหลังปรากฏว่าปิด หรือถูกลบไปแล้วครับ



ภูเขาสุทัศน์ คือลูกที่ ๔ นับจากดินแดนมนุษย์ภูมิเข้าไป

นักสิทธิ์วิทยาธร เป็นผู้วิเศษจำพวกหนึ่งที่พำนักอยู่ในป่าหิมพานต์ นักสิทธิ์ แปลว่า ผู้สำเร็จ วิทยาธร แปลว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งวิทยา ทั้งสองพวกนี้แต่งตัวคล้ายเทวดาแต่สวมชฏาเป็นดอกลำโพง หรือโพกผ้าแบบฤๅษีตามภาพจิตรกรรมที่พบเห็นทั่ว ๆ ไปมักถือพระขรรค์เป็นอาวุธ บรรดาวิทยาธรทั้งหลาย อาศัยอยู่ที่เชิงเขาสุทัสน์ อันเป็นหนึ่งในเจ็ดของเขาสัตบริภัณฑ์ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุคติความเชื่อของไทยแต่โบราณ


ภาพจากสมุดภาพวัดหัวกระบือ เล่ม ๑ ของคุณ วาโยรัตนะ
ตามข้อเขียนของพระยาอนุมานราชธน กล่าวว่าวิทยาธรแบ่งออกเป็นหลายพวกตามเชื้อชาติ เรียกว่าวิทยาธร ๑๒ ภาษา มีทั้งวิทยาธรแขก วิทยาธรฝรั่ง วิทยาธรจีน ฯลฯ จากภาพจิตรกรรมฝาผนังในสมัยอยุธยาที่วัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี    วิทยาธรบางตนมีหน้าเป็นยักษ์  นักสิทธิ์นั้นไม่ใช่ฤๅษีเป็นผู้สำเร็จพวกหนึ่ง      ดังนั้น มนุษย์ไม่ว่าชาติใดภาษาใด       หรือแม้แต่ยักษ์ก็อาจเป็นผู้สำเร็จได้
ในวรรณคดีไทยเมื่อกล่าวถึงนักสิทธิ์มักมีคำว่าวิทยาธรต่อท้ายเสมอ    เพราะผู้จะเป็นวิทยาธรได้ต้องผ่านขั้นตอนการเป็นนักสิทธิ์มาก่อน    ตามจิตรกรรมฝาผนังนิยมเขียนภาพนักสิทธิ์วิทยาธรไว้แถวบนสุดต่อจากภาพเทพชุมนุมบนผนังด้านซ้ายและด้านขวา          เช่น จิตรกรรมฝาผนังที่พระอุโบสถวัดสุวรรณาราม กรุงเทพมหานคร เป็นต้น

นักสิทธิ์หรือผู้สำเร็จเป็นผู้มีความรู้วิชาไสยศาสตร์ในทางเล่นแร่แปรธาตุ สามารถทำปรอทซึ่งเป็นโลหะเหลวให้แข็งเป็นก้อนได้ เรียกกันว่าสำเร็จปรอท อานุภาพของก้อนปรอทนี้ทำให้ผู้สำเร็จเหาะเหินเดินอากาศได้ ทั้งยังมีร่างกายเป็นหนุ่มอยู่ตลอดเวลา เมื่อสำเร็จแล้วก็ไม่สามารถอยู่ในแดนมนุษย์ได้อีกต่อไปเพราะเหม็นสาบมนุษย์  เมื่อสำเร็จต้องเหาะไปยังป่าหิมพานต์   ครั้นไปถึงแล้วจะพบบ่อน้ำวิเศษบ่อหนึ่ง น้ำในบ่อนั้นมีสีขาวเหมือนน้ำนมบริสุทธิ์     มีนางเทพธิดาชื่อจันทรเทวีเป็นผู้รักษาอยู่
ภาพจากวัดหัวกระบือ

เมื่อผู้สำเร็จปรอทเหาะไปถึงที่นั่นจะไปถึงที่นั่นจะตกลงไปในบ่อ ร่ายกายที่เป็นมนุษย์อยู่แต่เดิมจะสูญสลายไปในทันที แล้วเกิดเป็นฟองน้ำปุดขึ้นมาลอยบนผิวน้ำ นางจันทรเทวีผู้รักษาบ่อน้ำจะคอยเอามือช้อนฟองน้ำนั้น      บัดดลฟองน้ำจะเปลี่ยนสภาพเป็นเด็กอ่อน แล้วเติบโตโดยลำดับเป็นวิทยาธร

วิทยาธรที่ปรากฏตามจิตรกรรมฝาผนังมีแต่เพศชาย กล่าวกันว่ามีอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ ใครฆ่าก็ไม่ตาย แม้ต้องศาสตราวุธใด ๆ ก็เป็นแต่สิ้นสติไปชั่วขณะหนึ่ง ครั้นลมพัดมาก็กลับฟื้นขึ้นได้ มีอายุยืนอยู่คอยท่าพระศรีอาริยเมตไตรยซึ่งจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต

ณ ป่าหิมพานต์มีต้นไม้วิเศษชนิดหนึ่งคือ มักกลีผล หรือนารีผล ไม้ชนิดนี้มีผลเป็นรูปสตรี “งามนักดังสาวอันพึงใหญ่ได้ ๑๖ ปี แลฝูงผู้ชายได้เห็นก็มีใจรักกัน” (ไตรภูมิพระร่วง) นารีผลนี้เป็นที่ปรารถนาของเหล่านักสิทธิ์วิทยาธรต่างชิงกันเก็บไปเชยชม

ปกติวิทยาธรจะถือกิ่งไม้เป็นอาวุธ         ซึ่งกิ่งไม้นั้นจะกลายเป็นพระขรรค์ทันทีเมื่อปรารถนาจะให้เป็น   ผิวกายของวิทยาธรมีทั้งสีเหลือง สีขาว สีดำ ฯลฯ    บางตนมีหน้าตางดงาม     แต่บางตนก็มีหน้าตาเหี่ยวย่น   หนวดเครารุงรังไม่น่าดูเนื่องจากผู้ที่จะสำเร็จปรอทเป็นบุคคลหลายจำพวก    แม้เมื่อได้รับการชุบให้เป็นวิทยาธรแล้วก็ยังไม่ทิ้งเค้าของชาติกำเนิดเดิม

ภาพจากสมุดภาพวัดหัวกระบือ เล่ม ๑ ของคุณ วาโยรัตนะ

นักสิทธิ์วิทยาธรในสมุดภาพวัดหัวกระบือเล่มนี้มีทั้งหมด ๓ คู่ (๖ภาพ) ทุกภาพมีหน้าตาแปลก ๆ กันไป แต่ไม่ครบ ๑๒ เชื้อชาติอย่างที่โบราณเรียกว่าวิทยาธร ๑๒ ภาษา ทุกตนประนมมือถือช่อดอกไม้บูชาพระพุทธคุณ ในภาพนี้วิทยาธรเทิดมือทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะแบบ “อุตตมางคศิโรตม์” เฟื่องช่อดอกไม้ที่อ่อนโน้มลงมาให้ความรู้สึกถึงศรัทธาอันบริสุทธิ์

ป็นอันว่าครบถ้วนกระบวนความทั้ง ๓ ตอนของสมุดภาพวัดหัวกระบือ เล่ม ๑ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านผู้อ่านและท่านผู้ชม คงจะได้รับรู้ถึงอรรถรสของสุนทรียภาพแห่งความงาม ในงานจิตรกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายแล้วในระดับหนึ่ง ในโอกาสต่อ ๆ ไปผมจะได้พยายามค้นคว้าเสาะหาข้อมูล ที่เป็นประโยชน์ในการศึกษาผลงานศิลปะของไทยเราแขนงต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมาอีก ซึ่งจะส่งผลให้เห็นถึงวิวัฒนาการจากอดีตมาสู่ปัจจุบันได้อย่างชัดเจนขึ้น หากแม้นว่าท่านผู้อ่าน หรือท่านผู้ชม จะมีข้อเสนอแนะประการใดและได้กรุณาให้คำติชมต่อเรื่องที่นำเสนอมานี้ ผมยินดีน้อมรับทุก ๆ ความคิดเห็นเพื่อที่จะได้นำมาปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ครับ...

จากสมุดภาพวัดหัวกระบือเล่มนี้ มีลักษณะเป็นสมุดไทยขาว เขียนด้วยหมึกดำ ตัวอักษรขอม ภาษาบาลี เรื่อง พระพุทธคุณคัมภีร์ สถานที่เก็บรักษาคือ วัดหัวกระบือ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร

สรุปว่าวิทยาธร : คือ พวกที่ทรงความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ มีศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการคือ

1.        ยุทธศาสตร์ วิชานักรบ

2.        รัฐศาสตร์ วิชาการปกครอง
3.        นิติศาสตร์ วิชากฎหมายและจารีตประเพณีต่างๆ
4.        วาณิชยศาสตร์ วิชาการค้า
5.        อักษรศาสตร์ วิชาหนังสือ
6.        นิรุกติศาสตร์ วิชารู้ภาษาของตนแตกฉานดี และรู้ภาษาของชนชาติที่ติดต่อกัน
7.        คณิตศาสตร์ วิชาคำนวณ
8.        โชติยศาสตร์ วิชาดูดวงดาวต่างๆ คือรู้จักว่าดวงดาวนั้นๆ ตั้งอยู่ทางทิศนั้นๆ และประจำเมืองนั้นๆ และรู้จักสีแสงของดวงดาวต่างๆ อันบอกลางดีและลางร้ายในกาลบางครั้ง
9.        ภูมิศาสตร์ วิชารู้พื้นที่ต่างๆ หรือรู้จักแผนที่ของประเทศต่างๆ
10.     โหราศาสตร์ วิชาโหร คือรู้พยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ ได้ และรู้ทายดวงชาตาราศีของคนได้ด้วย
11.     เวชศาสตร์ วิชาหมอยา
12.     สัตวศาสตร์ วิชารู้ลักษณะของสัตว์และเสียงสัตว์ว่าร้ายหรือดี
13.     เหตุศาสตร์ วิชารู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งผลว่าร้ายหรือดี
14.     โยคศาสตร์ ยันตรศึกษา คือรู้จักความเป็นช่างกล
15.     ศาสนศาสตร์ วิชารู้เรื่องศาสนา คือรู้จักประวัติความเป็นมาแห่งศาสนาทุกๆ ศาสนาที่มหาชนนิยม เพื่อปฏิบัติไม่ขัดแก่สังคมใดๆ และรู้ข้อสอนในศาสนานั้นๆ ด้วย
16.     มายาศาสตร์ วิชารู้กลอุบาย หรือรู้ตำรับพิชัยสงคราม
17.     คันธรรพศาสตร์ วิชาคนธรรพ์คือวิชาร้องรำ(ละคอน) ที่เรียกชื่อว่า "นาฏยศาสตร์" และวิชาดนตรีปี่พาทย์ ที่เรียกชื่อว่า "ดุริยางคศาสตร์"
18.     ฉันทศาสตร์ วิชาประพันธ์ คือแต่งหนังสือได้ ทั้งที่เป็นร้อยกรอง(บทกลอน) และร้อยแก้ว(ความเรียง)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://janthawoot.exteen.com/

นักสิทธิ์  ตามคติของอินเดียนั้น นักสิทธิ์และวิทยาธรจัดอยู่ในจำพวกเดียวกัน คือ เป็นผู้สำเร็จวิชาหรือเป็นผู้ทรงวิชาทางเวทมนตร์ สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ สิ่งที่โปรดปรานของพวกนักสิทธิ์วิทยาธรคือ “ผู้หญิง” จึงมักพากันไปแย่งปลิดลูกมักกะลีผล หรือ นารีผล จนถึงกับวิวาทกัน

ตามความใน “มหาภารตะ” และ “รามายณะ” กล่าวว่า  พวกนักสิทธิ์เป็นชาวอุตตรกุรุทวีป เป็นกึ่งมนุษย์กึ่งเทพ  เป็นผู้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ และไม่มีแก่เฒ่า เพราะได้กินน้ำของลูกไม้ทิพย์ชนิดหนึ่งเรียกว่า  ลูกชมพู (ลูกหว้า)

พวกนักสิทธิ์มีอายุยืน มีแต่ความสุขสนุกสนาน เมื่อตายจะมีนกวิเศษเรียกว่า นกภารุณฑ์ มานำไปไว้ในถ้ำ  แผ่นดินของพวกนักสิทธิ์นี้อยู่ในแดนโลกมนุษย์ทางเหนือ  พ้นเขตที่พระอาทิตย์และพระจันทร์จะส่องไปถึง

พวกมนุษย์ไปไม่ถึง เพราะล่วงล้ำเข้าไปไม่ได้  ถ้ามนุษย์สามารถไปถึงฝั่งแม่น้ำได้ และน้ำในแม่น้ำถูกตัวใครก็จะกลายเป็นหินไปทันที  ริมฝั่งแม่น้ำมีต้นอ้อ (กิจกะ) ขึ้นอยู่ทั้งสองฟาก  ซึ่งพวกนักสิทธิ์ใช้เป็นยานพาหนะสำหรับข้ามไปมา

วิทยาธร คือ ผู้มีวิชากายสิทธิ์ ; เทพบุตรพวกหนึ่งที่มีฐานะต่ำกว่าเทวดา มีหน้าที่เล่นดนตรีบนสวรรค์ (บ. ,พก. /๒๕๒๕ / ๕๔๕.)

วิทยาธรผู้ชาย มีฤทธิ์ด้วยเวทมนต์และมีพระขรรค์วิเศษ ซึ่งเพียงกวัดแกว่งก็สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้  แต่วิทยาธรผู้หญิง ต้องสวมปีกหางที่ประดิษฐ์ขึ้น จึงจะบินไปได้เหมือนนก มิฉะนั้นจะต้องใช้มนตร์เรียกพระพายให้พัดตัวลอยไปในอากาศ  แต่ผู้หญิงนิยมใช้ปีกหางที่ประดิษฐ์ขึ้นมากกว่ามนตร์ เพราะมนตร์เสื่อมง่าย

วิทยาธร มีชื่อเรียกได้อีกหลายชื่อ คือ วิชาธร พิทยาธร เพทยาธร หรือ เทพยาธร  แต่ที่นิยมเรียกกันมาก คือ วิชาธร วิทยาธร  เพศหญิงเป็นวิชาธรี วิทยาธรี

โดยชมรมพระพิฆเณศ गणेश ณ.โคราช

เกี่ยวกับเรา

ก็ไม่รู้จะบอกคนอื่นไปทำไมว่า    ตัวเองบ้านเกิดเมืองนอนอยู่ที่ ต. วัดสน อ.ระโนด จ. สงขลา   จบ ป.๔ ที่โรงเรียนวัดสนดำราษฎร์ประดิษฐ์ แล้วไปสอบเรียนต่อที่ รร.วัดสามบ่อ  ไปสอบเรียนต่อที่ รร.คณะราษฎรบำรุง    ตอนนั้นอยู่วัดเมืองยะลา ๒ ปี   แล้วก็สอบเข้าเทคนิคยะลา  แล้วก็วิทยาลัยเทคโนฯ สงขลา แล้วก็เลิกเรียนต่อ จริงๆก็อยากจบแค่ ประถม ๗ แต่พี่สาวไม่ยอมเลยต้องเรียนมาอีกไกล  แต่ก้ใกล้นิดเดียวหากเทียบกับคนอื่น  ไม่รู้ทำไมไม่อยากเรียน ทั้งที่เป็นคนชอบศึกษาเล่าเรียน ฯ






จบแล้วมาทำงานที่กรุงเทพฯ สอบเข้ากพ.ได้กรมอุตุฯ แต่ไม่ได้ทำงานนี้ทั้งที่เป็นคนชอบเรื่องฝนฟ้าอากาศ  อาจเพราะเรียกช้ากว่า การสื่อสารแห่งประเทศไทย   แรกๆก็อยู่วัดสุทัศน์ แล้วก็มาอยู่บ้านพักที่หลักสี่ครับ  เคยไปทำงานขึ้นลงอยู่ ฐานผลิตก๊าซธรรมชาติเอราวัณ ในอ่าวไทย 13 ปี ก่อนถูกส่งมาทำงานที่สถานีฯดาวเทียมนนทบุรีจนถึงปัจจุบัน

                                               
 Bananabrn  online 

       new url  กูเกิ้ล ปรีดี ยืนยง    
       -----------------------------------------------------------------------------------------
youtube.com/c/predeeyuenyong google.com/+predeeyuenyong

ผีชิน

ผีชิน กับเรื่องคนเล่นชิน  เป็นเรื่องที่ผมเคยเขียนเล่นๆทิ้งไว้จากความรู้สึกเมื่อหลายปี  โดยไม่ได้คิดว่ามันจะมีอยู่จริง   น่าจะราวๆ พศ.2538  สมัยที่คอมฯพิวเตอร์ มีแต่ภาษาเบสิคกับ word ของจุฬา ไมมี เครือข่ายโซเชียล Fb , line ฯ เหมือนทุกวันนี้     ตอนนั้นมีความรู้สึกในใจลึกๆว่า ชินคือ อาคม หรือลัทธิมนต์ดำ หรือผีอะไรไม่รู้ชนิดหนึ่ง      ที่สามารถใช้บังคับควบคุมคนอื่นได้


เรื่องผีชิน: เรื่องผีที่แทบจะไม่มีชื่อให้ได้ยิน  แม้ว่าเมื่อก่อน แถวบ้านผมจะมีหมอผีอยู่ ๒ คน คือ   หมอถัดถัด กับ หมอปิ้ม ทั้ง ๒ หมอนั้นชอบกินเหล้าเหมือนกัน ผมได้เจอบ่อย  หมอปิ้มนั้นตาคมมากดูน่ากลัว

หมอถัดนั้นคือ นายถัด ยืนยง นามสกุลเดียวกัยผมเสียด้วย  ที่สวนของแกอยู่บ้านพังเค็ม  ใกล้ถึงทะเล สามารถปลูกผลหมากรากไม้ได้โดยไม่มีใครกล้าไปขโมย  เพราะจะดดนดี โดนผีตหัวบ้าง ขว้างบ้าง  แต่ไม่มีตัวให้เห็นแต่ตอนนั้นผมก็ยังเด็กมาก  จำความไม่ค่อยได้  ต่อมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้ หลังจากทำงานไปแล้วหลายปี นึกได้ขึ้นมาเลยหาข้อมูลดู / หมอถัด หรือตาถัด ก่อนท่านจะเสียชีวิต แม่พาผมไปดูด้วย แต่ผมนั่งอยู่ใต้ถุนไม่กล้าขึ้นไปบนบ้าน  กลัว  ได้ยยินแกร้อง หลายเสียงงมาก ไม่รู้เสียงใคร ต่อเสียงใคร ผู้ใหญ่บอกว่า ผีที่แกจับมาเลี้ยงงไว้ออกจากร่าง  จริงเท็จไม่รู้ แต่ผมได้ยินจริง


(ต่อครับ )เคยค้นดูจากกูเกิ้ลตั้งนานหลายหนก็ไม่เจอเรื่องชิน     จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๒ มีค. ๕๗ ได้คำตอบโดยบังเอิญจากพี่หลวงเบื้อนที่ทำงานอยู่ไปรษณีย์หลักสี่     แกเป็นคนพื้นเพมาจาก จ.ตรัง แกเล่าว่า แถวบ้านแกมีผีชิน เป็นผีของชาวมุสลิม พวกลิเกป่า   ที่เห็นๆมี ๓ แบบ คือชินหิน ชินดอกไม้ ชินเบี้ยวา   เป็นวิญญานพวกหนึ่งที่เลี้ยงไว้เพื่อให้กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามลักษณะของชินแต่ละแบบ     ผมเลยมาลองเปิด กูเกิ้ลดูใหม่จึงได้เจอจากเวปไซด์หนึ่งเล่าเรื่องผีชินเอาไว้ดังเรื่องข้างล่าง


เจอเรื่องผีชินจนได้ครับ  http://board.postjung.com/603804.html
ผีชิน หรือผีญิณ(ชัยตอน ) มันคือผีในศาสนาอิสลามซึ่งในความเป็นจริงนั้นในฐานความเชื่อของชาว


มุสลิม นั้นเชื่อกันว่า ญิณ ไม่ใช่ผีที่มีรูปอย่างของไทย ที่เที่ยวออกแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ชาวบ้าน แต่ญิน คือสิ่งชั่วร้าย ที่คอยล่อลวงให้คนทำบาป เช่นดื่มสุรา ไม่ละหมาด ขโมยของเป็นต้น แต่นั้นคือหลักของศาสนา เมื่อความความเชื่อเรื่องญิณของศาสนาอิสลามเข้ามาผสมปนเปกับความเชื่อแบบดั่งเดิมของคนไทย และผีในท้องถิ่นปักษ์ใต้แล้ว ทำให้ผีญินนั้นกลายเป็นสิ่งที่มีรูปร่างขึ้นมาได้ในบัดดล ซึ่งสิ่งนี้ให้มองในมุมของความผสมผสานทางวัฒนธรรม นะครับ

(ตัวอย่างศาลผีชิน เมื่อสร้างแล้ว เซ่นไหว้แล้วใน 1 ปี ก็จะไม่มีการไป เซ่นสรวงอีกจนกว่าจะครบกำหนดที่สัญญากันไว้ )

ผีญิน หรือผีชิน นั้นเป็นคำเรียกผีกลุ่มนี้ที่มีบ่อเกิดจากความเชื่ออิสลาม แต่มาโด่งดังในกลุ่มคนพุทธในภาคใต้ รูปลักษณ์ของผีชินนั้นจะเป็นดวงไฟสีเหลือง บางดวงก็สีเขียว โดยมีขนาดทั้งแต่จานข้าวถึงกระด้งเลยทีเดียว ญาติเล่าให้ฟังว่า ในตอนกลางคืนผีชินจะลอยละล่องไปในอากาศ เลยอย่างอ่อยอิ้ง เชื่องช้า ที่ที่มันลอยไปก็มักจะเป็นที่เฮี้ยนๆ อาถรรพ์ๆ น่ากลัวๆ

ผีชินนั้น มีหัวหน้าชื่อ โต๊ะอะดัมญินมูหมี หรือโต๊ะดำ ฝ่ายหญิงจะชื่อ โต๊ะอะหวา ในบางพื้นที่ก็ยังบอกว่า ผีชินยังมีชื่อโต๊ะแดง โต๊ะขาว แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องที่ หน้าที่ของผีชินคือรักษาที่ทางต่างๆ ซึ่งนัยหนึ่งก็คือ เขาเป็นกลุ่มวิญญาณที่ครอบครองพื้นที่มาก่อนมนุษย์ แต่ด้วยทำผิดพันธะสัญญากับพระเจ้า ชินเลยถูกลงโทษและไม่ได้รับการเหลียวแลจากพระเจ้า (เรื่องเล่าจากมุมมองคนพุทธ)



ผีชิน มีหลายประเภท... เช่น

ชินดิน หมายถึงผีชินที่อาศัยอยุ่บนพื้นดิน ซึ่งอยู่ร่วมกับคนทั่วไป บ่อยครั้งที่คนไปยกที่ยกบ้านทับที่พวกนี้เข้าและเกิดอาเพท ต้องหาหมอไสยศาสตร์มาทำพิธีกันวุ่นวาย ซึ่งส่วนใหญ่จะจบที่การตั้งศาลเพียงตาให้ชินอยู่เป็นที่เป็นทาง

ชินน้ำ คือกลุ่มผีชินที่อยู่ในน้ำ ในทะเล ชายฝั่ง ใครละเมิดพวกนี้เข้าถึงตายได้เลยทีเดียว

ชินน้ำค้าง ชินพวกนี้จะอยู่ตามต้นไม้ใบหญ้า คนจะนิยมเลี้ยงผีพวกนี้เพื่อทำให้เสียงไพเราะ ซึ่งส่วนใหญ่พวกศิลปินในปักษ์ใต้มักเลี้ยงกัน



ชินดอกไม้ พวกนี้จะนิยมเลี้ยงเช่นกัน เพราะจะทำให้สวยและโดดเด่นเป็นที่รักของคนทั่วไป และมีการทำเสน่ห์โดยใช้ชิน ไปเรียกคนนั้นคนนี้ให้มารักตน ว่ากันว่าการทำเสน่ห์แบบนี้ ร้ายแรงและแก้ยากมากๆ

นอกจากนั้น ยังมีชินอีกหลายกลุ่มนัก ยากที่จะกล่าวหมดในที่นี้

การเลี้ยงชิน

ส่วนใหญ่จะมีการเรียกและเลี้ยงผีชินกันอย่างแพร่หลายในสังคมชนบทของภาคใต้ บ้างก็เพื่อให้รักษาของ รักษาบ้านเพราะในสมัยก่อนโจรชุก บ้างก็เอามาทำมาหากิน กล่าวคือ คนที่เลี้ยงจะให้ผีชินไปสำแดงฤทธิ์เกิดอาเพทกับผู้คน และมีเพียงตนเท่านั้นที่รักษาได้ เพราะเป็นเจ้าของผี ซึ่งอันนี้คือการหากินที่บาปยิ่งนัก ญาติเล่าให้ฟังว่ามียายแก่ในหมู่บ้านคนหนึ่งแกเลี้ยงชินดอกไม้ไว้ ทำให้แกงามกว่าคนรุ่นเดียวกันมาก คือแม้จะแก่ก็งามแบบคนแก่ แต่ตอนแกใกล้ตาย แกทรมานมาก คือไม่ยอมตายเสียที จนกว่าจะหาคนมารับของไปจากตน คือถ้าคนอยู่มากๆ แกจะออดแอดๆ ไม่มีเรี่ยวแรง แต่เมื่อลับตาคนแกจะลุกขึ้นรื้อของกิน ปีนหลังคา เรื่องนี้ญาติๆ ยายคนนั้นเขาแอบดู  จนนานเข้าทำให้ยายนั้นไม่ได้พักผ่อนในกลางคืนเพราะแกจะนั่งคุย หัวเราะร่าคนเดียว ชาวบ้านบอกว่ายายไม่ตายเพระาผีชินที่แกเลี้ยงเข้าสิงอยู่ในร่าง  จนลูกสาวแกสงสารยายมาก เลยขอรับผีชินนั้มาเลี้ยงต่อ โดยการสืบทอดกันในซอกประตู มีการเลี้ยงเซ่นไหว้ผี แล้วก็มีวิธีสืบทอดที่เป็นความลับ จากนั้นไม่กี่วันยายคนนั้นก็จากโลกนี้ไป

เคยมีคนเห็นผีชิน
ญาติเล่าให้ฟังว่า ในท้องที่ที่อยู่นั้น ตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงตอนนี้ ยังคงมีคนเห็นผีชิน อยุ่เรื่อยมา โดยส่วนใหญ่ผีชินมักจะปรากฎในคืนที่ฟ้าเปิด มันจะลอยล่องไปจากที่หนึ่งไปสุ่อีกที่หนึ่ง มีลักษณะเป็นดวงไปขนาดอย่างที่บอกไป  ถ้าเป็นดวงสีเขียวนั้นจะเป็นพวกหัวหน้ามัน แต่ถ้าดวงเหลืองๆนวล จะเป็นพวงลูกน้องลูกสมุน


 จากเรื่องเล่าทั้งหมด นั้นกล่าวตรงกันว่า ผีชินมีลักษณะเป้นดวงไปที่สีนวลๆ ไม่มีแลบลิ้นปลิ้นตา อย่างผีอื่นๆ ของไทย  การปรากฎตัวของผีชินแต่ละครั้งอาจสัมพันธ์กับเรื่องร้ายๆของคนในหมู่บ้านบ้างเช่น มีคนตาย มี คนป่วยหนักและถูกผีชินกระทำ แต่ทั้งนี้ ญาติผมก็ไม่สรุปว่าจะเคราะห์ร้ายกันทุกครั้งไปที่เห็นผีชิน

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเด็กที่ขโมยปลาที่เลี้ยงไว้ในบ่อของโรงเรียนแถวบ้านญาติ ว่า ตอนนั้นที่โรงเรียนเลี้ยงปลานิลไว้มาก แต่เกิดปัญหาฝนแล้ง บ่อปลาน้ำจึงแห้งลง และเนื่องด้วยเด็กคนนี้ครอบครัวค่อนข้างยากจน การขโมยปลาจากโรงเรียนจึงเป็นหนึ่งทางออกที่จะยื้อปากท้องตนเองและครอบครัวให้รอดไปได้อีกหลายวัน เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียนเด็กคนนี้จึงไม่กลับบ้านรอจนตะวันโผล้เผล่ แล้วเขาก้เริ่มลงมือจับปลา เด้กคนนั้นจับปลาไปได้สักพัก น้ำตรงกลางบ่อปลา ดัง ซ่าๆ  น้ำตีแตกกระจาย แล้ว ดวงไฟขนาดเท่ากระด้งก็ลอยขึ้น เรืองแสงสีเหลืองนวลตา และมุ่งมาหาเขา เด็กนั้นวิ่งร้องจ้า ไปทางบ้านชาวบ้าน และความลับเรื่องขโมยปลาของโรงเรียนโดยเด็กคนนั้นก็ถูกเปิดเเผยออก พร้อมๆกับไข้หัวโกร๋นของเด็กเอง

ความเชื่อเรื่องผีชินนั้นทำให้คนในหมู่บ้านเกิดความยำเกรงและเคารพในธรรมชาติ ไม่มีการรุกรานพื้นที่อย่างไร้เหตุ ความเชื่อนนี้ ชี้ให้เห็นว่า คนกับผีก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันได้ โดยคนจะเลี้ยงผี ปีละครั้ง ผีก็เฝ้าทรัพย์ในที่ดินให้คน ดูแลให้พืชผลงอกงาม ตามความเชื่อ นี่คือเสน่ห์ของความเชื่อเรื่องผีในปักษ์ใต้
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ชินแบบดวงไฟเหมือนเรื่องผีชินข้างบนนี้  แถวบ้านผมที่บ้านพังทองหลาง ต.วัดสน อ.ระโนด จ.สงขลาก็มีคนเห็นบ่อย แม่เฒ่าผมก็เห็นหลายครั้ง เป็นดวงไฟดวงใหญ่ๆ ลอยช้าๆ ชอบลอยอยู่ทางทิศตะวันออกพังทองหลาง แถวๆสวนลุงจำรัส ข้างบ้านลุงเปี่ยมป้าเห้ง ดวงไฟแบบนี้พี่ชายผมว่าบางทีก็เป็นเหล็กไหลมาหากินน้ำผึ้งจากรังผึ้ง   แต่หากมีสองดวงใหญ่กกับเล็ก ลอยสูงๆ อย่างเร็วนั้นจะเป็น หลวงปู่ทวด กับสามเณร ( ดูเรื่องตำนานหลวงปู่ทวด )

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“ชิน” ในความเชื่อของชาวไทยถิ่นใต้ โดย : คนสทิ้งหม้อ

“ชิน” (shin) ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หน้า 364

กล่าวไว้ว่า หมายถึง 1.โลหะอย่างทองแดง 2.เคยมาแล้วบ่อยๆ 3.บุอย่างทองแดง 4.ผู้ชนะ

5.ชื่อศาสนาหนึ่งในอินเดีย

แต่ “ชิน” ที่ผู้เขียนจะขอกล่าวอ้างถึงนี้เป็นรูปแบบหรือลักษณะทางความเชื่อในแบบฉบับของชาวไทยถิ่นใต้ กล่าวคือ มีความเชื่อกันว่าในสมัยโบราณเนิ่นนานมาแล้ว มีดวงไฟประหลาดสีขาวขุ่นมักล่องลอยอยู่ในบริเวณป่า หรือในบริเวณสถานที่รกร้างผู้คน บ้างก็เห็นดวงไฟดังกล่าวล่องลอยอยู่รวมกันบนต้นไม้ใหญ่เป็นลักษณะของกลุ่มดวงไฟกว่า 100 ดวง คนโบราณท่านว่าดวงไฟที่เห็นดังกล่าวนี้เรียกว่า “ชิน” หมายถึง ดวงวิญญาณชั้นต่ำที่ประกอบแต่กรรมในภพที่แล้ว พอตายหรือละสังขารไปก็มาเกิดเป็นชิน ชินจำต้องล่องลอยวนเวียนอยู่อย่างนั้นไปผุดไปเกิดไม่ได้จนกว่าจะชดใช้ผลกรรมที่ก่อมาหมดสิ้นไป มีเรื่องเล่าลือกันมาในหมู่คนที่เรียนอาคมหรือร่ำเรียนทางไสยศาสตร์ว่าหมอทางไสยศาสตร์ส่วนใหญ่มักนิยมมาลองวิชากันด้วยการจับชินลงหม้ออาคม คนเฒ่าคนแก่ในภาคใต้ที่ผู้เขียนเคยได้เข้าไปสนทนาด้วยหลายจังหวัดหลายคนล้วนยืนยันว่าเคยเห็นพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ที่หมอไสยศาสตร์หรือหมอผีทำพิธีเรียกชินลงหม้อมาแล้ว มีลักษณะเป็นแสงไฟสีขาวขุ่นพุ่งตกลงมาในหม้อโดยหลังจากนั้นหมอไสยศาสตร์จะนำหม้อดังกล่าวไปทำพิธีกรรมต่อยังสถานที่อื่นต่อไป คนที่เคยพบเคยเห็นชินล้วนบอกกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าห้ามชี้นิ้วไปที่ดวงไฟดังกล่าวเพราะเชื่อกันว่าชินจะตามมาและนำความโชคร้ายมาสู่ตนเองรวมถึงครอบครัวได้ หากพบหากเจอให้พยายามเดินเลี่ยงหรืออยู่ห่างๆได้เป็นดีที่สุด

เฉพาะตอนนี้
เขียน,เรียบเรียง : คุณาพร ไชยโรจน์  โดย : คนสทิ้งหม้อ
ติดต่อ : kkkkssss457@yahoo.com  

 ขอบคุณทุกข้อมูลทุกเรื่องราวเหล่านี้  จะได้เก็บบันทึกไว้ เพื่อให้เป็นตำนานต่อไป
                                                                           สวัสดีครับ... มหาปลี   ข้างเปลว
                                                                                                    ๕ มีค. ๕๗

พลังเทว

เทวดาคืออะไรกันแน่ ในมุมมองของผมเอง มองทั้งรูปนามอันเป็นทิพย์ตามเรื่องตามตำนาน   มองทั้งเรื่องพลังงานระดับปรมณูที่อยู่ในรูป คน สัตว์ พืช  ในณุปแบบเทวดา ๘ องค์ ที่เติมความมืดความส่วาง ความดีความชั่วเข้าไปทั้ง 2 ด้าน  ด้านสว่างคือสุรเทวดา ด้านมือคืออสูรเทวดา

เทวอสูรสงครามภาคที่ ๕. อาจจะมีการแก้ไขอีกหลายครั้ง เพื่อความถูกต้องในมุมมองปรัชญา วิทยาศาสตร์ หรือศาสตร์อะไรก็ตามแต่ เพื่อความเข้าใจง่าย จากการพินิจพิจรณาหาข้อเท็จจริงของผมเองมหาปลี จนกว่าจะถึงที่สุด


เพิ่มคำอธิบายภาพ
สรุป... พลังเทวะในคติของผมเอง    มองในรูปพลังงาน เทวะคือพลังฝ่ายดี พลังอสูรคือฝ่ายไม่ดี
หรือพลัง สุระ กับอสุระ คือ ด้านสว่างกับด้านมืด ด้านยกขึ้น กับด้านกดลง  ด้านเข้ากับด้านออก หรือพลังหยางพลังหยิน แบบปรัชญาจีน   

โดยนับจากเส้นอ้างอิงที่แดนมนุษย์ สูงขึ้นก็เป็นเทวดา ๗ ชั้น พรหม ๑๖ ชั้น กว่าจะขึ้นไปได้ต้องบำเพ็ญเพียรฝ่ายดี จึงจะขึ้นไปได้   พลังฝ่ายอสูรคือพลังฝ่ายไม่ดี  คือ โลภ โกรธ หลง อาฆาตุ พยาบาท ฯลฯ คือจะสูงขึ้นจริงๆ  หรือเรียกว่าจมลงอีกด้าน  อยู่ใที่ยอดภูเขาตรีกูฏมหาบรรพต คืออเวจีมหานรก ซึ่งตรงข้ามกับ พรหมสุธาวาส อสูรไม่นับถือพระ หรือพระพรหมที่สูงกว่าเทวดา พลังอสูรนี้ถือเอาพลังฝ่ายทำลาย มนุษย์และบริวาร พืชพันธ์ สัตว์เลี้ยงฯลฯ

แล้วฝ่ายไหนคือเทวดาฝ่ายไหนคืออสูร ใครจะตัดสิน หากเป็นเรื่องในเมืองมนุษย์   ผมจะมองในรูปพพลังงาน หรืออาจมีโหงวเฮ้งร่วมด้วย  หากเกิดกับผมเองพลังเทว คือพลังที่ที่สร้างฐานะ สร้างกำลังวังชา รักษากาย วาจา มโนสังขาร  รักษาบ้าน รักษาต้นไม้ ฯลฯ ให้แก่ผม ส่วนที่เป็นพลังอสูรคือฝ่ายที่ เป็นเชื้อโรค อุบัติเหตุ อารมย์ โลภ โกรธ หลง  ที่นำไปสู่อบายทั้งหลายเป็นต้น

ในพิธีกรรมใหญ่ๆ   ที่มีการทำพิธีกรรมอย่างถูกต้องสมบูรณ์    มักมีเรื่องอัศจรรย์ปรากฏแก่สายตาผู้ร่วมพิธีเสมอ   ตัวอย่างเช่นเมื่อถึงเวลาทำพิธีสำคัญแม้แดดจะแรงเพียงใด   ฟ้าจะกลับครึ้มลงทันที   หรือแม้แต่ฟ้าฝนกำลังจะตก    ก็จะมีเหตุให้มวลเมฆทั้งหลายแยกจากกันจนฟ้าเกือบสว่าง   หรือหากลองสังเกตุหรือไปค้นหาดูเวลาทีในหลวงองค์ปัจจุบันรัชกาลที่ ๙   เสด็จมาเป็นประธานในพิธีสำคัญๆ  ผมเคยสังเกตุเห็นสิ่งอัศจรรย์นี้หลายครั้งแล้ว   จนคิดว่านั่นแหละคือส่วนหนึ่งของพลังเทวะ แล้วเทวะหรือเทวดาคืออะไร



พลังเทวะ  สร้างสรรนครเทวดา

โลกปัจจุบันนี้ เมืองใหญ่อลังการณ์   งดงามดุจดังสรวงสวรรค์ในตำนานโบราณ    เคยวาดเคยเขียน หรือจารึกไว้ตามโบสถ์ วิหารเก่าแก่ ใบลาน
หรือ สมุดข่อย  เด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้  เพราะสาเหตุใดก็ตามแต่สำหรับคนรุ่นเก่าแล้ว      ตึกรามโอฬารสร้างเสร็จในปีเดียวก็เหมือนดังตำนานเรื่องเทพนิรมิต   คนป่วยหนักสลบเหมือนตาย หมอกลับช่วยชีวิตมาได้ คล้ายการชุบชีวิตในอดีต บนฟ้ามียานพาหนะลอยไปมา ดุจยานพยนต์ล่องลอยบนสวรรค์ มนุษย์ก็รูปร่างสวยสดงดงามขึ้นทุกวันๆประดุจเทพเทวา  ฯลฯ สรรพความงามถูกเสกสรร ปั้นแต่งมาพร้อมความสดวกรวดเร็วดุจใจนึก  ดุจดังโลกทิพย์  งดงามสุดแสนบรรยาย หรือว่านี่คือสวรรค์จำลอง

ภาพโครงสร้างทางจืตวิญญานของมนุษย์
โครงสร้างจักรวาล ทางจิตเป็นชั้นๆออกมาจากข้างใน (ภาพนี้ไม่ได้ลงรายละเอียด )

ด้านบน  ด้านสว่าง ด้านความสุข ก็มี พรหม เทวดา ถัดจากสัตตบรรพต ก็เป็นมนุษย์ในชั้นที่ ๘ (ผู้มีใจสูง ) อยู่ด้านอารมย์ละเอียดประณีต ยกย่องคนดี ยกย่องผู้มีศีลธรรม พระราชาผู้ทรงธรรม ฯลฯ สามารถพัตนาอบรมจิตให้สูงขึ้นได้ ตรงนี้ถือเป็น "พลังเทวะ " คล้ายกับพลังหยาง อยู่ด้านใน ลึกเข้าไปๆๆ    วัตถุคือพระอาทิตย์  หากเป็นจิตคือจิตที่สว่างเป็นกุศล จนถึงปัญญาสว่างไสว

ด้านล่าง ด้านมืด ก็มี นรก อสูร เปรต  ถัดออกมาด้านนอกก็มีเดรัจฉาน พวกมนุษย์เลวๆชอบต่อยตี ชอบทำร้ายคนอื่น ยกย่องคนรวย ยกย่องคนเก่ง ดีไม่ดีเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ยังไงไม่สน   อยู่ด้านนี้   ขึ้นไปข้างบนไม่ได้ เพราะตกอยู่ใต้อารมย์ไม่ดีที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกิเลส ตัณหาด้านหยาบ   หาทางออกไม่เจอ มองเห็นแต่พวกตัวเอง มองเห็นแต่ความรู้สึกนึกคิดของพวกตนเอง การไปทำร้าย ทำลายผู้อื่น ด้วยวิสัยพาล (ไม่เจริญ ) ถือเป็น"พลังอสุระ" .. จากนอกเข้าใน  เป็นจักราลก็ห่างออกไปๆ ระดับสูงขึ้นไปๆมีแต่ความมืดของท้องฟ้า    อำนาจคือมืดอำนาจมืดบีบเข้าใน  ความมืดมองด้วยตาเคลื่อนจากนอกเข้าด้านในจักรวาล   ด้านจิตใจ ก็โลภ โกรธ หลงทุข์ระทม บาปกรรม

แต่การทำความดี     สร้างตนเองให้มีคุณธรรมสูงขึ้นหมือนเทวดา  ย่อมทำได้ทุกฤดูกาล   ความชั่วก็เช่นกันทำได้ไม่ต้องตามฤดู        

ธรรมชาติของฝ่ายเทว พลังเทวะ   ระดับ โลกและ จักรวาล คือแสงสว่างจากพระอาทิตย์ คือพลังจากสุริยเทพฯ  ที่ออกมาจากด้านในของศูนย์กลางจักรวาล   จากอากาศที่ยกตัว นำพาความชื้นออกมา  คือธาตุน้ำตัวผู้ คือการวิเคราะห์วิจัย คือการติดต่อสื่อสาร  คือเฟสบุ๊ค ไลท์ โซเชียลเน็ตเวอร์ก     หรือการติดต่อสื่อสารทั้งหมด รับอิทธิพล จากดาวพระพุธ แรงไม่แรงอยู่ที่พระอังคาร ธาตุลมตัวผู้  หรือภูมิดนัย แปลว่าบุตรแห่งโลก หรือ ตัว  LP เป็นพลังแผ่นดิน    เราจะมองเห็นว่าขึ้นบน ขึ้นเหนือ แต่จริงๆคือดันออกมาจากข้างใน เมื่อฝ่ายเทวขยับหรือรวมตัว จะมีพลังไอน้ำถูกยกขึ้นฟ้ามากมาย คือยกอย่างเดียว ยกไปมากกว่าปกติ การเอาลงหรือขั้นเมฆหมอกเป็นหน้าที่อีกฝ่าย

ธรรมชาติของฝ่ายอสูร คือพลังความมืด (พลังอสุระ ) ที่บีบจากด้านนอกจักรวาลเข้ามา คือวนซ้าย วนซ้ายเป็นพลังดูด ดูดเป็นพลังสายเดียวกับความโลภ    คือพลังจากอสุรินทร์ หรือเทพราหู   เจ้าแห่งไฟโลภ โกรธ หลง    มีพระเสาร์เป็นธาตุไฟสุมขอนตัวเมีย คอยรักษาเป็นเครื่องดองกิเลส ตัณหา สันดาน มีพระศุกร์เป็นธาตุน้ำตัวเมีย   เป็นอารมย์ หลงใหล หลงผิด หลงสวยหลงงหอม หลงเหม็น ดาวพระศุกร์เป็นได้ทั้งเทวดาและอสูร    

ระดับภูมิศาสตร์ธรรมชาติเป็นพลังจากอากาศแห้ง อากาศหนาว      เป็นความกดอากาศสูงเรียกตัว HP คอยผลักดันพลังเทวะ  หากมีฝ่ายเทวะนำความชื้นขึ้นมามาก จะเกิดการควบแน่นกลายเป็นเมฆ  ไปต่อไม่ได้จะถูกตีให้ตกลงกลายเป็นฝน  หรือเป็นหิมะที่เขตุหนาว   เมืองหรือนครของฝ่ายอสูรอยู่ที่อีกด้านของจักรวาลรอบนอก เมื่ออากาศชื้นมาถึงจุดเยือกแข็งคือกำแพงเมืองอสูร ต้องกลายเป็นหยดน้ำเป็นเกล็ดเมฆ   ปกติตัว HP  หรือกำแพงเมืองอสูรจะมีอาณาเขตุกว้างใหญ่ในฤดูหนาว    สามารถดันตัว LP ของฝ่ายเทวะเกิดเป็นฟ้าคนองหรือพายุลงทางละติจูดต่ำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเปลี่ยนฤดูกาล   จริงแท้แค่ไหนเชิญสังเกตุเปรียบเทียบดูเอาเองครับ

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วธรรมชาติแท้บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรผิดอะไรถูก แต่เมื่อเป็นภพภูมิชั้นมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตระดับพลังงานชั้นที่ ๘  ชั้นที่ถือว่าเป็นเวไนยสัตว์ หรือสัตว์ที่อบรมสั่งสอนได้ ความมีศีลธรรมจึงเป็นเรื่องจำเป็น  มิเช่นนั้นบ้านเมืองก็ระส่ำระสายมีแต่ความแตกแยก  หน้าที่ของพระผู้รู้ผู้มีปัญญาจะนิ่งดูดายไม่ได้     คือต้องอบรมสั่งสอนบุคคลที่สอนได้ หน้าที่ของผีคือหลอกคนที่พอจะหลอกได้ ชีวิตเป็นเช่นนี้ ธรรมชาติเป็นเช่นนี้     เรื่องทั้งหมดในธรรมชาติพุทธศาสนาเรียกว่าคือวัฏฏสงสาร  วกวนเวียนรบกันอยู่นานนมกาเล ตั้งแต่ ทุบตี แทงฟัน จนกระทั่งรบราฆ่าฟันกันด้วยอาวุธทุกชนิด จนกระทั่งเจริญจริงเข้าสู่ยุคศรีวิไล ที่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องรบกันจริง เป็นเพียงแค่ รบกันด้วยความคิด รบกันด้วยเกมส์สงคราม เป็น War Games  เพื่อความสุนทรีย์เท่านั้น จนกว่าจะเกิดความบื่อหน่ายคลายกำหนัด ต่างก็หาหนทาง เดินเข้าสู่พระนิพพาน หรือจะได้พบพระผู้เป็นเจ้า

สงครามในอดีตบวกปัจจุบัน  แต่ในยุคหนึ่งที่มนุษย์เจริญถึงจุดหนึ่งจะเป็นเพียง WAR GAMES ในเครื่องอีเลคฯ

เตือนสติ

ในบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย มีแต่คนเห็นแก่ตัว   หรือปล่อยให้คนไม่ดีมีอำนาจครองเมืองยาวนาน จน
คนดีเหลือน้อยหรือแทบไม่มี จะเหลือแต่บริวารคนชั่วคอยโกงกิน ทำลาย ไร้ซึ่งศีลธรรมอันดี ไม่นานเหล่าเทวดาที่สิงสถิตย์ ณ ที่เมืองนั้นก็จะหลบลี้จากพระนคร  สิ่งที่จะบังเกิดขึ้นตามมาคือความแห้งแล้งอันยาวนาน  ด้วยเหตุที่ไม่มีพลังเทวที่มีกำลังเพียงพอ ที่จะออกมากลั่นตัวเป็นน้ำฝนยามแห้งแล้ง เป็นน้ำฟ้ายามหนาวเหน็บ เพราะเหตุว่าไม่มีดวงจิตของมนุษย์ผู้มีศีลธรรมอาศัย ไม่นานบ้านเมืองนั้นจะถึงกาลพินาศล่มจม ไม่เชื่อลองดู 

หากบ้านใดเมืองใดมีคนดีอาศัยออยู่มากมาย บ้านเมืองนั้นก็จะมีเทวดารักษา ฝนฟ้าก็ตกต้องตามฤดูกาล บ้านเมืองมีความวิจิตร สวยงาม ตระการตา อุดมสมบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร มีแต่ความเจริญยิ่งๆขึ้นไป  บ้านเมืองนั้นก็น่าอยู่อาศัย อยู่เย็นเป็นสุข ร่มรื่นชื่นบาน ตลอดกาลนาน

แม้แต่เมืองไทย   เรื่องความขัดแย้งตั้งแต่ฝ่ายพันธมิตรกับฝ่ายทักษิณ ชินวัตร์  ถึงยุค กปปส กับ รบ.ยิ่งลักษณ์ หากใครที่สังเกตุสภาพอากาศอย่างละเอียด ละอ่อน ในแต่ละเหตุารณ์ จะเข้าใจว่าทำไมท่านขงเบ้ง จากเรื่องสามก๊กต้องนำสัมพันธภาพระหว่างลมฟ้าอากาศ มาใช้ในการทำสงครามได้อย่างเหมาะเจาะลงตัวา


ลกยุค ปัจจุบัน  ที่การพัตนาด้านวัตถุได้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว      จนได้ก่อเกิดปัญหาอย่างมากมายในองค์รวมทุกๆด้าน   เพราะฉะนั้นโลกยุคใหม่ที่มาถึงจะเป็นยุคที่ต้องร่วมกันทั้งโลกทบทวน ปรับปรุงภาคศีลธรรมและจิตวิญญานให้เจริญ คู่ไปกับความเจริญด้านวัตถุ เพื่อโลกที่สวยงามน่าอภิรมย์ อันเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ ยุคศิวิไลอันแท้จริง  นี่คือคำทำนายของข้าพเจ้าเอง.. มหาปลี


                                               ด้วยความปรารถาดีจาก มหาปลีสีทันดร

เพื่อความสุนทรียารมย์ พื้นฐานของเทวดาพักผ่อนฟังเพลงจากกีตาร์ระดับเทพฯ สมบูรณ์ทั้งรูป ลีลา และบรรยากาศ แวดล้อมโดยรอบ ประดุจเทพบุตรจำแลงจากสรวงสวรรค์  ลงมาบรรเลง ขับกล่อม / คลิปนี้แนะนำโดย อจ.ธนเทพฯ กีตาร์โหรครับ



ปรัชญาเทวอสูร

บทที่ ๓ เทวอสูรในแง่ปรัชญา ( มหาปลี )

โลกธาตุ พระเจ้าสร้าง หรือ สภาวธรรม
นักปราชญ์โบราณ อธิบายโลก หรือ โลกธาตุ หรือเครื่องจักรกลธรรมชาติ ไว้ในทุกมิติ ตามแต่เรื่องราวสมัยนั้นๆให้เข้าใจกลไกอันซับซ้อน   และชี้แนวทางทีจะออกจากเครื่องพันธนาการร้อยรัด  ที่คติทางโลกถือว่าน่าเพลิดเพลินทั้งปวงเหล่านั้นไว้โดยละเอียดพิสดาร  จากที่เคยได้อ่านมาบ้างเห็นมีอยู่หลายแนวคล้ายๆกัน  เรื่องแนวธรรมแนวปรัชญาประเทศไทยมักได้รับอิทธพลแนวคิด  ความเชื่อจากอินเดียโบราณ เป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพราหมณ์ พุทธ หรือคำภีร์อื่นๆ กล่าวไว้คล้ายกัน แต่มีบางท่านอธิบายให้ผมฟังว่า  เรื่องราวทางฝั่งอินเดียเกิดมาหลังดินแดนสุวรรณภูมิ   ดินแดนที่เคยมีพระพุทธเจ้าสามองค์อุบัติขึ้น  ก่อนจะมีพระสมณโคดม เป็นองค์ที่ ๔  แต่ดินแดนล่มสลายลงไปก่อน  อารยธรรมสมัยต่อมาจึงไปเกิดที่ฝั่งชพูทวีป  แต่กัปป์นี้เรียกว่าภัทรกัปป์ หรือกัปป์ที่ ๑๐๖ ที่จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นถึง ๕ พระองค์


จักรวาล ๑ จักรวาล และทวีปที่อยู่อาศัยของสรรพสัตว์
ณ ที่นี้ จะตัดเอาเฉพาะเรื่องโลกธาตุตอนเทวดากับอสูร       ท่านบูรพาจารย์ได้รจนาพระคำภีร์ความว่าธรรมชาติหรือโลกที่พระเจ้าสร้างขึ้น    แยกเป็นกลุ่มของจักรวาลหลายๆจักรวาล เมื่อรวมกันเป็นโลกธาตุแล้วมีหลายขนาด การเรียกชื่อของโลกธาตุเป็นไปตามจำนวนของจักรวาล โดยแบ่งเป็นหลักคร่าวๆ คือ
๑.  โลกธาตุ อย่างเล็ก ประกอบด้วยพันจักรวาล


๒. อย่างกลาง  ประกอบด้วยล้านจักรวาล


๓.อย่างใหญ่ ประกอบด้วยแสนโกฏิจักรวาล


ซึ่งภายในแต่ละจักรวาลเหล่านี้ได้มีสรรพชีวิตต่างๆ   หลายรูปแบบเกิดและอาศัยอยู่   โดยเรียกตามภาษาในสมัยโบราณ เช่น เปรต เดรัจฉาน มนุษย์ คนธรรม์ รากษส นาค ครุฑ  เทวดา พรหม ฯ  ที่ว่ายวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร   แสดงเรื่องราว ตามกิเลสตัณหา คือ โลภ โกรธ หลงมิรู้จบสิ้นจนกว่าจะบรรลุถึงโมกษะตามคติแบบพราหมณ์   หรือถึงนิพพานตามคติแบบพุทธ) หรือจะได้พบกับพระเจ้าตามคติคริสตน์ อันแนวคิดและความเข้าใจต่อองค์ความรู้    ต่อความจริงทั้งหลายเหล่านี้     ไม่ว่าสิ่งแวดล้อมในแต่ละยุคสมัย จะเปลี่ยนแปลง    ไปด้วยเหตุปัจจัยอันใดในทางธรรมชาติอันบริสุทธิ์       หรือธรรมชาติประยุกต์อันประณีต หมู่นักปราชญ์ที่แท้จริงง    ย่อมมีภูมิปัญญาพอที่ทะลุกำแพงกาลเวลา กำแพงธรรมใดๆได้โดยวิสัยปกติของปราชญ์ฉันนั้นแล

โลภ โกรธ หลง  มาจากไหน ใครสร้าง
พุทธศาสนา  ที่ได้ฟังมา ท่านว่าเกิดมาแต่กรรม  มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมจากการกระทำต่อกัน ฯ ตั้งแต่มโนกรรม วจีกรรม กายกรรมผูกเวรต่อกันมา ข้ามภพข้ามชาติ  เกิดเป็นเรื่องราวต่อเนื่องสะสมอยู่ในรูปนาม  พระสัมมาสัมพุทธเจ้า   ย่อโลกให้เราศึกษาให้เข้าใจกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก ให้ถ่องแท้  เพราะสิ่งนี้เป็นโลกธาตุโดยย่อจากจักรวาลขนาดใหญ่แสนโกฎจักรวาล มารวมอยูที่นี่ทั้งหมด

ศาสนาอื่น
ไม่ขอกล่าวถึง


โหราศาสตร์
  ว่า โลภ โกรธ หลง เป็นมาแต่พื้นดวงกำเนิด  คนแต่ละคนที่เกิดมาย่อมถูกกำหนดมาแล้วแต่ชั้นใน  จากดาวพระเคราะห์ที่พระศิวชุบขึ้นมาจาก ดวงวิญญานต่างๆ ทั้ง ๘      โหราศาสตร์เองก็มีหลายแนว  ทฤษฎีอาจแตกต่างกันออกไป ของไทยเดิมๆ       แยกจักรวาลเป็น จุลจักรวาล   จักรวาล และมหาจักรวาล ทั้งดวงดาวและจักรราศี มี ๑๒ ภพ ๑๒ เรือนชะตา มี ๒ ด้านคู่กันเสมอตั้งเป็นธาตุ ดิน น้ำ ลมไฟ ตัวผู้กับตัวเมีย

ขับเข้าไปอยู่ในดวงให้เป็นเทวนพเคราะห์ทั้ง ๘ มีจริต มีโมหะมีคุณลักษณะที่ต่างกันไป    เพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งทั้งด้านมืดและด้านสว่าง  เป็นชั้นๆออกมา  ขับเข้าไปอยู่ในรูปนาม ธาตุน้ำทำให้คิดให้มีอารมย์ ธาตุลมทำให้ตึงให้หย่อน ให้แรง ธาตุไฟทำให้เกิด ให้อยู่ ให้ดับ เกิดเป็นธาตุดินรูปนามที่จับต้องได้ ด้วยเบญจขันธ์วิญญาน เกิดเป็นเรื่องราวต่างๆมากมาย   มืดกับสว่าง ดีกับชั่ว สุนทรีย์กับถ่อยเถื่อน ได้กับเสีย เจริญกับเสื่อม ฯลฯ ปรัชญาจีนเรียก หยินหยาง ซึ่งก็คล้ายๆกันอาจต่างกันบ้างเรื่องการนับธาตุ


เทวดากับอสูร
แง่มุมโหราศาสตร์    
โหราศาสตร์ไม่ว่าระบบไหน  มีพระราชาอยู่ ๒ องค์  คือเทพเจ้าแห่งความสว่าง    มีพระอาทิตย์เป็นเจ้า กับเทพเจ้าแห่งความมืด มีพระราหูเป็นเจ้า  พระราหูเองก็มีตั้ง ๘ ภาค       เรียกอัฐฐคชนามเป็นเจ้าแห่งโลก  เทวดาซึ่งแปลว่าผู้มีแสงสว่างย่อมเป็นบริวารของพระอาทิตย์ หรือสุริยเทพฯ    พระสุริยเทพฯเป็นผู้เติมพลังความสว่างความร้อนความกล้าฯให้     ส่วนฝ่ายอสูรย่อมเป็นบริวารหรือลูกน้องของพระราหูหรืออสุรินทร์เทพฯ      มีความมืดเป็นเจ้าเรือนคอยเติมความหลงใหล ใครรัก ใคร่เอา ใคร่อยากได้   อันความมืดความสว่างนั้นก็คิดได้ถึง ๙ ชั้น    ความหมายชั้นลึกแสดงถึงอารมย์ทางจิต ต่อออกมาถึงระดับพลังงาน แสง สี เสียง วัตถุ บ้านเรือนเมืองและประเทศ     ฉะนั้นเรื่องชั่วดีในระดับชั้นมนุษย์    จึงเป็นเรื่องปกติทางโลก  เป็นพลังงานชั้นนอก ชั้นที่ 7 หรือที่ 8  เพราะโลกต้องเป็นเช่นนี้  มีสองสิ่งนี้คู่กัน หลายหลากสีสรรเป็นเช่นนี้นิรันด์

พระเคราะห์ในดวงชะตา   พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสษบดี พระศุกร์ พระเสาร์ ถือเป็นเทวะนพเคราะห์  ต้องมอง ๙ ชั้น  หากมีคุณสมบัติตรงข้ามไปในด้านร้ายก็ถือเป็นนพเคราะห์ที่ถูกฝ่าย อสูรครอบงำ หรืออบรม  ให้เป็นไปทางไม่ดี ในทางคุณสมบัติเดิม แต่อาจเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่ง  เช่นพระอาทิตย์มองแบบชั้นเดียวหมายถึงเกียรติ์ยศหากถูกราหูครอบงำให้เสีย   ก็กลายเป็นคนบ้าเกียรติ์หลงเกียรติ์ โกงกิน หลอก ลวง ต้มตุนให้ได้มาซึ่งเกียรติ์นั้นๆ เป็นต้น

มองตามหลักธรรมเชิงรูปนามทั่วไป 
เทวดา   อันบุคคลผู้ล่วงลับจากความเป็นมนุษย์   เมื่อได้บำเพ็ญกุศลพร้อมมีหิริโอตตัปปะอย่างเต็มเปี่ยม   ก็จะมีกำลังพอสามารถก้าวข้ามภูเขาสัตตบรรพต และสีทันดรมหาสมุทรได้เข้าไปอยู่ในดินแดนชั้นในอันเป็นดินแดนเทวดา  ได้ตามลำดับชั้น    อาจมาฝึกต่อที่ภพภูมิเทวดาที่นี่ หรือบางท่านฝึกสำเร็จมาแต่เมืองมนุษย์มาถึงนี่ก็อาจเลยไปถึงชั้นดุสิต หรือสูงกว่า

อสูร   ในทำนองเดียวกัน   อันบุคคลผู้ล่วงลับจากความเป็นมนุษย์ได้สร้างอกุศลธรรม ด้วยพลกำลังแก่กล้า  พร้อมทั้งไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่เกรงกลัว ไม่ละอายต่อบาปไม่ฟังคำติเตือนท้วงติงจากผู้หลักผู้ใหญ่   ผู้ที่ถึงพร้อมไปด้วยคุณธรรม         อำนาจของบาปอกุศลก็จะนำพาให้จมลงสีทันดรมหาสมุทร          ถูกกระแสน้ำลึกแห่งอารมย์ร้าย  โทสะ โลภ หลง ชักพาให้เข้ามาถึงชั้นในของภูเขาพระสุเมรเช่นกัน แต่ต้องตกไปอยู่บนภูเขาสามยอดที่ชื่อตรีกูฏมหาบรรพตได้เป็นพวกเทวอสูรที่มีฤทธานุภาพ  แต่เป็นเรื่องที่ตรงข้ามกับคุณธรรมแบบเทวดา


รูปวาดสมมุติที่อยู่ของเทวดาและอสูร
ย้อนกลับไปตอนเริ่มต้นของสวรรค์   แรกเริ่มก็มีเทวดาอาศัยอยู่ก่อนแล้วที่ยอดเขาพระสุเมรุ   ต่อมาก็มีเทวดาจุติมาใหม่   ก่อนที่จะมาจุติบนสวรรค์ได้นั้นท่านบูรพพาจารย์ว่ามาจากการที่มฆะมาณพ  แลบริวาร   ได้เป็น ผู้บำเพ็ญคุณธรรมความดีงามที่เรียกว่า วัตตบท ๗ ประการ จึงได้ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ และหาอุบายไล่เทวดาเก่าออกไป แล้วจึงได้ชื่อใหม่ตั้งแต่บัดนั้น มาถึงตอนนี้ เราคิดแบบธรรมดาทั่วไปแสดงว่าเทวดาที่มาใหม่  ชั่วหรือนิสสัยไม่ดีแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนักปราชญ์คงหาทางตั้งเรื่องเพื่อให้เกิดอารมย์ ๒ ด้านขึ้นมามากกว่า
โครงสร้างโลกธาตุที่อยู่ของเทวดาและมนุษย์ในแง่มุมปปรัชญาโบราณ 

ขยายความเทวดากับอสูร อีกรอบ
กำเนิดฝ่ายอสูร
เทวดาเก่าที่ถูกขับออกไป เพราะถูกเทวดาที่มาใหม่จับโยนลงมาจากสวรรค์      โดยการหลอกให้ดื่มจนเมามายขาดสติ  แต่ด้วยบุญบารมีเก่าที่เคยสร้างไว้ในอดีต  จึงได้มี วิมานและนครที่อยู่อาศัยที่ได้บังเกิดขึ้นที่ยอดเขาตรีกูฏมหาบรรพต    และก็ได้มีอารมย์แค้น โกรธ อาฆาตุ พยาบาท เป็นเจ้าเรือน หยุดพัตนาจิตให้เจริญยิ่งขึ้น คงหมกมุ่นอยู่กับไฟโทสะ โมหะ และหาทางทวงคืนโดยการยกทัพขึ้นไปทำสงครามอยู่เป็นเนืองนิจ ต่อมาจึงเรียกว่าอสูร คือถือเอาตามอารมย์อันไม่สุนทรีย์  อันไม่กล้านั้น(ไม่กล้าให้ทาน ให้อภัย ให้ ฯลฯ คิดแต่จะรับ ) และก็ไม่ได้เจริญสติ ภาวนา พัตนาจิตใจ ยังติดอยู่ในวังวนแห่งความแค้นซึ่งเป็นเรื่องต่ำๆ ออกไม่ได้   มีจอมอสูรเป็นหัวหน้าชื่อท้าวท้าวสัมพรอสูร ซึ่งตอนหลังเรียกว่าท้าวเวปจิตติ เป้นจอมอสูรผู้มีจิตหวาดหวั่นอันมีเหตุจากไปรื้อศาลาและเครื่องบริขารพระฤาษีผู้ทรงฌาน แล้วถูกพระฤาษีว่ากล่าวหรือแช่งด้วยก็ไม่รู้

กำเนิดฝ่ายเทวดา
ส่วนทางฝ่ายท้าวสักกะ หรือพระอินทร์นั้นจะเห็นว่าเป็นจอมเทพฯอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๒ ของสวรรค์ทั้งหมดที่มีอยู่ ๗ ชั้น คือจะอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ    แต่อสูรจะกรีฑาทัพขึ้นไปตีแค่ ชั้นดาวดึงส์ สูงกว่านั้นอสูรขึ้นไปไม่ถึง  แม้นว่าแต่เรื่มเดิมที เทวดาจะมีนิสสัยไม่ดี ที่ไปแย่งนครของเทวดาที่อยู่มาก่อน แต่ภายหลังจากนั้นเทวดาใหม่ก็ได้เจริญสติ เจริญกุศลธรรม ให้สูงๆขึ้น จนมีระดับเทวาดาชั้นสวรรค์ถึง ๖ ชั้นเทวดาเสวยสุขอยู่ในสุขารมย์ จนกว่าจะหมดอายุขัยทีได้จากกำลังุบุญกุศลที่ได้สร้างมา

เทวดาบนชั้นดาวดึงส์จะมีอารมย์ต่างจากอสูรคือ เทวดาชั้นนี้  จะมีความสุนทรีย์ ในดนตรี ระบำรำฟ้อน และเครื่องประโลมอารมย์กามคุณทั้ง ๕ สูงสุดกว่าเทวดาชั้นอื่น แต่เหล่าเทวดาทั้งหลายชอบนิยมฟังเทศฟังธรรม   ทั้งที่พระอินทร์ทรงเทศน์เอง หรือมีพระพุทธมาเทศนาโดยเฉพาะในวันพระนี่ คล้ายๆกับมนุษย์หรือผู้คนบางพวกในโลกมนุษย์สมัยปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะประเทศไทยหาดูชมได้ไม่ยาก  

โดยปกติเทวดาจะมีเทวธรรม คือ ธรรมะประจำใจของเทวดา ๒ ประการคือ 

มีหิริ = ความละอายต่อบาปอกุศลทุกชนิด แม้ความคิดที่ไม่ดี ก็ไม่กล้าคิด และ
มีโอตตัปปะ = มีความเกรงกลัวต่อบาป  กลัวต่อผลของบาปอกุศล   ไม่กล้าที่จะทำบาปอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย  

เทวดาอีกอย่างตามคำศัพท์คือ ผู้กล้า ภาษาบาลีใช้คำว่า วีร (วี-ระ), สุร (สุ-ระ) หรือ สูร (สู-ระ), หรือ สุรา (สุ-รา) ที่หมายถึงผู้กล้า  ผู้มีแสงสว่าง มีบางท่านนำไปแปลว่า สุระ หรือสุรา หมายเหล้าๆก็คือเทวดา เพราะพอดื่มได้ที่แล้วจะกล้า  อสุรา คือไม่มีเหล้า  แต่สุรา หรือสุระ แปลว่าเหล้า แปลว่ากล้า ดื่มแล้วเมาทำให้กล้า  


ภาพโครงสร้างโดยรวมของโลกธาตุในอดีต สงครามมีสูงสุดแค่ชั้นดาวดึงส์เท่านั้น
สูงกว่านั้นไม่มี บุคคลผู้ใดที่ต้องการไปให้พ้นจากสงครามก็พึงฝึกตนให้สูงๆขึ้นเลยช้นนี้

                                               
โครงสร้างโลกธาตุจากปรัชญาโบราณ
ภาพจาก https://lh6.googleusercontent.com/-y8MlqdY2-tE/Uro8_A3Jm3I/AAAAAAAAFnE/c5e_TPkNdB8/w700-h525-no/11283-1.jpg
ภาพข้างบน  เป็นภาพจากปรัชญาโลกธาตุโบราณ ผมเองก็ไม่รู้ว่าแรกเริ่มแนวคิดนี้เริ่มมาเมื่อสมัยใด  เป็นแนวคิดของพุทธหรือว่ามาจากพราหมรณ์ ยังไม่แน่ชัด  ต้องมองตามภูมิรู้ครับ     ผมมองในคติโลกปัจจุบันว่าเป็นการอธิบายโครงสร้างทางจิตวิญญาน      บูรพาจารย์ท่านซ่อนแง่คิดต่างๆอะไรระดับไหนก็แล้วแต่ปัญญาจะไปถึงผมเขียนเท่าที่ผมรู้    โลกสมัยก่อนกับโลกสมัยนี้   ความหมายอาจต่างกัน ต้องมีพื้นฐานเรื่องธาตุ  เรื่องพื้นฐานทางจิตสมัยก่่อนด้วย 

                                                                                        สวัสดีครับ
                                                                                   มหาปลี จักรวาล


                                                     บทที่ ๔ สร้างกองทัพเทวดา (หยดน้ำเทวา)