พลังเทว

เทวดาคืออะไรกันแน่ ในมุมมองของผมเอง มองทั้งรูปนามอันเป็นทิพย์ตามเรื่องตามตำนาน   มองทั้งเรื่องพลังงานระดับปรมณูที่อยู่ในรูป คน สัตว์ พืช  ในณุปแบบเทวดา ๘ องค์ ที่เติมความมืดความส่วาง ความดีความชั่วเข้าไปทั้ง 2 ด้าน  ด้านสว่างคือสุรเทวดา ด้านมือคืออสูรเทวดา

เทวอสูรสงครามภาคที่ ๕. อาจจะมีการแก้ไขอีกหลายครั้ง เพื่อความถูกต้องในมุมมองปรัชญา วิทยาศาสตร์ หรือศาสตร์อะไรก็ตามแต่ เพื่อความเข้าใจง่าย จากการพินิจพิจรณาหาข้อเท็จจริงของผมเองมหาปลี จนกว่าจะถึงที่สุด


เพิ่มคำอธิบายภาพ
สรุป... พลังเทวะในคติของผมเอง    มองในรูปพลังงาน เทวะคือพลังฝ่ายดี พลังอสูรคือฝ่ายไม่ดี
หรือพลัง สุระ กับอสุระ คือ ด้านสว่างกับด้านมืด ด้านยกขึ้น กับด้านกดลง  ด้านเข้ากับด้านออก หรือพลังหยางพลังหยิน แบบปรัชญาจีน   

โดยนับจากเส้นอ้างอิงที่แดนมนุษย์ สูงขึ้นก็เป็นเทวดา ๗ ชั้น พรหม ๑๖ ชั้น กว่าจะขึ้นไปได้ต้องบำเพ็ญเพียรฝ่ายดี จึงจะขึ้นไปได้   พลังฝ่ายอสูรคือพลังฝ่ายไม่ดี  คือ โลภ โกรธ หลง อาฆาตุ พยาบาท ฯลฯ คือจะสูงขึ้นจริงๆ  หรือเรียกว่าจมลงอีกด้าน  อยู่ใที่ยอดภูเขาตรีกูฏมหาบรรพต คืออเวจีมหานรก ซึ่งตรงข้ามกับ พรหมสุธาวาส อสูรไม่นับถือพระ หรือพระพรหมที่สูงกว่าเทวดา พลังอสูรนี้ถือเอาพลังฝ่ายทำลาย มนุษย์และบริวาร พืชพันธ์ สัตว์เลี้ยงฯลฯ

แล้วฝ่ายไหนคือเทวดาฝ่ายไหนคืออสูร ใครจะตัดสิน หากเป็นเรื่องในเมืองมนุษย์   ผมจะมองในรูปพพลังงาน หรืออาจมีโหงวเฮ้งร่วมด้วย  หากเกิดกับผมเองพลังเทว คือพลังที่ที่สร้างฐานะ สร้างกำลังวังชา รักษากาย วาจา มโนสังขาร  รักษาบ้าน รักษาต้นไม้ ฯลฯ ให้แก่ผม ส่วนที่เป็นพลังอสูรคือฝ่ายที่ เป็นเชื้อโรค อุบัติเหตุ อารมย์ โลภ โกรธ หลง  ที่นำไปสู่อบายทั้งหลายเป็นต้น

ในพิธีกรรมใหญ่ๆ   ที่มีการทำพิธีกรรมอย่างถูกต้องสมบูรณ์    มักมีเรื่องอัศจรรย์ปรากฏแก่สายตาผู้ร่วมพิธีเสมอ   ตัวอย่างเช่นเมื่อถึงเวลาทำพิธีสำคัญแม้แดดจะแรงเพียงใด   ฟ้าจะกลับครึ้มลงทันที   หรือแม้แต่ฟ้าฝนกำลังจะตก    ก็จะมีเหตุให้มวลเมฆทั้งหลายแยกจากกันจนฟ้าเกือบสว่าง   หรือหากลองสังเกตุหรือไปค้นหาดูเวลาทีในหลวงองค์ปัจจุบันรัชกาลที่ ๙   เสด็จมาเป็นประธานในพิธีสำคัญๆ  ผมเคยสังเกตุเห็นสิ่งอัศจรรย์นี้หลายครั้งแล้ว   จนคิดว่านั่นแหละคือส่วนหนึ่งของพลังเทวะ แล้วเทวะหรือเทวดาคืออะไร



พลังเทวะ  สร้างสรรนครเทวดา

โลกปัจจุบันนี้ เมืองใหญ่อลังการณ์   งดงามดุจดังสรวงสวรรค์ในตำนานโบราณ    เคยวาดเคยเขียน หรือจารึกไว้ตามโบสถ์ วิหารเก่าแก่ ใบลาน
หรือ สมุดข่อย  เด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้  เพราะสาเหตุใดก็ตามแต่สำหรับคนรุ่นเก่าแล้ว      ตึกรามโอฬารสร้างเสร็จในปีเดียวก็เหมือนดังตำนานเรื่องเทพนิรมิต   คนป่วยหนักสลบเหมือนตาย หมอกลับช่วยชีวิตมาได้ คล้ายการชุบชีวิตในอดีต บนฟ้ามียานพาหนะลอยไปมา ดุจยานพยนต์ล่องลอยบนสวรรค์ มนุษย์ก็รูปร่างสวยสดงดงามขึ้นทุกวันๆประดุจเทพเทวา  ฯลฯ สรรพความงามถูกเสกสรร ปั้นแต่งมาพร้อมความสดวกรวดเร็วดุจใจนึก  ดุจดังโลกทิพย์  งดงามสุดแสนบรรยาย หรือว่านี่คือสวรรค์จำลอง

ภาพโครงสร้างทางจืตวิญญานของมนุษย์
โครงสร้างจักรวาล ทางจิตเป็นชั้นๆออกมาจากข้างใน (ภาพนี้ไม่ได้ลงรายละเอียด )

ด้านบน  ด้านสว่าง ด้านความสุข ก็มี พรหม เทวดา ถัดจากสัตตบรรพต ก็เป็นมนุษย์ในชั้นที่ ๘ (ผู้มีใจสูง ) อยู่ด้านอารมย์ละเอียดประณีต ยกย่องคนดี ยกย่องผู้มีศีลธรรม พระราชาผู้ทรงธรรม ฯลฯ สามารถพัตนาอบรมจิตให้สูงขึ้นได้ ตรงนี้ถือเป็น "พลังเทวะ " คล้ายกับพลังหยาง อยู่ด้านใน ลึกเข้าไปๆๆ    วัตถุคือพระอาทิตย์  หากเป็นจิตคือจิตที่สว่างเป็นกุศล จนถึงปัญญาสว่างไสว

ด้านล่าง ด้านมืด ก็มี นรก อสูร เปรต  ถัดออกมาด้านนอกก็มีเดรัจฉาน พวกมนุษย์เลวๆชอบต่อยตี ชอบทำร้ายคนอื่น ยกย่องคนรวย ยกย่องคนเก่ง ดีไม่ดีเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ยังไงไม่สน   อยู่ด้านนี้   ขึ้นไปข้างบนไม่ได้ เพราะตกอยู่ใต้อารมย์ไม่ดีที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกิเลส ตัณหาด้านหยาบ   หาทางออกไม่เจอ มองเห็นแต่พวกตัวเอง มองเห็นแต่ความรู้สึกนึกคิดของพวกตนเอง การไปทำร้าย ทำลายผู้อื่น ด้วยวิสัยพาล (ไม่เจริญ ) ถือเป็น"พลังอสุระ" .. จากนอกเข้าใน  เป็นจักราลก็ห่างออกไปๆ ระดับสูงขึ้นไปๆมีแต่ความมืดของท้องฟ้า    อำนาจคือมืดอำนาจมืดบีบเข้าใน  ความมืดมองด้วยตาเคลื่อนจากนอกเข้าด้านในจักรวาล   ด้านจิตใจ ก็โลภ โกรธ หลงทุข์ระทม บาปกรรม

แต่การทำความดี     สร้างตนเองให้มีคุณธรรมสูงขึ้นหมือนเทวดา  ย่อมทำได้ทุกฤดูกาล   ความชั่วก็เช่นกันทำได้ไม่ต้องตามฤดู        

ธรรมชาติของฝ่ายเทว พลังเทวะ   ระดับ โลกและ จักรวาล คือแสงสว่างจากพระอาทิตย์ คือพลังจากสุริยเทพฯ  ที่ออกมาจากด้านในของศูนย์กลางจักรวาล   จากอากาศที่ยกตัว นำพาความชื้นออกมา  คือธาตุน้ำตัวผู้ คือการวิเคราะห์วิจัย คือการติดต่อสื่อสาร  คือเฟสบุ๊ค ไลท์ โซเชียลเน็ตเวอร์ก     หรือการติดต่อสื่อสารทั้งหมด รับอิทธิพล จากดาวพระพุธ แรงไม่แรงอยู่ที่พระอังคาร ธาตุลมตัวผู้  หรือภูมิดนัย แปลว่าบุตรแห่งโลก หรือ ตัว  LP เป็นพลังแผ่นดิน    เราจะมองเห็นว่าขึ้นบน ขึ้นเหนือ แต่จริงๆคือดันออกมาจากข้างใน เมื่อฝ่ายเทวขยับหรือรวมตัว จะมีพลังไอน้ำถูกยกขึ้นฟ้ามากมาย คือยกอย่างเดียว ยกไปมากกว่าปกติ การเอาลงหรือขั้นเมฆหมอกเป็นหน้าที่อีกฝ่าย

ธรรมชาติของฝ่ายอสูร คือพลังความมืด (พลังอสุระ ) ที่บีบจากด้านนอกจักรวาลเข้ามา คือวนซ้าย วนซ้ายเป็นพลังดูด ดูดเป็นพลังสายเดียวกับความโลภ    คือพลังจากอสุรินทร์ หรือเทพราหู   เจ้าแห่งไฟโลภ โกรธ หลง    มีพระเสาร์เป็นธาตุไฟสุมขอนตัวเมีย คอยรักษาเป็นเครื่องดองกิเลส ตัณหา สันดาน มีพระศุกร์เป็นธาตุน้ำตัวเมีย   เป็นอารมย์ หลงใหล หลงผิด หลงสวยหลงงหอม หลงเหม็น ดาวพระศุกร์เป็นได้ทั้งเทวดาและอสูร    

ระดับภูมิศาสตร์ธรรมชาติเป็นพลังจากอากาศแห้ง อากาศหนาว      เป็นความกดอากาศสูงเรียกตัว HP คอยผลักดันพลังเทวะ  หากมีฝ่ายเทวะนำความชื้นขึ้นมามาก จะเกิดการควบแน่นกลายเป็นเมฆ  ไปต่อไม่ได้จะถูกตีให้ตกลงกลายเป็นฝน  หรือเป็นหิมะที่เขตุหนาว   เมืองหรือนครของฝ่ายอสูรอยู่ที่อีกด้านของจักรวาลรอบนอก เมื่ออากาศชื้นมาถึงจุดเยือกแข็งคือกำแพงเมืองอสูร ต้องกลายเป็นหยดน้ำเป็นเกล็ดเมฆ   ปกติตัว HP  หรือกำแพงเมืองอสูรจะมีอาณาเขตุกว้างใหญ่ในฤดูหนาว    สามารถดันตัว LP ของฝ่ายเทวะเกิดเป็นฟ้าคนองหรือพายุลงทางละติจูดต่ำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเปลี่ยนฤดูกาล   จริงแท้แค่ไหนเชิญสังเกตุเปรียบเทียบดูเอาเองครับ

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วธรรมชาติแท้บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรผิดอะไรถูก แต่เมื่อเป็นภพภูมิชั้นมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตระดับพลังงานชั้นที่ ๘  ชั้นที่ถือว่าเป็นเวไนยสัตว์ หรือสัตว์ที่อบรมสั่งสอนได้ ความมีศีลธรรมจึงเป็นเรื่องจำเป็น  มิเช่นนั้นบ้านเมืองก็ระส่ำระสายมีแต่ความแตกแยก  หน้าที่ของพระผู้รู้ผู้มีปัญญาจะนิ่งดูดายไม่ได้     คือต้องอบรมสั่งสอนบุคคลที่สอนได้ หน้าที่ของผีคือหลอกคนที่พอจะหลอกได้ ชีวิตเป็นเช่นนี้ ธรรมชาติเป็นเช่นนี้     เรื่องทั้งหมดในธรรมชาติพุทธศาสนาเรียกว่าคือวัฏฏสงสาร  วกวนเวียนรบกันอยู่นานนมกาเล ตั้งแต่ ทุบตี แทงฟัน จนกระทั่งรบราฆ่าฟันกันด้วยอาวุธทุกชนิด จนกระทั่งเจริญจริงเข้าสู่ยุคศรีวิไล ที่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องรบกันจริง เป็นเพียงแค่ รบกันด้วยความคิด รบกันด้วยเกมส์สงคราม เป็น War Games  เพื่อความสุนทรีย์เท่านั้น จนกว่าจะเกิดความบื่อหน่ายคลายกำหนัด ต่างก็หาหนทาง เดินเข้าสู่พระนิพพาน หรือจะได้พบพระผู้เป็นเจ้า

สงครามในอดีตบวกปัจจุบัน  แต่ในยุคหนึ่งที่มนุษย์เจริญถึงจุดหนึ่งจะเป็นเพียง WAR GAMES ในเครื่องอีเลคฯ

เตือนสติ

ในบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย มีแต่คนเห็นแก่ตัว   หรือปล่อยให้คนไม่ดีมีอำนาจครองเมืองยาวนาน จน
คนดีเหลือน้อยหรือแทบไม่มี จะเหลือแต่บริวารคนชั่วคอยโกงกิน ทำลาย ไร้ซึ่งศีลธรรมอันดี ไม่นานเหล่าเทวดาที่สิงสถิตย์ ณ ที่เมืองนั้นก็จะหลบลี้จากพระนคร  สิ่งที่จะบังเกิดขึ้นตามมาคือความแห้งแล้งอันยาวนาน  ด้วยเหตุที่ไม่มีพลังเทวที่มีกำลังเพียงพอ ที่จะออกมากลั่นตัวเป็นน้ำฝนยามแห้งแล้ง เป็นน้ำฟ้ายามหนาวเหน็บ เพราะเหตุว่าไม่มีดวงจิตของมนุษย์ผู้มีศีลธรรมอาศัย ไม่นานบ้านเมืองนั้นจะถึงกาลพินาศล่มจม ไม่เชื่อลองดู 

หากบ้านใดเมืองใดมีคนดีอาศัยออยู่มากมาย บ้านเมืองนั้นก็จะมีเทวดารักษา ฝนฟ้าก็ตกต้องตามฤดูกาล บ้านเมืองมีความวิจิตร สวยงาม ตระการตา อุดมสมบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร มีแต่ความเจริญยิ่งๆขึ้นไป  บ้านเมืองนั้นก็น่าอยู่อาศัย อยู่เย็นเป็นสุข ร่มรื่นชื่นบาน ตลอดกาลนาน

แม้แต่เมืองไทย   เรื่องความขัดแย้งตั้งแต่ฝ่ายพันธมิตรกับฝ่ายทักษิณ ชินวัตร์  ถึงยุค กปปส กับ รบ.ยิ่งลักษณ์ หากใครที่สังเกตุสภาพอากาศอย่างละเอียด ละอ่อน ในแต่ละเหตุารณ์ จะเข้าใจว่าทำไมท่านขงเบ้ง จากเรื่องสามก๊กต้องนำสัมพันธภาพระหว่างลมฟ้าอากาศ มาใช้ในการทำสงครามได้อย่างเหมาะเจาะลงตัวา


ลกยุค ปัจจุบัน  ที่การพัตนาด้านวัตถุได้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว      จนได้ก่อเกิดปัญหาอย่างมากมายในองค์รวมทุกๆด้าน   เพราะฉะนั้นโลกยุคใหม่ที่มาถึงจะเป็นยุคที่ต้องร่วมกันทั้งโลกทบทวน ปรับปรุงภาคศีลธรรมและจิตวิญญานให้เจริญ คู่ไปกับความเจริญด้านวัตถุ เพื่อโลกที่สวยงามน่าอภิรมย์ อันเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ ยุคศิวิไลอันแท้จริง  นี่คือคำทำนายของข้าพเจ้าเอง.. มหาปลี


                                               ด้วยความปรารถาดีจาก มหาปลีสีทันดร

เพื่อความสุนทรียารมย์ พื้นฐานของเทวดาพักผ่อนฟังเพลงจากกีตาร์ระดับเทพฯ สมบูรณ์ทั้งรูป ลีลา และบรรยากาศ แวดล้อมโดยรอบ ประดุจเทพบุตรจำแลงจากสรวงสวรรค์  ลงมาบรรเลง ขับกล่อม / คลิปนี้แนะนำโดย อจ.ธนเทพฯ กีตาร์โหรครับ



ปรัชญาเทวอสูร

บทที่ ๓ เทวอสูรในแง่ปรัชญา ( มหาปลี )

โลกธาตุ พระเจ้าสร้าง หรือ สภาวธรรม
นักปราชญ์โบราณ อธิบายโลก หรือ โลกธาตุ หรือเครื่องจักรกลธรรมชาติ ไว้ในทุกมิติ ตามแต่เรื่องราวสมัยนั้นๆให้เข้าใจกลไกอันซับซ้อน   และชี้แนวทางทีจะออกจากเครื่องพันธนาการร้อยรัด  ที่คติทางโลกถือว่าน่าเพลิดเพลินทั้งปวงเหล่านั้นไว้โดยละเอียดพิสดาร  จากที่เคยได้อ่านมาบ้างเห็นมีอยู่หลายแนวคล้ายๆกัน  เรื่องแนวธรรมแนวปรัชญาประเทศไทยมักได้รับอิทธพลแนวคิด  ความเชื่อจากอินเดียโบราณ เป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพราหมณ์ พุทธ หรือคำภีร์อื่นๆ กล่าวไว้คล้ายกัน แต่มีบางท่านอธิบายให้ผมฟังว่า  เรื่องราวทางฝั่งอินเดียเกิดมาหลังดินแดนสุวรรณภูมิ   ดินแดนที่เคยมีพระพุทธเจ้าสามองค์อุบัติขึ้น  ก่อนจะมีพระสมณโคดม เป็นองค์ที่ ๔  แต่ดินแดนล่มสลายลงไปก่อน  อารยธรรมสมัยต่อมาจึงไปเกิดที่ฝั่งชพูทวีป  แต่กัปป์นี้เรียกว่าภัทรกัปป์ หรือกัปป์ที่ ๑๐๖ ที่จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นถึง ๕ พระองค์


จักรวาล ๑ จักรวาล และทวีปที่อยู่อาศัยของสรรพสัตว์
ณ ที่นี้ จะตัดเอาเฉพาะเรื่องโลกธาตุตอนเทวดากับอสูร       ท่านบูรพาจารย์ได้รจนาพระคำภีร์ความว่าธรรมชาติหรือโลกที่พระเจ้าสร้างขึ้น    แยกเป็นกลุ่มของจักรวาลหลายๆจักรวาล เมื่อรวมกันเป็นโลกธาตุแล้วมีหลายขนาด การเรียกชื่อของโลกธาตุเป็นไปตามจำนวนของจักรวาล โดยแบ่งเป็นหลักคร่าวๆ คือ
๑.  โลกธาตุ อย่างเล็ก ประกอบด้วยพันจักรวาล


๒. อย่างกลาง  ประกอบด้วยล้านจักรวาล


๓.อย่างใหญ่ ประกอบด้วยแสนโกฏิจักรวาล


ซึ่งภายในแต่ละจักรวาลเหล่านี้ได้มีสรรพชีวิตต่างๆ   หลายรูปแบบเกิดและอาศัยอยู่   โดยเรียกตามภาษาในสมัยโบราณ เช่น เปรต เดรัจฉาน มนุษย์ คนธรรม์ รากษส นาค ครุฑ  เทวดา พรหม ฯ  ที่ว่ายวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร   แสดงเรื่องราว ตามกิเลสตัณหา คือ โลภ โกรธ หลงมิรู้จบสิ้นจนกว่าจะบรรลุถึงโมกษะตามคติแบบพราหมณ์   หรือถึงนิพพานตามคติแบบพุทธ) หรือจะได้พบกับพระเจ้าตามคติคริสตน์ อันแนวคิดและความเข้าใจต่อองค์ความรู้    ต่อความจริงทั้งหลายเหล่านี้     ไม่ว่าสิ่งแวดล้อมในแต่ละยุคสมัย จะเปลี่ยนแปลง    ไปด้วยเหตุปัจจัยอันใดในทางธรรมชาติอันบริสุทธิ์       หรือธรรมชาติประยุกต์อันประณีต หมู่นักปราชญ์ที่แท้จริงง    ย่อมมีภูมิปัญญาพอที่ทะลุกำแพงกาลเวลา กำแพงธรรมใดๆได้โดยวิสัยปกติของปราชญ์ฉันนั้นแล

โลภ โกรธ หลง  มาจากไหน ใครสร้าง
พุทธศาสนา  ที่ได้ฟังมา ท่านว่าเกิดมาแต่กรรม  มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมจากการกระทำต่อกัน ฯ ตั้งแต่มโนกรรม วจีกรรม กายกรรมผูกเวรต่อกันมา ข้ามภพข้ามชาติ  เกิดเป็นเรื่องราวต่อเนื่องสะสมอยู่ในรูปนาม  พระสัมมาสัมพุทธเจ้า   ย่อโลกให้เราศึกษาให้เข้าใจกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก ให้ถ่องแท้  เพราะสิ่งนี้เป็นโลกธาตุโดยย่อจากจักรวาลขนาดใหญ่แสนโกฎจักรวาล มารวมอยูที่นี่ทั้งหมด

ศาสนาอื่น
ไม่ขอกล่าวถึง


โหราศาสตร์
  ว่า โลภ โกรธ หลง เป็นมาแต่พื้นดวงกำเนิด  คนแต่ละคนที่เกิดมาย่อมถูกกำหนดมาแล้วแต่ชั้นใน  จากดาวพระเคราะห์ที่พระศิวชุบขึ้นมาจาก ดวงวิญญานต่างๆ ทั้ง ๘      โหราศาสตร์เองก็มีหลายแนว  ทฤษฎีอาจแตกต่างกันออกไป ของไทยเดิมๆ       แยกจักรวาลเป็น จุลจักรวาล   จักรวาล และมหาจักรวาล ทั้งดวงดาวและจักรราศี มี ๑๒ ภพ ๑๒ เรือนชะตา มี ๒ ด้านคู่กันเสมอตั้งเป็นธาตุ ดิน น้ำ ลมไฟ ตัวผู้กับตัวเมีย

ขับเข้าไปอยู่ในดวงให้เป็นเทวนพเคราะห์ทั้ง ๘ มีจริต มีโมหะมีคุณลักษณะที่ต่างกันไป    เพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งทั้งด้านมืดและด้านสว่าง  เป็นชั้นๆออกมา  ขับเข้าไปอยู่ในรูปนาม ธาตุน้ำทำให้คิดให้มีอารมย์ ธาตุลมทำให้ตึงให้หย่อน ให้แรง ธาตุไฟทำให้เกิด ให้อยู่ ให้ดับ เกิดเป็นธาตุดินรูปนามที่จับต้องได้ ด้วยเบญจขันธ์วิญญาน เกิดเป็นเรื่องราวต่างๆมากมาย   มืดกับสว่าง ดีกับชั่ว สุนทรีย์กับถ่อยเถื่อน ได้กับเสีย เจริญกับเสื่อม ฯลฯ ปรัชญาจีนเรียก หยินหยาง ซึ่งก็คล้ายๆกันอาจต่างกันบ้างเรื่องการนับธาตุ


เทวดากับอสูร
แง่มุมโหราศาสตร์    
โหราศาสตร์ไม่ว่าระบบไหน  มีพระราชาอยู่ ๒ องค์  คือเทพเจ้าแห่งความสว่าง    มีพระอาทิตย์เป็นเจ้า กับเทพเจ้าแห่งความมืด มีพระราหูเป็นเจ้า  พระราหูเองก็มีตั้ง ๘ ภาค       เรียกอัฐฐคชนามเป็นเจ้าแห่งโลก  เทวดาซึ่งแปลว่าผู้มีแสงสว่างย่อมเป็นบริวารของพระอาทิตย์ หรือสุริยเทพฯ    พระสุริยเทพฯเป็นผู้เติมพลังความสว่างความร้อนความกล้าฯให้     ส่วนฝ่ายอสูรย่อมเป็นบริวารหรือลูกน้องของพระราหูหรืออสุรินทร์เทพฯ      มีความมืดเป็นเจ้าเรือนคอยเติมความหลงใหล ใครรัก ใคร่เอา ใคร่อยากได้   อันความมืดความสว่างนั้นก็คิดได้ถึง ๙ ชั้น    ความหมายชั้นลึกแสดงถึงอารมย์ทางจิต ต่อออกมาถึงระดับพลังงาน แสง สี เสียง วัตถุ บ้านเรือนเมืองและประเทศ     ฉะนั้นเรื่องชั่วดีในระดับชั้นมนุษย์    จึงเป็นเรื่องปกติทางโลก  เป็นพลังงานชั้นนอก ชั้นที่ 7 หรือที่ 8  เพราะโลกต้องเป็นเช่นนี้  มีสองสิ่งนี้คู่กัน หลายหลากสีสรรเป็นเช่นนี้นิรันด์

พระเคราะห์ในดวงชะตา   พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสษบดี พระศุกร์ พระเสาร์ ถือเป็นเทวะนพเคราะห์  ต้องมอง ๙ ชั้น  หากมีคุณสมบัติตรงข้ามไปในด้านร้ายก็ถือเป็นนพเคราะห์ที่ถูกฝ่าย อสูรครอบงำ หรืออบรม  ให้เป็นไปทางไม่ดี ในทางคุณสมบัติเดิม แต่อาจเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่ง  เช่นพระอาทิตย์มองแบบชั้นเดียวหมายถึงเกียรติ์ยศหากถูกราหูครอบงำให้เสีย   ก็กลายเป็นคนบ้าเกียรติ์หลงเกียรติ์ โกงกิน หลอก ลวง ต้มตุนให้ได้มาซึ่งเกียรติ์นั้นๆ เป็นต้น

มองตามหลักธรรมเชิงรูปนามทั่วไป 
เทวดา   อันบุคคลผู้ล่วงลับจากความเป็นมนุษย์   เมื่อได้บำเพ็ญกุศลพร้อมมีหิริโอตตัปปะอย่างเต็มเปี่ยม   ก็จะมีกำลังพอสามารถก้าวข้ามภูเขาสัตตบรรพต และสีทันดรมหาสมุทรได้เข้าไปอยู่ในดินแดนชั้นในอันเป็นดินแดนเทวดา  ได้ตามลำดับชั้น    อาจมาฝึกต่อที่ภพภูมิเทวดาที่นี่ หรือบางท่านฝึกสำเร็จมาแต่เมืองมนุษย์มาถึงนี่ก็อาจเลยไปถึงชั้นดุสิต หรือสูงกว่า

อสูร   ในทำนองเดียวกัน   อันบุคคลผู้ล่วงลับจากความเป็นมนุษย์ได้สร้างอกุศลธรรม ด้วยพลกำลังแก่กล้า  พร้อมทั้งไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่เกรงกลัว ไม่ละอายต่อบาปไม่ฟังคำติเตือนท้วงติงจากผู้หลักผู้ใหญ่   ผู้ที่ถึงพร้อมไปด้วยคุณธรรม         อำนาจของบาปอกุศลก็จะนำพาให้จมลงสีทันดรมหาสมุทร          ถูกกระแสน้ำลึกแห่งอารมย์ร้าย  โทสะ โลภ หลง ชักพาให้เข้ามาถึงชั้นในของภูเขาพระสุเมรเช่นกัน แต่ต้องตกไปอยู่บนภูเขาสามยอดที่ชื่อตรีกูฏมหาบรรพตได้เป็นพวกเทวอสูรที่มีฤทธานุภาพ  แต่เป็นเรื่องที่ตรงข้ามกับคุณธรรมแบบเทวดา


รูปวาดสมมุติที่อยู่ของเทวดาและอสูร
ย้อนกลับไปตอนเริ่มต้นของสวรรค์   แรกเริ่มก็มีเทวดาอาศัยอยู่ก่อนแล้วที่ยอดเขาพระสุเมรุ   ต่อมาก็มีเทวดาจุติมาใหม่   ก่อนที่จะมาจุติบนสวรรค์ได้นั้นท่านบูรพพาจารย์ว่ามาจากการที่มฆะมาณพ  แลบริวาร   ได้เป็น ผู้บำเพ็ญคุณธรรมความดีงามที่เรียกว่า วัตตบท ๗ ประการ จึงได้ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ และหาอุบายไล่เทวดาเก่าออกไป แล้วจึงได้ชื่อใหม่ตั้งแต่บัดนั้น มาถึงตอนนี้ เราคิดแบบธรรมดาทั่วไปแสดงว่าเทวดาที่มาใหม่  ชั่วหรือนิสสัยไม่ดีแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนักปราชญ์คงหาทางตั้งเรื่องเพื่อให้เกิดอารมย์ ๒ ด้านขึ้นมามากกว่า
โครงสร้างโลกธาตุที่อยู่ของเทวดาและมนุษย์ในแง่มุมปปรัชญาโบราณ 

ขยายความเทวดากับอสูร อีกรอบ
กำเนิดฝ่ายอสูร
เทวดาเก่าที่ถูกขับออกไป เพราะถูกเทวดาที่มาใหม่จับโยนลงมาจากสวรรค์      โดยการหลอกให้ดื่มจนเมามายขาดสติ  แต่ด้วยบุญบารมีเก่าที่เคยสร้างไว้ในอดีต  จึงได้มี วิมานและนครที่อยู่อาศัยที่ได้บังเกิดขึ้นที่ยอดเขาตรีกูฏมหาบรรพต    และก็ได้มีอารมย์แค้น โกรธ อาฆาตุ พยาบาท เป็นเจ้าเรือน หยุดพัตนาจิตให้เจริญยิ่งขึ้น คงหมกมุ่นอยู่กับไฟโทสะ โมหะ และหาทางทวงคืนโดยการยกทัพขึ้นไปทำสงครามอยู่เป็นเนืองนิจ ต่อมาจึงเรียกว่าอสูร คือถือเอาตามอารมย์อันไม่สุนทรีย์  อันไม่กล้านั้น(ไม่กล้าให้ทาน ให้อภัย ให้ ฯลฯ คิดแต่จะรับ ) และก็ไม่ได้เจริญสติ ภาวนา พัตนาจิตใจ ยังติดอยู่ในวังวนแห่งความแค้นซึ่งเป็นเรื่องต่ำๆ ออกไม่ได้   มีจอมอสูรเป็นหัวหน้าชื่อท้าวท้าวสัมพรอสูร ซึ่งตอนหลังเรียกว่าท้าวเวปจิตติ เป้นจอมอสูรผู้มีจิตหวาดหวั่นอันมีเหตุจากไปรื้อศาลาและเครื่องบริขารพระฤาษีผู้ทรงฌาน แล้วถูกพระฤาษีว่ากล่าวหรือแช่งด้วยก็ไม่รู้

กำเนิดฝ่ายเทวดา
ส่วนทางฝ่ายท้าวสักกะ หรือพระอินทร์นั้นจะเห็นว่าเป็นจอมเทพฯอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๒ ของสวรรค์ทั้งหมดที่มีอยู่ ๗ ชั้น คือจะอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ    แต่อสูรจะกรีฑาทัพขึ้นไปตีแค่ ชั้นดาวดึงส์ สูงกว่านั้นอสูรขึ้นไปไม่ถึง  แม้นว่าแต่เรื่มเดิมที เทวดาจะมีนิสสัยไม่ดี ที่ไปแย่งนครของเทวดาที่อยู่มาก่อน แต่ภายหลังจากนั้นเทวดาใหม่ก็ได้เจริญสติ เจริญกุศลธรรม ให้สูงๆขึ้น จนมีระดับเทวาดาชั้นสวรรค์ถึง ๖ ชั้นเทวดาเสวยสุขอยู่ในสุขารมย์ จนกว่าจะหมดอายุขัยทีได้จากกำลังุบุญกุศลที่ได้สร้างมา

เทวดาบนชั้นดาวดึงส์จะมีอารมย์ต่างจากอสูรคือ เทวดาชั้นนี้  จะมีความสุนทรีย์ ในดนตรี ระบำรำฟ้อน และเครื่องประโลมอารมย์กามคุณทั้ง ๕ สูงสุดกว่าเทวดาชั้นอื่น แต่เหล่าเทวดาทั้งหลายชอบนิยมฟังเทศฟังธรรม   ทั้งที่พระอินทร์ทรงเทศน์เอง หรือมีพระพุทธมาเทศนาโดยเฉพาะในวันพระนี่ คล้ายๆกับมนุษย์หรือผู้คนบางพวกในโลกมนุษย์สมัยปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะประเทศไทยหาดูชมได้ไม่ยาก  

โดยปกติเทวดาจะมีเทวธรรม คือ ธรรมะประจำใจของเทวดา ๒ ประการคือ 

มีหิริ = ความละอายต่อบาปอกุศลทุกชนิด แม้ความคิดที่ไม่ดี ก็ไม่กล้าคิด และ
มีโอตตัปปะ = มีความเกรงกลัวต่อบาป  กลัวต่อผลของบาปอกุศล   ไม่กล้าที่จะทำบาปอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย  

เทวดาอีกอย่างตามคำศัพท์คือ ผู้กล้า ภาษาบาลีใช้คำว่า วีร (วี-ระ), สุร (สุ-ระ) หรือ สูร (สู-ระ), หรือ สุรา (สุ-รา) ที่หมายถึงผู้กล้า  ผู้มีแสงสว่าง มีบางท่านนำไปแปลว่า สุระ หรือสุรา หมายเหล้าๆก็คือเทวดา เพราะพอดื่มได้ที่แล้วจะกล้า  อสุรา คือไม่มีเหล้า  แต่สุรา หรือสุระ แปลว่าเหล้า แปลว่ากล้า ดื่มแล้วเมาทำให้กล้า  


ภาพโครงสร้างโดยรวมของโลกธาตุในอดีต สงครามมีสูงสุดแค่ชั้นดาวดึงส์เท่านั้น
สูงกว่านั้นไม่มี บุคคลผู้ใดที่ต้องการไปให้พ้นจากสงครามก็พึงฝึกตนให้สูงๆขึ้นเลยช้นนี้

                                               
โครงสร้างโลกธาตุจากปรัชญาโบราณ
ภาพจาก https://lh6.googleusercontent.com/-y8MlqdY2-tE/Uro8_A3Jm3I/AAAAAAAAFnE/c5e_TPkNdB8/w700-h525-no/11283-1.jpg
ภาพข้างบน  เป็นภาพจากปรัชญาโลกธาตุโบราณ ผมเองก็ไม่รู้ว่าแรกเริ่มแนวคิดนี้เริ่มมาเมื่อสมัยใด  เป็นแนวคิดของพุทธหรือว่ามาจากพราหมรณ์ ยังไม่แน่ชัด  ต้องมองตามภูมิรู้ครับ     ผมมองในคติโลกปัจจุบันว่าเป็นการอธิบายโครงสร้างทางจิตวิญญาน      บูรพาจารย์ท่านซ่อนแง่คิดต่างๆอะไรระดับไหนก็แล้วแต่ปัญญาจะไปถึงผมเขียนเท่าที่ผมรู้    โลกสมัยก่อนกับโลกสมัยนี้   ความหมายอาจต่างกัน ต้องมีพื้นฐานเรื่องธาตุ  เรื่องพื้นฐานทางจิตสมัยก่่อนด้วย 

                                                                                        สวัสดีครับ
                                                                                   มหาปลี จักรวาล


                                                     บทที่ ๔ สร้างกองทัพเทวดา (หยดน้ำเทวา)