เรื่องเวลา

เวลาคือการวัดการหมุน  ของอะไรก็ได้  ของอารมย์ ของไฟฟ้า ของวัตุ ของดวงดาว ฯลฯ

การนับเวลาในสมัยก่อน มี ๒ วิธีคือ
๑. นับด้วยจำนวนสังขยา หรือนับด้วยตัวเลขด้วยลำดับ เช่น ๑..๒..๓..๑๐๐..๑๐๐๐๐ จนนับไม่ได้ ยาวมาก
๒. กำหนดโดยวิธีอุปมาอปมัย  เมื่อนับไม่ได้  เพราะยาวมากๆหรือสั้นมากๆ  จึงใช้วิธีกำหนดในรูปแบบใหม่เชิงเปรียบเทียบอย่างใดอย่างหนึ่ง  แบบนี้เรียกเป็นแบบออุปมาอุปมัย เช่นเอาผ้าขาวบางไปเช็ดภูเขา กว้างหนายาว ๑ โยชน์ ๑๐๐ ปีเช็ดครั้งหนึ่งจนภูเขาสึกหมด  เวลานี้คือ ๑ มหากัปป์


ตัวอย่างการนับเวลาเรียงตามลำดับจากยาวนานที่สุดไปสั้นที่สุด
มหากัปป์/ อสงไขย /กัปป์ /ปี / เดือน / วัน / ชั่วโมง/  นาที /วินาที/มิลลิวินาที/ ไมโครนาที(คูณ10 ยกกำลัง-6 /นาโนนาที คูณ 10ยกกำลัง -9 /เฟมโตนาที 10 ยกกำลัง -15 /แอตโตนาที (คูณ 10 ยกกำลัง - 18 ) อันนี้ลองยกตัวอย่างแบบโบราณผสมกับแบบปัจจับันครับ

สรุปเอาว่าเราแบ่งเวลาเป็น  ๓ ช่วง คือ

มหากัปป์/อสงไขย/กัปป์ /ปี ช่วงที่นาน ถึงนานมากๆ จะใช้อธิบายเวลาทางพุทธศาสนา เรื่องพระพุทธเจ้า บำเพ็ญบารมี เรื่องอายุโลกอายุจักรวาล อายุของคนในสมัยหนึ่งๆ  กับเวลาที่นานเกินไปจนนับเป็นตัวเลขไม่ได้/สมัยนี้อาจเขียนเป็นเลขยกกำลังด้านบวกได้

ปี /เดือน/วัน/ชั่วโมง/นาที /วินาที  เป็นเวลาทั่วๆไปของมนุษย์ที่ใช้ทำกิจกรรม

มิลลิ/ไมโคร/พิโค/นาโน/เฟมโต/แอตโต/นาที เป็นเวลาที่ใช้ในระบบอีเลคทรอนิคส์ ในระบบคอมพิวเตอร์ คือเวลาจะสั้นๆมากๆ เศษหนึ่งส่วนล้านวินาที น้อยๆลงไป จนนับเป็นตัวเลขธรรมดาไม่ได้    จึงต้องเขียนเป็นไปในลักษณะเลขยกกำลังด้านลบ ซึ่งเป็นตัวเลขจริง  ที่ใช้กับระบบประมวลผลของ CPU หรือ เทคโนโลยีใดๆ ที่สูงกว่าทันสมัยกว่า

เรื่องเวลาขนาดใหญ่โตมโหฬาร 

จะใช้สำหรับการเล่าเรื่องราวการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า ที่อิบายคร่าวๆเป็นภาษาปจจุบันดังนี้
อายุกัป หมายถึง ช่วงระยะเวลาสำหรับอายุขัยของมนุษย์ (ในยุคพุทธกาลสมัยพระพุทธโคดม 1 อายุกัปของมนุษย์ ประมาณ 100 ปี อายุกัปสมัยพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ หมื่นปีบ้าง  8 หมื่นปีบ้าง อสงไขยปี บ้าง) ส่วนมหากัปป์ หมายถึง ช่วงระยะเวลายาวนานมากๆของเอกภพ ของจักรวาล

กัปป์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามีอยู่ ๒ ประการ คือ 

๑) สุญญกัปป์   หมายถึง กัปป์ที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ
๒) อสุญญกัปป์  หมายถึง กัปป์ที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า    และพระเจ้าจักรพรรดิ อุบัติขึ้น

อสุญญกัปป์มี ๕ อย่างคือ

๑) สารกัปป์ ได้แก่ มหากัปป์ (= ๔ อสงไขยกัปป์) ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ๑ พระองค์
๒) มัณฑกัปป์ ได้แก่ มหากัปป์ (= ๔ อสงไขยกัปป์) ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ๒ พระองค์
๓) วรกัปป์ ได้แก่ มหากัปป์ (= ๔ อสงไขยกัปป์) ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ๓ พระองค์
๔) สารมัณฑกัปป์ ได้แก่ มหากัปป์ (= ๔ อสงไขยกัปป์) ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ๔ พระองค์
๕) ภัทรกัปป์ ได้แก่ มหากัปป์ (= ๔ อสงไขยกัปป์) ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ๕ พระองค์

ภัทรกัปป์ ( คือกัปป์ปัจจุบัน ) 
มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้ว ๔ พระองค์คือ
- พระพุทธกกุสนโธ
- พระพุทธโกนาคมน์
- พระพุทธกัสสป
- พระพุทธโคดม ( สมเด็จพระศาสดาองค์ปัจจุบัน )
- และจะมี พระพุทธเมตไตรย มาตรัสรู้ในอนาคต


เมื่อสิ้นมหากัปป์นี้แล้ว คัมภีร์อนาคตวงศ์กล่าวไว้ว่าอสุญญกัปป์ต่อไปจะเป็น มัณฑกัปป์ มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์คือ พระรามโพธิสัตว์ และพระเจ้าปเสนทิโกศล(พระธรรมราช 

คลิก  ดูเพิ่มเติมจากลิงค์
โลกคือดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง  จะอาศัยได้จากด้านนอกเข้าด้านใน ดวงนอกเก่าแก่ ก็ย้ายดวงวิญญานมาไว้ที่ดวงข้างงใน  เข้ามาเรื่อยๆ จนครบหมดทุกดวง  เข้าต่อไม่ได้เพราะดวงอาทิตย์ก็แก่แล้ว จึงต้องย้ายไปหาจักรวาลอื่นอยู่ต่อไป/ ท่านบอกมานะครับ




          เวลาปัจจุบัน   จะใช้บอกเรื่องราวของมนุษย์ จักรวาล เป็นหลัก       
          การแปลงหน่วยเวลา  ลองดูครับ ได้โค๊ดมาจากเวปไซด์ การแปลงหน่วยวัดต่าง





จาก:
ไปที่:
ผล:
การ แปลง เวลา



ดูหมอ หมอดู ๑

นิทานดูหมอ หมอดู  ตอนที่ ๑
เรื่องหมอดู เรื่องดูดวง หรือการแลเกณท์ศัพท์โบราณปักษ์ใต้  เป็นเรื่องสัมพันธภาพระหว่างเทพฯกับมนุษย์ สมัยก่อนโน้นจะเป็นหน้าที่ของพราหมณ์ ของวรรณพราหมณ์   ต่อมาก็เฉพาะในวัง พระตามวัด   สมัยนี้หมอดูเยอะมาก    เป็นยุคทองของหมอดูเพราะการเข้าถึงวิชาความรู้ทำได้ง่ายไม่เหมือนสมัยก่อน ยากที่คนธรรมดาจะได้เล่าเรียน     ก็ไม่รู้มีท่านใดเป็นพราหมณ์  หรือมีคุณธรรมความเป็นวรรณพราหมณ์บ้างหรือเปล่า     ผมขอเขียนถึงเรื่องราวแนวนี้เสียหน่อย  โดยขอเวียนๆรอบนอกเวทีก่อนนะครับ


วิชา ดูหมอดูดวง สายต่างๆ

๑. การดูหมอแบบไม่มีวันตาย ดูแบบเสี่ยงทาย ใช้จิตอธิษฐาน แนวที่มีมานาน จะคงอยู่ตลอดกาลต่อไป เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในสมัยก่อนโน้นจำวัน เดือน ปี เกิดไม่ได้ และ ไม่ค่อยคิดจะจำ หรือไม่รู้ ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองเกิดวันไหน และสมัยนั้นยังใช้เวลาจริง ยังไม่ใช้เวลานาฬิกา  ก็สะดวกง่ายดี   ชีวิตสังขารยังไม่ซับซ้อนการดูหมอแนวนี้หากตั้งจิตตั้งใจดีๆ    อาจแม่น กว่าการคำนวณ ที่ขาดความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงก็ได้ ตรงนี้จะบอกว่าเรื่องจิตเป็นเรื่องที่ไม่ตาย


การดูหมอสายนี้ เช่นการแทงศาสตราของชาวปักษ์ใต้ในสมัยก่อน   การเสี่ยงเซียมซี  การดูไพ่  ไพ่ยิปซี ไพ่ทาโรห์  เสี่ยงทายลูกเต๋า  เสี่ยงทายโอเรกุรัม การทำนายฝัน  การดูบ้าน ดูรถ ดูบัตรประชาชน ฯลฯ

๒.สายเลข สายคำนวณ   ก็มีมานานแล้วเช่นกัน       เริ่มแรกก็ใช้วันขึ้นแรม เดือนปี   ตามหลักจันทรคติ อาจเห็นเป็นแผนภูมิแบบกราฟ แบบเลข ๗ ตัว ๙ ตัว แบบ ฯลฯ ต่อมาก็เป็นวิชาโหราศาสตร์ ใช้คำภีร์สุริยาตร์ คำภีร์? สร้างปฏิทินดวงดาว พระเคราะห์ ๗ ดวง ดาวหลายดวงฯ และโปรแกรมคำนวณและทำนายมากมาย ตั้งแต่พื้นๆ ถึงซับซ้อน มีให้โหลดมาดู มาศึกษาได้เลยครับ ปัจจุบันก็มีของมหาหมอดูฯ พลโชติ และฯ เสียเงินไม่กี่ร้อยก็ได้ฉบับเต็มศึกษาและทายได้ตลอดชีพ หรือแบบฟรีๆที่ขาดบางส่วนก็ได้ โดยทั่วไป ก็เห็นว่าดี อยู่ที่พื้นความรู้เดิมด้วย ว่าเข้าใจโลกเข้าใจชีวิตแค่ไหน


สายเลขแบบอื่นๆ ที่ไม่ถือว่าคำนวณ มีเยอะแยะไปหมด เช่นดูเลขโทรศัพท์ เลขบัตรประชาชน เลขทะเบียนรถ เลขที่บ้าน และเลขอะไรๆที่เห็นที่เจอเอามาบวกมาลบมา ? ก็เป็นอันพยากรณ์ได้ทุกอย่าง ถือว่าเก่งมากครับ ขั้นเทพฯ

๓.สายนรลักษณ์ศาสตร์ ดูรูปที่เห็น เช่นการดูโหงวเฮ้ง ทักษาชื่อ ลายมือ ลายตีน ไผปาน แผลเป็น อวัยวะภายนอกร่างกายต่างๆ ฮวงจุ้ยบ้านเรือน ที่ดิน ก็นำมาทำนายตั้งเป็นหลักทฤษฎีต่างๆขึ้นมากมาย

๔.แบบแนวจิตสำผัสโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆเป็นตัวช่วยเลย มีหลายระดับชั้น แต่ที่มากคือสายทรงเจ้าเข้าผี (เทพฯ) เป็นสุดยอดวิชาครับ มีเยอะ ไม่อยากบอกว่าส่วนใหญ่ต้มตุ๋น อาจจะมีเป็นเทพฯจริง ผีจริงก็ได้ แต่ท่านจะรู้จริงไม่จริงนั้นเรื่องหนึ่ง ตรงนี้ผมแทบจะไม่มีประสบการณ์

นอกนี้ ยังมีการทำนายชีวืตด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ โดยใช้ข้อมูลจากโครโมโซม ดีเอ็นเอหรือยีนส์ ตรวจรหัสพันธุกรรม 46 แท่ง ทำนายชีวิต ที่ว่ากันว่าแค่เส้นผมเส้นเดียว หรือเศษหนังกำพร้าที่หลุดออกมา ก็สามารถรู้ความเป็นไปของชีวิตในอนาคตได้ (เคยเป็นข่าวในลักษณะนี้เมื่อราว 10 กว่าปีกอน ) ซึ่งเทคโนโลยีนี้ จริงๆแล้วไม่รู้พัตนาไปถึงขั้นไหน ไม่ได้ศึกษาติดตาม น่าจะถูกกำหรืออมไว้โดยเพนตาก้อน หน่วยงานสูงสุดของประเทศเจ้าโลก อเมริกา

แล้วการดูหมอแบบไหน จะถูกต้องกว่ากัน ดีกว่ากัน คนนิยมมากกว่ากัน หมายถึงคนธรรมดาทั่วไป
มีคติโบราณบทหนึ่งกล่าวว่า / ปากเป็นเอก เลขเป็นโทโบราณว่า หนังสือตรีมีปัญญาไม่เสียหลาย ถึงรู้มากไม่มีปากลำบากกาย มีอุบาย พูดไม่เป็นเห็นป่วยการ /

ท่านสรุปว่า เลขเป็นรอง วาทะศิลป์ /ศิลปศาสตร์ เหนือกว่า ภาคคำนวณ คนรู้และเข้าใจชีวิต จิตวิทยาสูง พูดเก่ง อย่างนักการเมือง ยังไงก็ได้เปรียบนักคำนวณ รู้นิดแต่ไหลลื่นไปได้สบายน่าเชื่อถือกว่า แต่คนส่วนใหญ่ก็อยากเจอแบบแม่นเป๊ะๆทั้งนั้น แบบไหนก็ได้ แต่อย่าคิดค่าดูแพงนักครับ
                                                                                    มหาปลีสีทันดร
                                                                             
นิทานดูหมอ หมอดู ๓         นิทานดูหมอ หมอดู   นิทานดูหมอ หมอดู 
นิทานดูหมอ หมอดู นิทานดูหมอ หมอดู                นิทานดูหมอ หมอดู