พระเจ้า เทวดา ชะตามนุษย์

sonteen  theory
พระเจ้า เทวดา ชะตาชีวิตมนุษย์  (1)
พระเจ้า สร้างเทวดา เทวดาสร้างมนุษย์ มนุษย์ก็สร้างอะไรต่อมิอะไรมากมาย   สืบเนื่องกันไปตามสงสารวัฏฏ หากมองแค่เป็นเรื่องรูปก็ตลกดี  หากมองเป็นชั้นพลังงาน ชั้นโลกธาตุ อสีติธาตุฯเหตุผลนั้นย่อมมี มีเต็มเปี่ยม

ทฤษฎีส้นตีน เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นมาเล่นๆตามความคิดเห็นส่วนตัว  เหมาะสำหรับคนบ้าเท่านั้น  คนดีๆไม่ควรอ่าน  หากอ่านไปแล้วก็ไม่ควรคอมเม้นท์ใดๆ จะได้ไม่ผิดใจกันครับ


มนุสภูมิอยู่ชั้นที่ ๘ นับเข้าไปด้านใน ผ่าน รากษสคนธรรพ์ นักสิทธิ์วิทยาทร รุขเทวดฯ ไม่ได้เรียงตามลำดับ ว่าอะไรมั่ง ที่เป็นภูเขาทั้ง 7 คือสัตตบรรพต ก่อนถึงดินแดนเทวดาและพรหม และหากอารมณ์ตกต่ำลง ก็จะจมลงไปในสีทันดรมหาสมุทรๆที่ลึกที่สุดของจักรวาล ไหลไปยังอีกด้าน ด้านมืด ด้านอสูร มหาบรรพต 3 ยอด

อสูรระดับสายตาคือมืด มองไม่เห็น คือไม่มีสุร คือแสงอาทิตย์ ปัจจุบันคือไม่มีไฟฟ้า ตะเกียง คือมืดมองไมเห็นอะไร นอนดีกว่า อย่าทำการใดๆ

อสูรระดับปรมณู คืออารมย์ทางจิต มืดมิดไปด้วยไฟ 3 กอง ไฟโลภ โกรธ หลง จึงตกไปอยู่ที่ภูเขาตรีกูฏมหาบรรพตหัวหน้าคือจอมอสูร เจ้าแห่งความโลก โกรธ หลง ต้องแบกโลกไว้ทั้งหมด เพราะเป็น ของกู ของกูๆ

มนุษย์ประกอบด้วยเทวดา ๘ องค์  ถูกส่งลงมาเมืองมนุษย์   มาขุดหาธาตุ ๔ อันเป็นทรัพย์สินของพระพรหมที่เตรียมไว้ให้  นำมาปรุงแต่งรูปนาม  และบริวารทั้งหลาย ทั้งอัตตาตนเอง  ครอบครัว สังคม  นิติบุคคล ถึงประเทศ ถึงระดับโลก คือทำอนัตตาให้เป็นอัตตา เป็นตัวละคร ธาตุ ๔ ธาตุ ๘ ธาตุฯลฯ คน 1 คน คนล้านคน คนนับไม่ได้  แต่มาจากแกนเดียว แบ่งภาคเป็นหลายแกน แกนละ๘ องค์ องค์ละ ๒ ภาค จากเอกเป็นอนันต์ จากความจริงเป็นมายา ละครซ้อนซ่อน

เพราะฉะนั้นมนุษย์รูปและบริวารรูปทั้งหลาย  ล้วนเป็นทรัพย์สมบัติของพระพรหมทั้งสิ้น  การกระทำใดๆ ของรูปนามผู้กระทำต่อรูปนามมนุษย์ผู้ถูกกระทำ  ล้วนเป็นผลกระทำต่อพรหม   ที่มีกฏมีเกณท์ซับซ้อน  กฎของรูปนามอันประณีตส่งเสริมหรือหักล้างกันทั้งสิ้น ทางที่ดีเอาตามที่พระภิกษุบอก..คืออย่าทำบาป

ผู้เจริญแล้ว ที่เรียกกันว่าพระคือถึงระดับพระ  ภิกษุก็ดี โต๊ะครู โต๊ะอิหม่ามก็ดี บาทหลวงก็ดี หรืออริยบุคคลก็ดี เมื่อมีปัญญาเข้าถึงสัจจะ    จะกระทำต่อสมบัติพระพรหมด้วยปัญญาเท่านั้น  คือทำการลดความมืดบอด เทศนาสั่งสอนชี้ทางสว่าง แผ่เมตตา ให้องค์เทวดา ที่เชิดสังขารนั้นอยู่ คล้ายกับการเพิ่มโวลท์ เพิ่มกระแส ในรูปแบบอนาล็อค หรือเพิ่ม เลข16 ฐาน คือ 0123456789ABCDEF ที่เหมาะสมเข้าไปทีเทวดาองค์ที่ต้องการแก้ไขได้ เรื่องนี้เอาไว้บอกตอนวิธีแก้ไขดวงชะตา

กำเนิดพระเจ้า  คติหลวงกล้วย  พระเจ้าไม่มีกำเนิด อยู่อย่างนี้  เหนือกาลเวลา พราห์มอินเดียว่ามีองค์เดียว แต่ 3 ภาค พราหมณ์หนองไชยาสุหราก็ว่าแบบเดียวกัน พราหมณ์จริงๆเป็นเช่นไร  ตรงนี้ไม่อยากเขียนมาก เดี๋ยวโดนกระทืบ

กำเนิดเทวดาทั้ง ๘ ถูกสร้างโดยพระศิวะ พระศิวะอาจเกี่ยวพันกับศิวลึงค์  ได้ส่งองค์เทพฯ  สู่ดินแดนมนุษย์ให้พระพรหมมารดาของโลกใส่ลงเบ้า  จ่ายไฟฟ้าและกระแสธาตุ ๔  และค่อยๆ มีมวลมีรูปบังเกิดขึ้นให้ตามองเห็น

เทวดาได้รับพลังจากธาตุ ๔  จึงทำงานได้  ร่วมกันสร้างโลกใหม่  ได้เป็นตัวอ่อนทารก ค่อยๆเติบโต  เติบโต   ครบกำหนดเวลาก็ออกมาโลกภายนอก หมอดูโหราศาสตร์    ก็เอาภาพดวงดาวในจักรวาลท้องฟ้าเวลานั้นสวมทับลงไป  ใช้สำหรับอ้างอิง คำนวณหาการเดินทางผจญภัยขององค์เทพฯต่อไป

ชั้นในก็เสวยอารมณ์ตามกำลังเทวดา ชั้นนอกออกมาเป็นนรลักษณ์รูป ผู้มีปัญญาเห็นแล้วรุ้ว่าเทวดาองค์ไหนเด่น องค์ไหนด้อย ก็รู้ความเป็นไปในแต่ละกาลเวลา ว่าองค์เทวดาจะนำพาสังขารมนุษย์นั้นไปทางไหน   ก็จะหาวิธีแก้ไขดวงชะตาได้ถูก หากขอร้อง หรือจ่ายตังค์  ตรงนี้หมายถึงหมอดูที่เก่งจริง

หมอดูอีกสาย ใช้แบบจันทรคติ ไม่สนใจดวงดาวบนฟ้า  เอาพระเคราะห์บนโลกเป็นคำทำนายสังขาร      หมอดูอีกสายใช้วิธีดูใบหน้าหรือนรลัษณ์ บางสายก็ดูลายมือ มีเยอะหลายรูปแบบ  ฯลฯ ตามแต่ที่ได้คิดค้นวิเคราะห์กันมา เอามาตรวจดูชะตาเพื่อแก้ไข เอาบุญ เอาตังค์ ตามแต่ความต้องการของหมอเอง

หมอดูจะไม่ผูกดวงตอนปฎิสนธิจิตหรือตอนมาเกิด  กับตอนจุติจิตหรือจิตสุดท้ายก่อนสิ้นลมว่ามาจากไหน จะไปไหน ท่านเอาแต่เหตุการณ์ที่จะเป็นไปบนโลกเท่านั้น

ชีวิตสังขารทีเกิดมา  จะดำเนินไปสร้างโลกใหม่ต่อไปเรื่อยๆ  ตามลักษณะเทวดาผู้ควบคุมรูปนาม เป็นโลกชั้นร่างกาย  ชั้นสังคมฯสิ่งแวดล้อม ซึ่งสำพันธ์กับชั้นในคืออารมณ์เทวดากำเนิด  และจะผ่านสิ่งสนับสนุนและอุปสรรคหักล้าง  ตามเส้นทางวงกลมวัฏฏสงสาร คือกาลเวลาจนกว่าจะหมดอายุขัย

หากเราสังเกตุดีๆ จะมองเห็นพระเจ้า  ภาคพระนารายณ์และพระอิศวร คอยเฝ้าแลดูเทวดา   ค่อยเพิ่มพลังให้เทวดา ตามโชคชะตาหรือกรรมเวรของดวงจิตแต่ละดวง   ดวงไม่ดีกรรมไม่ดี อสูรก็ทุบตาย ก่อนตั้งแต่ไม่ทันได้โต เพื่อส่งสังขารคืนพระพรหมคือธาตุดิน  เพื่อทำใหม่  ตามคิว พระนารายณ์ดูแลระบบไฟ พระอิศวรดูแลระบบลมถึงอากาศธาตุ  รวมให้อุ่น สะอาด หอม มีอ็อกซิเจนไม่ขาด ไม่ให้เกิดอนุมูลอิสระมะเร็ง แยกดินแดนได้

หน้าที่เทวดาคือทำให้โตให้เจริญ หน้าที่เทวอสูรคือทำให้มีอุปสรรคทำให้เสื่อม  ทำให้คืนกลับสู่พรหม คือกลับสู่ธาตุเดิม ธาตุตั้งต้น มหาภูติรูป ๔ ตามระดับสังขาร ๑ รูป พันรูป ล้านรูป

เรื่องนี้เขียนลงในบล็อกตั้งไว้  และเอาไปลงเฟสบุ๊คด้วย   เผื่อใครไปเจอเรื่องนี้ที่ไหน จะได้รู้ว่าอ่านมาจากหลวงกล้วยก่อนแล้ว

ตอนต่อไป   คลิกไปทฤษฎีส้นตีน 2

วันพิพากษาโลก

คำทำนายของ พระอาจารย์ชา  ญาณ์ธนโชติแห่งบ้านธะธรรมชาติ คำทำนายที่ต้องเก็บไว้เป็นหลักฐาน

พระอาจารย์ชาคือใคร...พระอาจารย์ชา เป็นพระศาสดาองค์ใหม่ มีนามเต็มว่า พระอนัตต์ณังธะโคตร ก่อตั้งศาสนาใหม่เมื่อปี พศ. 2559 ดูประวัติที่  http://thathammachat.blogspot.com/2016/07/blog-post_29.html

16/7/59
วันพิพากษาโลก...แต่ไม่สิ้นโลก
จาก..http://thathammachat.blogspot.com/2016/07/blog-post_10.html

พระอาจารย์ชา  ญาณ์ธนโชติ  แห่งบ้านธะธรรมชาติ   ได้ออกมาเตือนถึงเรื่องราวของมหาภัยพิบัติ ที่จะเกิดขึ้น ว่าอีกไม่เกิน ๑๓ปี ๔ เดือน ข้างหน้า โลกมนุษย์เราจะเกิดภัยพิบัติอย่างใหญ่หลวง รุนแรงถึงขั้นทำให้ประชากรโลก  เสียชีวิตทันทีอย่างต่ำ ๔ พันล้านคน  (ประชากรรวมทั้งโลกขณะนี้มีเจ็ดพันกว่าล้านคน)


(เรื่องนี้ท่านรู้มาก่อนนานแล้ว ว่าต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ เพราะเป็นกรรมของมวลมนุษย  ท่านไม่สามารถจะระบุวันเวลาที่แน่นอนได้อย่างเฉพาะเจาะจง เพราะธรรมชาตินั้น ยิ่งใหญ่มากจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อาจจะเกิดขึ้นเร็วหรือช้า แต่จะไม่เกิน ๑๓ ปี ๔ เดือน นี้อย่างแน่นอน) ซึ่งหลายท่านอาจยังคงมีชีวิตอยู่ทันที่จะได้พบเห็นกับเหตุการณ์สุดสยองเหล่านี้

เรื่องภัยพิบัตินั้นมันจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม พวกเราที่เป็นผู้ที่มีปัญญาไม่ควรประมาท ควรที่จะศึกษาเรียนรู้และหาวิธีรับมือเอาไว้ก่อน ดีกว่าปล่อยไปตามเวรตามกรรม...

เรามาฟังถึงเรื่องราวที่พระอาจารย์ชา ได้เล่าให้คณะศิษย์...ฟังกันว่าเป็นอย่างไร?


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ท้องฟ้าดูหมองหม่น ไม่มีฝน ลมไม่พัดเลยเงียบเชียบวังเวง สัตว์เลี้ยงดูรุกรี้รุกรน วิ่งวนไปมา ร้องครวญครางอย่างผิดปกติ

1) ต่อมาจะมีดาวเคราะห์ใหญ่ดวงหนึ่งโคจรเข้ามาใกล้รัศมีของโลกมาก แต่จะไม่ชนโลก

2) ทำให้สนามแม่เหล็กของดาวดวงนั้นที่มีพลังงานคลื่นแม่เหล็กที่เป็นขั้วบวกกับขั้วลบระหว่างของโลกและดาวดวงนั้น เกิดแรงผลักแรงต้านกัน ทำให้สนามแม่เหล็กและแรงดึงดูดเกิดปะทะกันเสียงดังสนั่นหวั่นไหว อย่างที่ไม่เคยมีเสียงใดดังมากและเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต



เสียงนั้นดังมากถึงขนาด ทำให้มนุษย์ทุกคนบนโลกเลือดออกจากหู แก้วหูแตก นอนเกลือกกลิ้ง กรีดร้อง หูหนวกอย่างฉับพลัน และไม่ได้ยินเสียงใดๆอีกเลย มันเป็นเสียงของมัจจุราชที่มาพิพากษาโลก คร่าชีวิตผู้คนโดยเฉพาะคนชั่ว คล้ายถูกประหารชีวิต จนตายอย่างทรมาน ส่วนคนดีที่มีศีลมีธรรม ก็จะมีอันรอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราช คือผู้ที่ถูกเลือก จะได้รับการยกเว้นเอาไว้ โดยจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเกิดปาฏิหาริย์ต่างๆทำให้แคล้วคลาดบ้าง หรือหลบภัยได้ทันท่วงทีบ้าง เพื่อให้มนุษย์ที่มีศีลธรรมเหล่านี้ได้มีชีวิตรอดเพื่อสร้างหรือกระทำความดีกันต่อไป


3) พลังงานจากสนามแม่เหล็กของดาวดวงนั้นสูงมาก ถึงขนาดทำให้โลกหยุดหมุนไป ๗ วัน คำกล่าววลีที่ว่า “อยากให้โลกหยุดหมุนนั้น กลายเป็นความจริงขึ้นมาทันที” ยากที่ใครๆจะเชื่อได้ (ประเทศไทยของเราตอนที่โลกหยุดหมุนอยู่ด้านมืดพอดี จึงทำให้มืดสนิทมองอะไรไม่เห็นตลอด ๗ วันเลยทีเดียว)   ดาวเทียมและสถานีอวกาศล่วงลงสู่พื้นโลก ประเทศเราท้องฟ้ามืดมิด๗วัน๗คืน อสูรกายออกอาละวาดเพราะประตูมิติต่างๆเปิด มันมากับความมืด ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เปรี้ยงปร้าง ดังระงมตลอดเวลา สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่เราเคยใช้ เช่น ระบบอินเตอร์เน็ต ระบบนำวิถี ระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆและกระแสไฟฟ้า จะล่มและดับหมดใช้การไม่ได้ พื้นที่ตรงไหนถ้าที่มีแสงสว่างก็จะถูกฟ้าผ่าลงที่นั่นทันที  จะมีแสงสว่างไม่ได้

ไม่นานหลายพื้นที่บนโลกก็เกิดแผ่นดินไหว ความรุนแรงของแผ่นดินไหวอย่างน้อย ๑๐-๑๕ ริกเตอร์ ไหวอยู่นานหลายชั่วโมง ต่อมาภูเขาไฟระเบิดพร้อมกันหลายแห่ง เปลือกโลกเกิดการยุบตัวโดยเฉพาะประเทศอินเดียจมหายไปในพริบตา จนเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ถาโถมสูงประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ เมตร กวาดต้อนผู้คนและตึกรามบ้านช่อง ยากที่มนุษย์จะเหลือรอด แต่ถ้ามนุษย์ยังมีชีวิตรอดอยู่ได้อีก ต่อมาอากาศจะเริ่มหนาวเย็นแล้วจะมีก้อนน้ำแข็งหรือลูกเห็บยักษ์ ทยอยตกลงมาจากท้องฟ้า อย่างต่อเนื่อง ทำให้อากาศหนาวเย็นและมีลมแรงมากลูกเห็บที่ตกลงมานั้น มีความเย็นจัดรวมทั้งมีเชื้อโรคปนเปื้อนมาด้วย ลูกเห็บก้อนใหญ่จะมีขนาดเท่ารถสิบล้อหรือตู้คอนเทรนเนอร์ ก้อนเล็กขนาดเท่ากับรถยนต์ ตู้เย็น ทีวี รูปร่างของมันจะมีหลายลักษณะจะไม่กลมเสียทีเดียว ประเทศไทยและประเทศในโซนเอเซียที่ตกอยู่ในความมืด ทำให้เรามองไม่เห็นลูกเห็บยักษ์ที่กำลังตก จึงเสียชีวิตอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวเพราะไม่รู้จะหลบยังไงเพราะมองไม่เห็น


ประเทศไทยเขื่อนทุกเขื่อนแตกหมด ภูเขาไฟต่างๆที่เคยหลับไหลกลับฟื้นคืนชีพ ปะทุขึ้นมาหลายแห่งลาวาไหลนองไปทั่วแผ่นดิน  กรุงเทพฯเมืองหลวงน้ำท่วมอย่างถาวร ถึงขนาดไม่มีที่แห้งให้ยืน ผู้คนทั่วทุกมุมโลก ต่างล้มหายตายจากเป็นจำนวนมาก หลายพันล้านคน แต่ละประเทศจะเหลือประชากรเพียงน้อยนิด ประเทศไทยของเราเหลือประชากร ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซนต์กับประเทศอื่นจะเหลือมากที่สุดคือจะเหลือประมาณ ๑๒-๑๔ ล้านคนเป็นอย่างน้อย ผู้คนที่มีชีวิตรอดต่างกรีดร้อง เสียสติ คลุ้มคลั่งเป็นบ้า บ้างหูหนวก เป็นโรคผิวหนังขั้นรุนแรง (ผู้คนที่เป็นบ้าและเสียสติ จะมีประมาณ ๔ % ของประชากรโลกที่มีชีวิตเหลือรอด ที่เสียสติเป็นเพราะบุคคลเหล่านี้ไม่เคยฝึกฝนจิต ถือศีลปฏิบัติธรรม รู้จักการลดละเลิกกิเลส และการปล่อยวาง จึงทำให้มีอาการคลุ้มคลั่งเสียอกเสียใจที่พบกับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียทรัพย์สมบัติ บ้านช่อง ครอบครัว ญาติพี่น้อง ฯลฯ)


เมื่อได้ฟังถึงเรื่องราวของมหาภัยพิบัติ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแล้ว ท่านลองคิดดูซิว่ามันน่ากลัวขนาดไหน ฉะนั้นมนุษย์ในโลกเราปัจจุบันนี้ จะชิงดีชิงเด่น แย่งความเป็นใหญ่และเบียดเบียนทะเลาะวิวาทกันไปทำไม ในเมื่ออีกไม่กี่ปีก็จะตายกันเกือบหมดแล้ว เราควรสมัครสมานสามัคคีช่วยเหลือกันจะมิดีกว่าหรือ เมื่อถึงวันนั้นคนที่มีชีวิตรอดอยู่ได้เขาคงเป็นคนดีมีศีลมีธรรมจริงๆ ฉะนั้นเมื่อประชากรโลกเหลือน้อยและเหลือแต่คนดีมีศีลธรรม คงจะนำความสันติสุขมาสู่โลกอย่างแน่นอน

หลังจากเกิดเหตุการณ์โลกหยุดหมุน ครบ ๗วันแล้ว ท้องฟ้าก็จะเริ่มสว่างขึ้น โลกเริ่มเคลื่อนตัวหมุนต่อไปได้ แต่คราวนี้กลับหมุนกลับด้านหรือกลับขั้ว จึงทำให้สนามแม่เหล็กโลกกลับขั้ว ในอดีตขั้วแม่เหล็กโลกเคยสลับจากใต้เป็นเหนือ เหนือเป็นใต้มาแล้วหลายครั้ง ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นคือเมื่อ ๗๘๐,๐๐๐ ปีก่อน จึงทำให้ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงหมด เกิดอากาศวิปริต แปรปรวน   ขั้วโลกเหนือกลายเป็นขั้วโลกใต้ พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกและตกทางทิศตะวันออก เมืองร้อนกลายเป็นเมืองหนาว เมืองหนาวกลายเป็นเมืองร้อน(ประเทศไทยกลายเป็นเมืองหนาว ถึงขนาดมีหิมะตก)


 ห้องนิรภัยรูปทรงสามเหลี่ยมปิรามิดกลับหัวกลับหาง

พระอาจารย์ชา ได้แนะนำวิธีรับมือกับมหาภัยพิบัติ ครั้งนี้ว่า

๑.สำรวจหาสถานที่ ที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด เช่นปลอดภัยจากรอยเลื่อนแผ่นดินไหว ปลอดภัยจากคลื่นยักษ์แล้วให้ออกแบบสร้างห้องนิรภัย(ตามภาพ)ออกแบบให้มีอากาศหายใจและป้องกันความหนาวเย็นได้ สร้างหลายแห่งหลายที่ยิ่งดี มีขนาดใหญ่หรือเล็กแล้วแต่ความต้องการของแต่ละบุคคล โดยที่ผนังต้องเสริมเหล็กกันกระแทกทุกด้าน แล้วขุดหลุมให้ลึกเพื่อให้ห้องนิรภัยฝังลงไปใต้ดิน โผล่เพียงยอดแหลมทรงปิรามิด ให้ใช้เหล็กที่มีขนาดใหญ่เพื่อความแข็งแกร่งเพื่อป้องกันแผ่นดินไหว คลื่นสึนามิและลูกเห็บยักษ์ตกใส่

๒.เตรียมหูฟังและเครื่องป้องกันหูไว้ให้พร้อมขณะอยู่ภายในห้องนิรภัย เพื่อใส่ป้องกันคลื่นเสียง  ที่ดังถึง ๑,๐๐๐ -๑,๒๐๐เดซิเบล (อย่างน้อยหูฟังต้องเป็นแบบชนิดเก็บเสียงอย่างดีแบบชนิดที่ใส่ในสนามยิงปืน)
๓.เตรียมน้ำดื่ม,อาหาร,ยารักษาโรค,ชุดป้องกันเชื้อโรค,ชุดกันหนาว และเครื่องยังชีพที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ภายในห้องนิรภัยได้นานถึง ๑ เดือน ของแต่ละคน

๔.เตรียมนาฬิกาแบบไขลานหรือออโตเมติกเพื่อไว้ดูเวลาว่าโลกหยุดหมุนไปกี่วันแล้ว พร้อมกับสิ่งที่ทำให้มีแสงสว่างเช่น แท่งเรืองแสง

๕.ให้ทุกคนนั่งภาวนาสวดมนต์กันภายในห้องนิรภัย ตลอด ๗ วัน ห้ามออกข้างนอกอย่างเด็ดขาด(สวดคาถาป้องกันภัยพิบัติของพระอาจารย์ชา ว่าดังนี้ อิตะติราทัน มันกะโลอังคะ สิลากะละสา สา สะ สะ ติ โห ตะ ติ โห กะหะคะเน )เพื่อไม่ให้อสูรกายที่มาจากต่างมิติ มารังควานและทำร้ายเอาได้  เพราะมันมากับความมืด
๖.เตรียมรถที่สามารถใช้เป็นเรือได้ด้วย พร้อมเชื้อเพลิงให้พร้อม (ใช้ตอนออกมาจากห้องนิรภัยแล้ว เพื่อสำหรับเดินทาง)



***** ก่อนอื่นให้สังเกตว่า  **** 

ก่อนจะเกิดมหาภัยพิบัติ จะมีฝนตกหนัก ๕-๗วัน ติดต่อกันเป็นอย่างน้อย ทุกพื้นที่ ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้วละก้อ ให้พวกเรารีบเข้าสู่ห้องนิรภัยที่ได้สร้างเตรียมเอาไว้ เพื่อหลบภัยโดยทันที

ถ้าทุกประเทศทั่วโลก เชื่อในคำเตือนของพระอาจารย์ชา ญาณ์ธนโชติ และได้เตรียมการแล้วกระทำตามในวิธีที่ท่านแนะนำทั้ง ๖ ข้อ ดังกล่าวแล้ว ก็จะทำให้มนุษย์โลก มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตรอดต่อไปได้อีกเป็นจำนวนมาก

เขียนโดย SPW Entertainment ที่ 07:07

(ชี้แจง) เรื่องคำทำนายภัยพิบัติโลกต่างๆ ที่มีในบล็อก  ปกติผมนายปรีดี ยืนยง  (ผู้ลอกเรื่องราว มาเก็บไว้)ไม่ได้เชื่อเรื่องคำทำนายภัยพิบัติโลก   แต่ชอบเก็บคำทำนายต่างๆเอาไว้เป็นหลักฐาน   เพื่อความเพลิดเพลิน   เพื่อพิจรณาความคิดความเชื่อ   และเหตุผลของผู้ทำนาย และคนทั่วไปที่ชอบ

แต่ชอบข้อดีของผู้ที่ชอบทำนาย   ที่มักจะไปในทางเดียวกันคือ จะบอกให้ผู้คนอยู่ในศีลในธรรม และอยู่กับธรรมชาติ รักธรรมชาติ อย่าทำลายธรรมชาติ  ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี

ประวัติพระอนัตต์ณังธะโคตร

เรื่องพระพุทธะอนัตต์ณังธะโคตร (ศาสดาองค์ใหม่ ) ลอกเอามาเก็บไว้ครับ เผื่อศาสนาท่านถูกปิด เวปไซด์ถูกปิด จะได้มีข้อมูลหลงเหลือ ให้ค้นคว้า
29/7/59
ประวัติพระอนัตต์ณังธะโคตร
ลอกเพื่อป้องกันข้อมูลสูญหาย  มาจาก http://thathammachat.blogspot.com/2016/07/blog-post_29.html

พระพุทธะอนัตต์ณังธะโคตร ถือกำเนิดขึ้น เมื่อวันพุธ กลางคืน(ราหู )ที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๑๙ เวลา ๐๑.๔๕ น.ขึ้น ๑๒ ค่ำเดือน ๗ ปีมะโรง ที่บ้านทุ่งชุมพล อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง ตรัสรู้ชอบด้วยตนเองเป็นพระพุทธะปัจเจก ตอนเป็นคฤหัสถ์ ที่บ้านท่ามุด อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ในคืนวันศุกร์ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ ขึ้น ๔ ค่ำเดือน ๘ เวลา ๒๔.๐๐ น.


พระพุทธะอนัตต์ณังธะโคตร บำเพ็ญบารมีมา ทั้งสิ้น ๓ อสงไขย กับอีก ๑ หมื่นกัป เป็นพระพุทธะปัจเจกพุทธเจ้าที่พิเศษ กว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าทั่วไป จึงเรียกนามของท่านว่า"พระพุทธะปัจเจกพุทธเจ้า" โดยเพิ่มคำว่าพุทธะนำหน้า ซึ่งในอดีตจะมีพระพุทธะปัจเจกพุทธเจ้า ที่พิเศษแบบนี้อยู่น้อยมาก คือมีเพียง ๔ องค์เท่านั้นในแต่ละกัปป์ คือตัวแทนของคำว่า นะ มะ พะ ธะ โดยมีพระพุทธะปัจเจกพุทธเจ้าที่พิเศษในอดีตผ่านพ้นมาแล้วถึง ๓ องค์ คือ ๑.พระพุทธะนะโคตรปัจเจกพุทธเจ้า ๒.พระพุทธะยันตะมะโคตรปัจเจกพุทธเจ้า ๓.พระพุทธะจันตะพะโคตรปัจเจกพุทธเจ้า ๔.พระพุทธะอนัตต์ณังธะโคตรปัจเจกพุทธเจ้า ท่านจึงเป็นองค์ที่๔ องค์ปัจจุบัน เป็นตัวแทนของคำว่า ธะ หรือธาตุไฟ และเป็นองค์สุดท้ายที่อุบัติในภัทรกัปนี้

พระพุทธะอนัตต์ณังธะโคตร มีรัศมีวรกายสุกสกาว เป็นทองสีแดงที่เรียกกันว่าทองชมพูนุชหรือสีผ้ากำพลแดง หากท่านบรรลุปัจเจกโพธิญาณในเพศคฤหัสถ์ เมื่อท่านบวชแล้วจะแลดูเหมือนพระเถระ ๖๐ พรรษาขึ้นไป

พระพุทธะปัจเจกพุทธเจ้าที่ว่าพิเศษ นั่นก็คือ ท่านสำเร็จบารมีที่บำเพ็ญทั้ง ๓ ส่วนคือ ๑.ปัญญาธิกะ สำเร็จด้านปัญญา ๒.ศรัทธาธิกะ สำเร็จด้านศรัทธา ๓.วิริยาธิกะ สำเร็จด้านความเพียร รวมทั้งสำเร็จวิชชา ๓ จรณะ๑๕ อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ท่านจึงมีบารมีและมีความสามารถ ที่จะสั่งสอนหรือ ถ่ายทอดธรรมให้บุคคลต่างๆ บรรลุมรรคผลนิพพานได้ แต่จะบรรลุได้เพียงไม่เกิน ๕ คนต่อหนึ่งครั้ง ตามกำลังบารมีของท่าน

ความพิเศษอีกอย่างก็คือพระพุทธะปัจเจกทุกองค์ ท่านมีทั้งอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์มาก ทรงใช้อิทธิฤทธิ์ แบ่งดวงจิตออกจะเป็นกี่องค์ก็ได้ โดยแต่ละองค์จะไม่เท่ากัน ตามยุคสมัยและภาระหน้าที่ แต่สำหรับในยุคนี้พระพุทธอนัตต์ณังธะโคตร ท่านแยกจิตออกเป็น ๙ องค์ จากการสำเร็จในแต่ละขั้นของการบำเพ็ญเพียร ตั้งแต่สมัยที่ยังถือเพศคฤหัสถ์จนกระทั่งถึงตอนที่สำเร็จเป็นพระพุทธะปัจเจกพุทธเจ้า เพื่อแยกออกทำหน้าที่สำคัญๆในแต่ละด้าน โดยมีจริตนิสัย ความสามารถความถนัดและบารมีในแต่ละองค์ไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน โดยมีชื่อ ดังต่อไปน

๑.หลวงชา จิตตอนเป็นคฤหัสถ์ ท่านจะเทศนาธรรมไม่เป็น พูดจาแบบโผงผางดุดัน ไม่ไว้หน้าใคร กล้าได้กล้าเสี่ยง ทำงานเก่งทุกด้านโดยเฉพาะด้านการก่อสร้าง

๒.ท่านชา จิตตอนเป็นคฤหัสถ์ ท่านจะชอบพูดหยอกล้อเล่นหัว ใจดี พูดจาแบบติดตลก เฮฮา ไม่เครียดเป็นกันเอง เก่งทางด้านธุรกิจและชอบคิดค้นสูตรต่างๆเพื่อช่วยเหลือผู้คน(โดยเฉพาะสูตรอาหาร)

๓.อาจารย์ชา จิตตอนเป็นพระผู้ทรงอภิญญา ๕ ท่านจะมีตบะมาก เทศนาธรรมเก่ง แก้ปัญหาได้ทุกปัญหา ทั้งทางโลกและทางธรรม ใครมีอารมณ์โกรธหรือโมโห ตั้งใจจะมาต่อว่าหรือทำร้าย พอมาเจอท่านก็จะพูดไม่ออก กลับลืมแล้วไม่กล้าทำอะไรหรือหายโกรธไปเลย
๔.พระโสธชา สำเร็จเป็นพระโสดาบัน ท่านชอบทำความเพียร โดยปลีกวิเวกอยู่ในที่สงบ สงัด
๕.พระสกิทาชา สำเร็จเป็นพระสกิทาคามี ท่านชอบบำเพ็ญเพียร อยู่ในถ้ำ ตามเทือกเขาสูงและในป่าลึก
๖.พระอนาคชา สำเร็จเป็นพระอนาคามี ท่านไม่ค่อยยุ่งหรือสุงสิงกับใคร ชอบบำเพ็ญเพียร สวดมนต์ นั่งสมาธิอยู่ในฌาน
๗.พระโพธิชา สำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านจะมีเมตตาสูงมาก ใครขอพรอะไรท่าน ท่านก็จะให้พรนั้นได้สมดังความปรารถนา ท่านเงียบขรึมไม่ค่อยพูด ชอบความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบและขอบเขต

๘.พระหันตชา สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ท่านชอบอยู่แบบ สงบๆ ไม่ค่อยรับรู้เรื่องอะไร ใครว่าอย่างไรท่านก็ว่าอย่างนั้น ปล่อยวาง อยู่กับความว่าง
๙.พระอนัตต์ณังธะโคตร สำเร็จเป็นพระพุทธะปัจเจกพุทธเจ้า ท่านมีรูปร่างที่งดงาม เปล่งรัศมี ตลอดพระวรกาย มีพระบารมีและปัญญามาก เทศนาธรรมได้ลึกซึ้ง วิจิตร ไพเราะ ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย

การปรารถนาความเป็นพระพุทธะปัจเจกพุทธเจ้า จำเป็นต้องปรารถนาสมบัติ ๕ ประการ มาก่อนคือ
๑.ความเป็นมนุษย์
๒.ความถึงพร้อมด้วยเพศชาย
๓.การได้เคยเห็นท่านผู้ปราศจากอาสวะ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า,พระปัจเจกพุทธเจ้า,พระอรหันตสาวก ท่านใดท่านหนึ่ง
๔.การกระทำอันยิ่งใหญ่
๕.ความเป็นผู้มีฉันทะ

ทุกๆ เช้าช่วงเวลา ๐๔.๐๐-๐๖.๐๐ น.ท่านจะใช้ญาณ นั่งตรวจเช็คดู กลุ่มศิษย์และบุคคลต่างๆทั่วไป ที่เคยมาพบท่านแล้ว อย่างน้อยหนึ่งครั้ง วิเคราะห์เรื่องกรรม ของแต่ละบุคคลแล้วไปช่วยสงเคราะห์เขาเหล่านั้น ส่วนบุคคลใดที่มีเรื่องเดือดร้อนหนักๆ เช่น เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ถ้าท่านรู้จัก ท่านก็จะฝากบอกไปทางกลุ่มลูกศิษย์ ถ้ารู้เบอร์โทร ก็จะโทรไปเตือน ถ้าติดต่อไม่ได้ ก็จะไปเข้าฝันเตือนหรือบอกเหตุ โดยไม่เกินกำลังอำนาจของกฎแห่งกรรม

ท่านจะมีทีมงานที่เป็นเทวดาประจำตัวคอยช่วยเหลือและทำงานให้กับท่านอยู่ถึง ๓ กลุ่มใหญ่ๆ หรือ ๓ ประเภท ดังต่อไปนี้คือ
๑.เทวดาที่ทำหน้าที่ คอยปกปักรักษา คุ้มครองอารักขา มีจำนวนทั้งสิ้น ๒๐๙ องค์ ทำหน้าที่อารักขาท่านอย่างเดียวไม่ไว้หน้าใคร แม้กระทั่งผู้ใกล้ชิดก็ไม่เว้น เพื่อคอยปกป้องภยันตรายต่างๆที่จะเกิดกับตัวท่าน
๒.เทวดาที่คอยทดสอบหรือลองใจลูกศิษย์และคนใกล้ชิดตัวท่านว่าจะสอบผ่านหรือไม่ผ่านด่านต่างๆ เพื่อที่จะทำงานใหญ่กับท่าน มีจำนวนทั้งสิ้น ๔๐๙ องค์

๓.เทวดาที่คอยช่วยเหลือผู้คนต่างๆเวลาที่ท่านรับปากใครหรือสั่งงานออกไปให้ช่วยเหลือ ไม่เกินอำนาจกฎแห่งกรรม มีจำนวนทั้งสิ้น ๘๐๙ องค์ รวมทั้ง ๓ ประเภท มีเทวดาประจำตัว ๑,๔๒๗ องค์
ด้วยเพราะบารมี ที่สร้างสมและบำเพ็ญเอาไว้มาก จึงได้มีเหล่าเทพเทวดา ที่มีหน้าที่ ต้องทำงาน คอยช่วยเหลือ ตามกำลังบารมีของท่าน

โดยในอดีตชาตินานแสนนาน ท่านเคยเกิดเป็นพระพรหม ๑ในตรีมูรติ ที่มีผู้คนมากมายเคารพศรัทธา กราบไหว้บูชา และยังคงมีชื่อเสียงของพระพรหม มาจนถึงยุคสมัยปัจจุบันนี้

ฉะนั้น เมื่อใดที่ใครจุดธูป ๑๖ ดอก กลางแจ้งแล้วบนบานให้ช่วยเหลือ แก้ไขเรื่องทุกข์ร้อน ต่างๆ นานา นั้น ก็จะถึงท่านเสมอ โดยที่ท่านเองจะทราบเรื่องบ้าง หรือไม่ทราบเรื่องบ้างก็สุดจะแล้วแต่ แต่จะมีเทวดาประเภทที่ ๓ ซึ่งที่มีหน้าที่ คอยช่วยเหลือผู้คน จะออกไปช่วยเหลือบุคคลนั้นๆ ทันที ตามความเหมาะสม แต่ไม่เกินกำลังอำนาจของกฎแห่งกรรม


อ่านต่อที่ http://thathammachat.blogspot.com/2016/07/blog-post_29.html