ตำนานหลวงปู่ทวดฯ

หลวงปู่ทวด   (สมเด็จฯสามีรามฯแห่งกรุงศรีอยุธยา)

เรื่องนี้เป็นตำนาน  ที่เล่าต่อกันมา แล้วมีผู้นำมาเขียนลงหนังสือ ..  เขียนลงเวปไซด์และลอกต่อๆกันมา  จริงเท็จประการใดก็เป็นตำนาน    ตำนานที่ท่านสามารถไปสืบดูเรื่องราวจากสถานที่จริงได้ หรือจากพระเครื่องบูชา หรือโดยวิธีอื่นๆได้ครับ ..  ย้ำอีกครั้งว่านี่เป็น "ตำนาน " ตำนานที่ผมได้อ่านจากหนังสือ และจากปากผู้เฒ่า ที่อยู่ใกล้สถานที่จริง ใกล้คนปลุดเสกพระเครื่อง หลวงปู่ทวดจริง

หลวงปู่ทวด
หรือหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด เป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยอยุธยา  และโด่งดังในสมัยปัจจุบันเรื่องความศักดิ์สิทธฺ์ของพระเครื่อง พระบูชา   กระผมผู้เขียนเป็นคนที่บ้านเกิดอยู่ใกล้ๆแผ่นดินที่ท่านเกิด  จึงได้รับฟังเรื่องราวของท่าน  จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ๆ ตั้งแต่ครั้งยังเด็ก และมีผู้คนไม่น้อยแถวบ้านจะไม่เรียกว่าหลวงพ่อทวด  แต่เรียกท่านว่าสมเด็จฯ ส่วนภาพประกอบนั้นจะเป็นภาพที่วัดพะโค๊ะ และอาณาบริเวณเป็นส่วนใหญ่  และบางส่วนจากวัดแค (วัดราชานุวาส ) ที่อยุธยา


เรื่องหลวงปู่ทวดฯ เริ่มโด่งดังจากความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องหลวงปู่ทวดวัดช้างให้    ที่ปลุกเสกโดย อจ.ทิม และหลายเกจิฯ   ซึง อจ.ทิมเป็นพระสงฆ์ที่พี่เขยผมเป็นคนขับรถให้ท่านนั่งบ่อย ซึ่งสมัยนั้น  ผมยังเป็นเด็กวัดเมืองยะลา เกจิอาจารย์ผู้ปลุกเสกหลวงปู่ทวด  ก็มักจะเดินทางมาพำนักที่วัดเมืองยะลาบ่อย ผมเองยังมีโอกาศได้บีบนวดให้ท่านเหล่านั้นหลายครั้ง

จากต้นเรื่องเดิม... หลวงปู่ทวดเกิดที่สทิงพระ   
แต่โด่งดังจากวัดช้างให้ ปัจจุบันนี้สถานที่ฝังรกหลวงปู่ทวดคืดที่สำนักสงฆ์วัดเลียบมีต้นเลียบใหญ่หลายสิบคนโอบ    เดียวนี้ก่อปูนซิเมนต์ล้อมไว้   โดยพระสงฆ์ที่มาตั้งสำนักฯคือหลวงปู่จำเนียร (ท่านมรณภาพไปหลายปีแล้ว  แต่ศพไม่เน่าเปื่อย สมัยเมื่อท่านยังมีชีวิต คุณแม่ของผู้เขียน (แม่เจียม ) นำอาหารมาถวายท่านหลายครั้ง   แต่ผมก็ไม่เคยได้มา  คือไม่ยอมมา  ตามประสาวัยรุ่น

ภาพบริเวณที่ฝังรกหลวงปู่ทวด  ปัจจุบันเป็นสำนักสงฆ์ ( ถ่ายเมื่อปี 2556 )

ตำนานหลวงปู่ทวดฯ .
......

เมื่อประมาณ ๔๐๐ ปีที่ผ่านมา   ในตอนปลายรัชสมัยของพระมหาธรรมราชา   แห่งกรุงศรีอยุธยา ณ หมู่บ้านสวนจันทร์  (หมู่บ้านวัดเลียบ ต.ดีหลวงในปัจจุบัน)  ตำบลชุมพล เมืองจะทิ้งพระ  ตรงกับวัศุกร์ เดือนสี่ ปีมะโรง พุทธศักราช 2125 ได้มีทารกเพศชายผู้หนึ่งถือกำเนิดจากครอบครัวเล็กๆ ฐานะยากจนแร้นแค้น แต่มีจิตอันเป็นกุศล ชอบทำบุญสุนทานยึดมั่นในศีลธรรมอันดี ปราศจากการเบียดเบียนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย

ทารกน้อยผู้ นี้มีนามว่า "ปู" เป็นบุตรของนายหู นางจันทร์ ในขณะเยาว์วัย ทารกผู้นั้นยังความอัศจรรย์ให้แก่บิดามารดาตลอดจนญาติพี่น้องทั้งหลาย ด้วยอยู่มาวันหนึ่งมีงูบองหลา(จงอาง)ตัวใหญ่มาขดพันอยู่รอบเปลที่ทารกน้อยนอนหลับอยู่ และงูใหญ่ตัวนั้นไม่ยอมให้ใครเข้ามา ใกล้เปลที่ทารกน้อยนอนอยู่เลย จนกระทั่งบิดามารดาของเด็กเกิดความสงสัยว่า พญางูตัวนั้นน่าจะเป็นเทพยดาแปลงมาเพื่อให้เห็นเป็นอัศจรรย์ในบารมีของลูกเราเป็นแน่แท้    จึงรีบหาข้าวตอกดอกไม้และธูปเทียนมาบูชาสักการะ   งูใหญ่จึงคลายลำตัวออกจากเปลน้อย  เลื้อยหายไป ต่อมาเมื่อพญางูจากไปแล้ว บิดามารดาทั้งญาติต่างพากันมาที่เปลด้วยความห่วงใยทารก   ก็ปรากฏว่าเด็กชายปูยังคงนอนหลับอยู่เป็นปกติ   แต่เหนือทรวงอกของทารกกลับมีดวงแก้วดวงหนึ่งมีแสงรุ่งเรืองเป็นรัศมีหลากสี ตาหู นางจันทร์จึงเก็บรักษาไว้(ที่สำนักสงฆ์นาเปลปัจจุบันมีรูปปั้นอยู่)

นับแต่บัดนั้นฐานะความเป็นอยู่การทำมาหากินก็จำเริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับอยู่สุขสบายตลอดมา เมื่อกาลล่วงมานานจนเด็กชายปูอายุได้เจ็ดขวบ บิดาได้นำไปฝาสมภารจวง วัดกุฏิหลวง (วัดดีหลวง) เพื่อให้เล่าเรียนหนังสือเด็กชายปูมีความเฉลียวฉลาดมาก สามารถเรียนหนังสือขอมและไทยได้อย่างรวดเร็ว ครั้นอายุได้ 15 ปี ก็บรรพชาเป็นสามเณรและบิดาได้มอบแก้ววิเศษไว้เป็นของประจำตัว ต่อมาสามเณรปูได้ไปศึกษาต่อกับสมเด็จพระชินเสน ที่วัดสีหยัง (สีคูยัง)   ครั้นอายุครบอุปสมบทจึงได้เดินทางไปศึกษาต่อที่นครศรีธรรมราช ณ สำนักพระมหาเถระปิยทัสสี   ได้ทำการอุปสมบทมีฉายาว่า “ราโม ธมฺมิโก”   แต่คนทั่วไปเรียกท่านว่า “เจ้าสามีราม” หรือ “เจ้าสามีราโม” เจ้าสามีรามได้ศึกษาอยู่ที่วัดท่าแพ วัดสีมาเมือง และวัดอื่นๆ อีกหลายวัด

ภาพจากตำนาน  เรื่องเล่าพอเป็นสังเขปครับ

เมื่อเห็นว่าการศึกษาที่นครศรีธรรมราชเพียงพอแล้วจึงขอโดยสารเรือสำเภาเดินทางไปกรุงศรีอยุธยาเพื่อศึกษาต่อ ขณะเดินทางถึงเมืองชุมพร เกิดคลื่นทะเลปั่นป่วน เรือไม่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมไปได้ต้องทอดสมออยู่ถึงเจ็ดวัน ทำให้เสบียงอาหารและน้ำหมดบรรดาลูกเรือตั้งข้อสงสัยว่าการที่เกิดเหตุอาเพศในครั้งนี้เพราะเจ้าสามีราม จึงตกลงใจให้ส่งเจ้าสามีรามขึ้นเกาะและได้นิมนต์ให้เจ้าสามีรามลงเรือมาด ขณะที่นั่งอยู่ในเรือมาดนั้น ท่านได้ห้อยเท้าแช่ลงไปในทะเลก็บังเกิดอัศจรรย์น้ำทะเลบริเวณนั้นเป็นประกายแวววาวโชติช่วง เจ้าสามีรามจึงบอกให้ลูกเรือตักน้ำขึ้นมาดื่มก็รู้สึกว่าเป็นน้ำจืด จึงช่วยกันตักไว้จนเพียงพอ นายสำเภาจึงนิมนต์ให้ท่านขึ้นสำเภาอีก และตั้งแต่นั้นมาเจ้าสามีรามก็เป็นชีต้นหรืออาจารย์สืบมาเมื่อถึงกรุงศรีอยุธยา ก็ได้ไปพำนักอยู่ที่วัดแค ศึกษาธรรมะที่ วัดลุมพลีนาวาส ต่อมาได้ไปพำนักอยู่ที่วัดของสมเด็จพระสังฆราช ได้ศึกษาธรรมและภาษาบาลี ณ ที่นั้นจนเชี่ยวชาญจึงทูลลาสมเด็จพระสังฆราชไปจำพรรษาที่วัดราชานุวาส เมื่อประมาณ พ.ศ. 2149 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ   

รบด้วยปัญญา
กระทั่งวันหนึ่งถึงกาลเวลาที่ชื่อเสียงของหลวงปู่ทวดหรือเจ้าสามีรามจะ ระบือลือลั่นไปทั่วกรุงสยาม จึงได้มีเหตุพิสดารอุบัติขึ้นในรัชสมัยของพระเอกาทศรถ กล่าวคือ สมัยนั้นพระเจ้าวัฏฏะคามินี แห่งประเทศลังกา ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรแหลมทองทางภาคใต้ คิดแก้มือด้วยการท้าพนันแปลธรรมะ และต้องการจะแผ่พระบรมเดชานุภาพมาทางแหลมทอง ใคร่จะได้กรุงศรีอยุธยามาเป็นประเทศราช แต่พระองค์ไม่ปรารถนาให้เกิดศึกสงครามเสียชีวิตแก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย จึงทรงวางแผนการเมืองด้วยสันติวิธี คิดหาทางรวบรัดเอากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้นด้วยสติปัญญาเป็นสำคัญ เมื่อคิดได้ดังนั้น พระเจ้ากรุงลังกาจึงมีพระบรมราชโองการสั่งให้พนักงาน ท้องพระคลังเบิกจ่ายทองคำบริสุทธิ์แล้วให้ช่างทองประจำราชสำนักไปหล่อ ทองคำเหล่านั้นให้เป็นตัวอักษรบาลีเล็กเท่าใบมะขาม ตามพระอภิธรรมทั้งเจ็ดคัมภีร์ จำนวน 84,000 ตัว

 จากนั้นก็ทรงรับสั่งให้พราหมณ์ผู้เฒ่าอันมีฐานะเทียบเท่าปุโรหิตจำนวนเจ็ด ท่านคุมเรืองสำเภาเจ็ดลำบรรทุกเสื้อผ้าแพรพรรณ และของมีค่าออกเดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับปริศนาธรรมของพระองค์ เมื่อพราหมณ์ทั้งเจ็ดเดินทางลุล่วงมาถึงกรุงสยามแล้วก็เข้าเฝ้าถวายพระราช สาส์นของกษัตริย์ตนแก่พระเจ้าเอกาทศรถ มีใจความในพระราชสาส์นว่าพระเจ้ากรุงลังกาขอท้าให้พระเจ้ากรุงสยามทรงแปลและ เรียบเรียงเมล็ดทองคำตามลำดับให้เสร็จภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับ พระราชสาส์นนี้เป็นต้นไป ถ้าทรงกระทำไม่สำเร็จตามสัญญาก็จะยึดกรุงศรีอยุธยาให้อยู่ใต้พระบรมเดชานุ ภาพของพระองค์ และทางกรุงสยามจะต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองอีกทั้งเครื่องราชบรรณาการแก่ กรุงลังกาตลอดไปทุกๆ ปีเยี่ยงประเทศราชทั้งหลาย
                             


ภาพทางเข้าวัดพะโค๊ะ บางส่วน    กดดูที่รูปเพื่อขยาย





พระสุบินนิมิต

เมื่อ พระเอกาทศรถทรงทราบความ ดังนั้น จึงมีพระบรมราชโองการให้สังฆการีเขียนประกาศนิมนต์พระราชาคณะและพระเถระทั่ว พระมหานคร ให้กระทำหน้าที่เรียบเรียงและแปลตัวอักษรทองคำในครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีท่านผู้ใดสามารถเรียบเรียงและแปลอักษรทองคำในครั้งนี้ได้จนกาล เวลาลุล่วงผ่านไปได้หกวัน ยังความปริวิตกแก่พระองค์และไพร่ฟ้าประชาชนต่างพากันโจษขานถึงเรื่องนี้ให้ อื้ออึงไปหมด

ครั้นราตรีกาลยามหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข้าพระบรรทมทรงสุบินว่า ได้มีพระยาช้างเผือกลักษณะบริบูรณ์เฉกเช่นพระยาคชสารเชือกหนึ่ง ผายผันมาจากทางทิศตะวันตก เยื้องย่างเข้ามาในพระราชนิเวศน์แล้วก้าวเข้าไปยืนผงาดตระหง่านบนพระ แท่นพลางเปล่งเสียงโกญจนาทกึกก้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสียงที่โกญจนาทด้วยอำนาจของพระยาคชสารเชือกนั้นยังให้พระองค์ทรงสะดุ้งตื่น จากพระบรรทม  รุ่งเช้าเมื่อพระองค์เสด็จออกว่าราชการ ได้ทรงรับสั่งถึงพระสุบินนิมิตประหลาดให้โหรหลวงฟังและได้รับการกราบถวาย บังคมทูลว่า เรื่องนี้หมายถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์และพระบรมเดชานุภาพจะแผ่ไพศาล ไปทั่วสารทิศเป็นที่เกรงขามแก่อริราชทั้งปวง ทั้งจะมีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งจากทางทิศตะวันตก มาช่วยขันอาสาแปลและเรียบเรียงตัวอักษรทองคำปริศนาได้สำเร็จ พระเจ้าอยู่หัวได้ฟังดังนั้นจึงค่อยเบาพระทัย และรับสั่งให้ข้าราชบริพารทั้งมวลออกตามหาพระภิกษุรูปนั้นทันที
                                                   


สำนักสงฆ์ นาเปล  เป็นสถานที่ๆ ตาหูนางจันทร์ นำเด็กชายปูไปผูกเปลนอน

อักษรเจ็ดตัว

ต่อมาสังฆการีได้พยายามเสาะแสวงหาจนไปพบ “เจ้าสามีราม” ที่วัดราชานุวาส และเมื่อได้ไต่ถามได้ความว่า     ท่านมาจากเมืองตะลุง (พัทลุงในปัจจุบัน)  เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย สังฆการี จึงเล่าความตามเป็นจริงให้เจ้าสามีรามฟังทั้งได้อ้างตอนท้ายว่า “เห็นจะมีท่านองค์เดียวที่ตรงกับพระสุบินของพระเจ้าอยู่หัว จึงใคร่ขอนิมนต์ให้ไปช่วยแก้ไขในเรื่องร้ายดังกล่าวให้กลายเป็นดี ณ โอกาสนี้” ครั้นแล้วเจ้าสามีรามก็ตามสังฆการีไปยังที่ประชุมสงฆ์ ณ ท้องพระโรง พระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งให้พนักงานปูพรมให้ท่านนั่งในที่อันควร พราหมณ์ทั้งเจ็ดคนได้ประมาทเจ้าสามีรามโดยว่า เอาเด็กสอนคลานมาให้แก้ปริศนา เจ้าสามีรามก็แก้คำพราหมณ์ว่า กุมารเมื่ออกมาแต่ครรภ์พระมารดา กี่เดือนกี่วันจึงรู้คว่ำ กี่เดือนกี่วันจึงรู้นั่ง กี่เดือนกี่วันจึงรู้คลาน จะว่ารู้คว่ำแก่ หรือจะว่ารู้นั่งแก่ หรือจะว่ารู้คลานแก่    ทำไมจึงว่าเราจะแก้ปริศนาธรรมมิได้ พราหมณ์ก็นิ่งไปไม่สามารถตอบคำถามท่านได้ จากนั้นจึงรีบนำบาตรใส่อักษรทองคำเข้าไปประเคนแก่เจ้าสามีราม

 ท่าน รับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิตอธิษฐานว่า “ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อน และอำนาจเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง ขอให้แปลพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำเร็จสมปรารถนาเถิด” ท่านรับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิตอธิษฐานว่า “ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อน และอำนาจเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง ขอให้แปลพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำเร็จสมปรารถนาเถิด”


ครั้นแล้วท่านก็คว่ำบาตรเทอักษรทองคำเริ่มแปลปริศนาธรรมทันที ด้วยอำนาจบุญญาบารมี กฤษดาภินิหารของท่านที่ได้จุติลงมาเป็นพระโพธิสัตว์โปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนา กอปรกับโชคชะตาของประเทศชาติที่จะไม่เสื่อมเสียอธิปไตย เดชะบุญญาบารมีในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยาดาทั้งหลายจึงดลบันดาลให้ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรจากเมล็ดทองคำ 84,000 ตัว เป็นลำดับโดยสะดวกไม่ติดขัดประการใดเลย  ขณะที่ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรไปได้มากแล้ว ปรากฏว่าเมล็ดทองคำตัวอักษรขาดหายไปเจ็ดตัวคือ ตัว สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ ท่านจึงทวงถามเอาที่พราหมณ์ทั้งเจ็ด พราหมณ์ทั้งเจ็ดก็ยอมจำนวน จึงประเคนเมล็ดทองคำที่ตนซ่อนไว้นั้นให้ท่านแต่โดยดี ปรากฏว่าท่านแปลพระไตรปิฎกจากเมล็ดทองคำสำเร็จบริบูรณ์เป็นการชนะพราหมณ์ใน เวลาเย็นของวันนั้น  

สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง ทรงมีรับสั่งถวายราชสมบัติให้แก่เจ้าสามีรามให้ครอง 7 วัน แต่ท่านก็มิได้รับโดยให้เหตุผลว่าท่านเป็นสมณะ พระองค์ก็จนพระทัยแต่พระประสงค์อันแรงกล้าที่จะสนองคุณความดีความชอบอันใหญ่ยิ่งให้แก่ท่านในครั้งนี้ จึงพระราชทานสมณศักดิ์ให้เจ้าสามีรามเป็น “พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์” ในเวลานั้น พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์หรือหลวงพ่อทวดได้ไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดราชานุวาส ( วัดแคนอกในปัจจุบัน  ผมเคยไปมาแล้ว ) ศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่เป็นเวลาหลายปี ด้วยความสงบร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา ครั้นกาลเวลาล่วงไปหลายปี สมเด็จเจ้าฯได้เข้าเฝ้า ถวายพระพรทูลลาจะกลับภูมิลำเนาเดิม พระองค์ทรงอาลัยมาก ไม่กล้าทัดทานเพียงแต่ตรัสว่า "สมเด็จอย่าละทิ้งโยม" แล้วเสด็จมาส่งสมเด็จเจ้าฯ จนสิ้นเขตพระนครศรีอยุธยา

เมื่อครั้งพี่ชายชวนไปวัดแคฯ เมื่อปี 2555 ไม่อยากลงมากครับ ดูจะออกแนวส่วนจัวเกินไป  วัดไม่ค่อยมีสิ่งปลูกสร้างอะไร

ขณะที่ท่านรุกขมูลธุดงค์ สมเด็จเจ้าฯ ได้เผยแผ่ธรรมะไปด้วยตามเส้นทาง ผ่านที่ไหนมีผู้เจ็บป่วยก็ทำการรักษาให้ ตามแนวทางที่ท่านเดินพักแรมที่ใดนั้น ที่นั่นก็เกิดเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนในถิ่นนั้นได้ทำการเคารพสักการะบูชามาถึงบัดนี้ ได้แก่ที่บ้านโกฏิ   อำเภอปากพนัง ที่หัวลำภูใหญ่ อำเภอหัวไทร และอีกหลายแห่ง 


ืต่อจากนั้น ท่านก็ได้ธุดงค์ไปจนถึงวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ อันเป็นจุดหมายปลายทาง ประชาชนต่างซึ่งชื่นชมยินดีแซ่ซ้องสาธุการต้อนรับท่านเป็นการใหญ่ และได้พร้อมกันถวายนามท่านว่า "สมเด็จเจ้าพะโคะ" และเรียกชื่อวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะว่า "วัดพะโคะ" มาจนบัดนี้ สมเด็จเจ้าฯ เห็นวัดพระโคะเสื่อมโทรมมาก เนื่องจากถูกข้าศึกทำลายโจรกรรม มีสภาพเหมือนวัดร้างสมเด็จเจ้าฯ กับท่านอาจารย์จวง คิดจะบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพะโคะ 


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ยินดีและอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง โปรดให้นายช่างผู้ชำนาญ 500 คน และทรงพระราชทานสิ่งของต่างๆ และเงินตราเพื่อการนี้เป็นจำนวนมากบรรทุกลงเรือสำเภา 7ลำ แล่นมาถึงทะเลนอกฝั่งผู้คนได้ยืนเข้าแถวเรียงๆกันส่งสิ่งของจากชายฝั่งถึงวัดและ ใช้เวลาประมาณ 3 ปี จึงบูรณวัดแล้วเสร็จ สิ่งสำคัญในวัดพะโคะหรือ พระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งพระอรหันต์นามว่าพระมหาอโนมทัสสีได้เป็นผู้เดินทางไปอัญเชิญมาจากประเทศอินเดียสมเด็จเจ้าฯ ได้จำพรรษาเผยแผ่ธรรมที่วัดพะโคะอยู่หลายพรรษาขณะที่สมเด็จเจ้าฯ จำพรรษาอยู่ ณ วัดพะโคะ     ครั้งนี้คาดคะเนว่า ท่านมีอายุกาลถึง 80 ปีเศษ

 อยู่มาวันหนึ่งท่านถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวไม้เท้านี้มีลักษณะคดไปมาเป็น 3 คด ชาวบ้านเรียกว่า "ไม้เท้า 3 คด" ท่านออกจากวัดมุ่งหน้าเดินไปยังชายฝั่งทะเลจีน ขณะที่ท่านเดินพักผ่อนรับอากาศทะเลอยู่นั้น    ได้มีเรือโจรสลัดจีนแล่นเลียบชายฝั่งมา      พวกโจรจีนเห็นท่านเดินอยู่คิดเห็นว่าท่านเป็นคนประหลาดเพราะท่านครองสมณเพศ    พวกโจรจึงแวะเรือเทียบฝั่งจับท่านลงเรือไป


เมื่อเรือโจรจีนออกจากฝั่งไม่นาน เหตุมหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น คือ เรือลำนั้นแล่นต่อไปไม่ได้ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกโจรจีนพยายามแก้ไขจนหมดความสามารถเรือก็ยังไม่เคลื่อน จึงได้จอดเรือนิ่งอยู่ ณ ที่นั้นเป็นเวลาหลายวันหลายคืน ในที่สุดน้ำจืดที่นำมาบริโภคในเรือก็หมดสิ้น จึงขาดน้ำจืดดื่มและหุงต้มอาหารพากันเดือดร้อนกระวนกระวายด้วยกระหายน้ำเป็นอย่างมาก สมเด็จเจ้าฯ ท่านเห็นเหตุการณ์ความเดือดร้อนของพวกโจรถึงขั้นที่สุดแล้ว ท่านจึงเหยียบกราบเรือให้ตะแคงต่ำลงแล้วยื่นเท้าเหยียบลงบนผิวน้ำทะเลทั้งนี้ย่อมไม่พ้นความสังเกตของพวกโจรจีนไปได้
   
มื่อท่านยกเท้าขึ้นจากพื้นน้ำทะเลแล้วก็สั่งให้พวกโจรตักน้ำตรงนั้นมาดื่มชิมดู    พวกโจรจีนแม้จะไม่เชื่อก็จำเป็นต้องลอง      เพราะไม่มีทางใดจะช่วยตัวเองได้แล้ว แต่ได้ปรากฏว่าน้ำทะเลเค็มจัดที่ตรงนั้นแปรสภาพเป็นน้ำจืดเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก     พวกโจรจีนได้เห็นประจักษ์ในคุณอภินิหารของท่านเช่นนั้น ก็พากันหวาดเกรงภัยที่จะเกิดแก่พวกเขาต่อไป      จึงได้พากันกราบไหว้ขอขมาโทษแล้วนำท่านล่องเรือส่งกลับขึ้นฝั่งต่อไป

หลังจากนั้นหลายพรรษา สมเด็จเจ้าฯ หายไปจากวัดพะโคะ (เคยอ่านหนังสือแถวบ้าน ที่ระโนด สงขลากล่าวถึงตอนที่มีสามเณรรูปหนึ่ง  ได้เที่ยวตามหาพระโพธสัตว์  หาเท่าไหร่ๆก็ไม่เจอ  จนวันหนึ่งได้เจอคนแก่คนหนึ่งถือดอกไม้มาให้   คนแก่นั้นก็คือพระอินทร์จำแลงแปลงกายมา  แล้วบอกว่าถ้าสามเณรเจอคนที่รู้จักดอกไม้นี้     คนนั้นแหละเป็นพระโพธิสัตว์์ แล้วสามเณรเที่ยวตามหาพระโพธิสัตว์ ต่อไป   จนกระทั่งวันหนึ่ง    สามเณรมาเจอหลวงปู่ทวดที่วัดพะโค่ะ   หลวงปู่่ถามว่าเจ้าได้ดอกไม้นี้มาจากไหนนี่มันดอกมณฑาทิพย์    เป็นดอกไม้ที่ไม่มีในเมืองมนุษย์    มีอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เท่านั้น หลังจากนั้นก็พากันเข้าไปในกุฏิและก็หายไปจากวัดพะโค่ะทั้ง2 รูปตั้งแต่วันนั้น 
 
ตอนที่หายไปนั้น  แม่เฒ่าผมบอกว่า ท่านฟังมาอีกที   เขาเล่ากันว่า  เห็นเป็นดวงไฟ   ใหญ่ดวงหนึ่ง เล็กดวงหนึ่ง ดำดวงหนึ่ง   ลอยขึ้นมาแล้วพุ่งออกไป   ซึ่งเขาว่ากันว่า ดวงใหญ่คือหลวงปู่ทวด ดวงเล็กคือสามเณร  ดวงสีดำคือหมาหมี (หมาดำ) ที่กุฏิของท่าน

ประวัติยาวๆที่คุณยายเคยเล่าให้ฟังผมจำไม่ค่อยได้แล้ว)   ยายบอกว่าท่านเที่ยวจาริกเผยแผ่ธรรมะไปหลายแห่ง จากหลักฐานทราบว่าท่านได้ไปพำนักที่เมืองไทรบุรี ชาวบ้านเรียกท่านว่า “ท่านลังกา” และได้ไปพำนักที่วัดช้างไห้   ชาวบ้านเรียกท่านว่า “ท่านช้างให้” ดังนี้ ท่านได้สั่งแก่ศิษย์ว่าหากท่านมรณภาพเมื่อใด ขอให้ช่วยกันจัดการหามศพไปทำการฌาปนกิจ ณ วัดช้างให้ด้วย


ขณะหามศพพักแรมนั้น ณ ที่ใดน้ำเหลืองไหลลงสู่พื้นดิน ที่ตรงนั้นให้เอาเสาไม้แก่นปักหมายไว้ต่อไปข้างหน้าจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์   อยู่มาไม่นานเท่าไร ท่านก็ได้มรณภาพลงด้วยโรคชรา ปวงศาสนิกก็นำพระศพมาไว้ที่วัดช้างให้ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี   สถานที่ที่สมเด็จเจ้าฯ เคยพำนักอยู่


สถานที่ที่สมเด็จเจ้าฯ เคยพำนักอยู่หรือไปมา นับได้ดังนี้ วัดกุฎิหลวง วัดสีหยัง วัดเสมาเมือง นครศรีธรรมราช กรุงศรีอยุธยา วัดพะโคะ วัดเกาะใหญ่ วัดในไทรบุรี และวัดช้างให้

(สมัยที่ยายยังมีชีวิตอยู่ท่านยังเล่าให้ฟังบ่อยว่ายังมีคนในย่านนี้เห็นบ่อยเมื่อเวลาท่านจะมา โดยจะปรากฎเป็นดวงไฟใหญ่  1 ดวง ดวงเล็ก 1ดวง  ลอยไปอย่างรวดเร็ว) โดยเฉพาะพวกโจรขโมยพวกปล้นทรัพย์ อย่าได้เดินเฉียดไปในอาณาบริเวณวัดแห่งนี้ มิฉะนั้นจะเดินหลงอยู่นั่นทั้งคืน ออกไม่ถูก

ข้อมูลจากหลายแหล่ง (เวปไซด์และคำบอกเล่าและหนังสือ เก่าๆแถวบ้าน ระโนด สทิงพระ) ข้อมูลไม่สมบูรณ์ ต้องขออภัยด้วยครับ
                                      จาก  นาย ปรีดี  ยืนยง  คน ต.วัดสน อ. ระโนด

คำทำนายให้อพยพจากกทม.

คัดจาก เฟสบุ๊ค รวมคำทำนาย ภัยพิบัติล้างโลก 2012
ปี พศ.2555 นี้ ธรรมชาติจัดหนักแน่นอน กรุงเทพล่มสลาย !!!
(จาก Aunyasit สมาชิกเว็บพลังจิต)



คำทำนายให้อพยพออกจาก กทม.

ปี พศ. 2555 นี้ ธรรมชาติจัดหนัก แน่นอนครับ  อีกประมาณ3เดือน

(เดือนนี้ กพ.พศ.2555) น้ำมหาศาลจะมาจากทางทะเล ปั่นป่วนไปหมดทั้งโลก สาเหตุมาจากลาวาร้อนใต้ผืนโลกที่กำลังแทรกแผ่นดินขึ้นมาจากมหาสมุทร พิกัดอยู่ระหว่าง ญี่ปู่น ไต้หวัน และ ฟิลิปปินส์ เมื่อความร้อนจัดจากลาวากับความเย็นจัดจากน้ำใต้ทะเลปะทะกัน ประกอบกับแรงดันสูงจากลาวาใต้โลกปริมาณมหาศาลดันทะลุเปลือกโลกขึ้นมา แรงดันจากใต้โลกจะยกยกผืนน้ำให้สูงขึ้นจากระดับปกติเป็นร้อยเมตร ขณะที่โลกก็หมุนไป ก็จะก่อตัวเป็นพายุใหญ่ยักษ์หอบเอาน้ำและโคลน เมื่อพายุน้ำหมุนผ่านที่ไหนก็จะกวาดพื้นที่นั้นไปกับน้ำด้วย เส้นทางของมหันตภัยที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านบอกเตือนไว้คือผ่านไต้หวัน เวียดนาม เขมร ลาว ไทย ศรีลังกา อินเดีย ฯลฯ ไปรอบโลก และประเทศที่พายุนี้ผ่านจะราบคาบครับ ท่านบอกว่าขนาดมหึมาของพายุจะคลุมพื้นที่ระหว่างใต้หวันกับฟิลิปปินส์เต็มพื้นที่

เมื่อพายุน้ำหมุนนี้ผ่านไทย กทม.จะจมทันทีครึ่งนึงพร้อมๆกับจังหวัดชายทะเลหลายจังหวัด ในส่วนของ กทม ที่จะจมทันทีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านให้เอาแนวทางรถไฟเป็นเส้นแบ่ง หลังจากนั้น กทม.จำค่อยๆจมลงอีก(เข้าใจว่าแผ่นดินทรุดต่ำลง ประกอบกับระดับน้ำสูงขึ้นอันเนื่องมาจากคลื่นสูงหลายสิบเมตรซัดชายฝั่ง)

ทั้งพายุใหญ่ คลื่นใหญ่ แผ่นดินไหว แผ่นดินแยก ถึงเวลานั้นน้ำที่มาจากเขื่อนนั้นจิ๊บๆไปเลยครับ

หลังจากนั้นแรงสั่นสะเทือนทั้งหลายแหล่จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดหนัก แล้วเกิดแผ่นดินแยก เขื่อนแตก น้ำเขื่อนก็จะไหลลงมาซ้ำเติม ท่วมหนักไปอีก


ทางแก้มีทางเดียวคือ หนีไปอยู่ในที่ปลอดภัย  ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป

ผมน่ะเชื่อเกินร้อยครับ เมื่อมีสัญญาณมา ผมจะหนีก่อนเป็นคนแรกๆเพราะไม่อยากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ในวันเกิดเหตุท่านบอกว่าจะมีปรากฏการณ์ทางท้องฟ้าในตอนบ่ายของวันนึง ท่านให้ผมพาญาติพี่น้องและญาติธรรม ออกจาก กทม. ทันที เพราะหลังจากนั้นจะเกิดโกลาหล เดินทางออกจาก กทม. ได้ยาก ประกอบกับฝนจะตกอย่างหนัก ลมแรง น้ำท่วมฉับพลัน


ที่จริงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านเตือนผมมาอย่างต่อเนื่องเกือบสองเดือนแล้ว  และผมก็เตรียมการมาระยะนึงแล้ว เคยถามท่านว่ากาลเวลาที่จะเกิดเหตุจะมีการเปลี่ยแปลงไม๊ ท่านบอกว่าสัจจธรรมเปลี่ยนไม่ได้ ก็ต้องเตรียมการแข่งกับเวลาครับ

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านบอกผมว่า "ผู้ที่รู้แล้วไม่เตรียมการ เป็นผู้ที่ประมาทยิ่งกว่าผู้ที่ไม่รู้อะไรเลย"

อย่างน้อยๆก็เตรียมปัจจัยสี่ไว้ในสถานที่ปลอดภัย เพื่อความไม่ประมาทครับ ของผมจะเตรียมทุกอย่างพร้อมภายในเดือนมี.ค. นี้ และจะมีเวลาส่วนที่เหลือเพียงน้อยนิดเตรียมอย่างอื่นๆ ต่อไป

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมาเตือนผมเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 54 ท่านบอกว่านับจากวันนั้นมาไม่เกิน 5 เดือนภัยพิบัติก็จะมาถึง กทม. ตอนนี้เวลาผ่านไปแล้วเกือบ 2 เดือน ก็เหลือเวลาอีกประมาณ 3 เดือนครับ

จากนั้นท่านมาเตือนบ่อยขึ้นเกือบทุกสัปดาห์ หลายพระองค์ก็วนเวียนกันมาเตือน  ให้เก็บของเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอพยพไปอีสาน ดูแล้วเวลาแต่ละวันนับจากวันที่ท่านมาเตือนมีค่ามากๆ ที่จริงวันนึงก็ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง ถ้าหากคิดแล้วทำเลย และรู้สึกว่าเวลาแต่ละวันผ่านไปเร็วมาก ครับ

หลังจากเกิดภัยจากน้ำแล้ว ภัยอื่นๆก็จะตามมาอีก เป็นระลอกๆ ภัยจากคนมีแน่นอน เมื่อข้าวยากหมากแพง ขาดอาหาร คนก็จะแย่งชิง เข่นฆ่ากัน ส่วนใหญ่คนเหล่านั้นเขามีกรรมติดตามมาทันก็ต้องชดใช้กัน ถึงตอนนั้นเมืองใหญ่ไม่น่าอยู่แล้วเพราะระบบการปกครอง การบริหารจะล่มสลายไปด้วย จะเป็นกลียุคโดยสมบูรณ์อยู่ระยะนึง

ดังนั้นการที่เราจะไปอยู่ที่ไหนนั้นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเอาไว้ด้วย ที่ผมเตรียมนั้นก็เหมือนสร้างชุมชนอิสระขึ้นมาชุมชนนึง มีครบทุกอย่าง เครื่องป้องกันตัวก็ต้องมีไว้ให้ครบถ้วน ไม่ต้องติดต่อกับโลกภายนอกสักครึ่งปีหรือหนึ่งปีก็สามารถอยู่กันเองได้

ส่วนคนที่เขามีบุญกุศลยังไงก็มีเหตุให้อยู่รอดปลอดภัยครับ

เชียงใหม่ มีทั้งทีึ่ปลอดภัยและไม่ปลอดภัย ที่ปลอดภัยนั้นต้องไม่อยู่ในแนวของทางน้ำหรือใกล้เคียงและควรหลีกเลี่ยงเส้นแนวแผ่นดินไหวด้วย อันนี้ต้องศึกษาลักษณะของพื้นที่ทางธรรมชาติ เพราะแถบนั้นเป็นภูเขาสูงน้ำจะไหลเร็วและแรง ประกอบกับจะมีดินถล่มด้วยครับ


น้ำท่วมครั้งที่แล้ว ผมทราบล่วงหน้า 4 เดือน แต่ท่านมาเตือนให้เก็บของขึ้นที่สูงก่อนน้ำมาถึงบ้าน 2 อาทิตย์และผมถามท่านว่าน้ำจะเข้าบ้านไม๊ ท่านบอกว่าน้ำจะไม่เข้าบ้าน แต่จะปริ่ม ผมลองวัดดูเหลืออีก 15 เซนติเมตรน้ำก็จะเข้าบ้าน จากนั้นน้ำก็ค่อยๆลดลง

เรื่องภัยพิบัติจากทะเลคราวนี้ ท่านบอกผมไว้ล่วงหน้าประมาณ 13 ปี และท่านมาเตือนให้เก็บของเตรียมอพยพล่วงหน้า 5 เดือนและก็เตือนอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้

ก็เชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างที่ท่านบอกนั่นแหละ หลังจากนั้นใครจะอยู่แบบทุกข์มาก ทุกข์น้อย ก็อยู่ที่การเตรียมการของแต่ละคน

คณะผมตุนข้าวเปลือกกับข้าวสารรวมกัน 30 ตัน น้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 15,000 ลิตร เครื่องปั่นไฟ ขนาด 5 kva 3 เครื่อง เครื่องสีข้าวด้วยมือ 5 เครื่อง เครื่องโม่แป้ง ตะเกียงน้ำมันก๊าซ 20 อัน รถมอเตอร์ไซด์ 2 คัน รถจักรยาน 3 คัน เครื่องปั๊มน้ำแรงลม 2 ชุด(ดึงน้ำจากบ่อบาดาล) บ่อน้ำชักรอก 3 บ่อ เลี้ยงปลา 5 กระชัง บึงน้ำ 4 บึง ที่ทำนา 25 ไร่ ที่ดินปลูกผัก 5 ไร่ ที่เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ รวมทั้งที่พัก(ห้องชุด) ประมาณ 20 units และที่พักรวม จำนวนหนึ่ง ตู้รถไฟ(ความยาว 16 เมตร) 3 ตู้ เอาไว้เป็นที่พักของญาติธรรม และมีวิหารขนาด 1200 ตรม. 1 หลัง ขนาด 100 ตรม. 2 หลัง ที่กันแดด กันฝนที่จะรองรับคนได้ประมาณ 500 คน เต๊นท์ประมาณ 40 หลัง รวมทั้ง เสื้อผ้ากันหนาว จอบ เสียม ขวาน สุนัข 6 ตัว แมว 5 ตัว ฯลฯ สรุปแล้ว ตุนทุกอย่างที่ขวางหน้าอันนี้เป็นของส่วนกลางที่จะใช้ร่วมกัน แต่สำหรับแต่ละคนเขาก็ซื้อของไว้เป็นของส่วนตัวอีกส่วนนึง ถ้าให้ได้ราคาถูกก็คือซื้อมามากๆแล้วก็แบ่งกัน

ที่จริงในพุทธสถานฯผมต้องการรองรับญาติธรรมที่สนิทๆ ญาติผมและของญาติของญาติธรรม รวมกันไม่เกิน 200 คน แต่เมื่อสัปดาห์ก่อน ปู่ขาวมหาราช ท่านมาบอกว่า ลูกจะมีที่พักรองรับผู้คนไม่เพียงพอ ให้สร้างเพิ่มเติม ลูกต้องเมตตาเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้มาก อันนี้ทำเอาผมกลุ้มเลย เพราะคณะผมเตรียมกันจนหมดหน้าตักแล้ว คนมามากเราจะเลี้ยงไม่ไหว

เมื่อถึงเวลาเราคงหาช่องทางในการสื่อสารบอกกันยากครับ เพราะเมื่อถึงตอนนั้นความแปรปรวนทางบรรยากาศจะทำลายระบบการสื่อสารแทบทั้งหมด โดยเฉพาะเครื่องมือสื่อสารที่ต้องใช้ไฟฟ้า ระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งระบบจะถูกทำลายโดยพลังประจุไฟฟ้าขนาดใหญ่ ที่ก่อตัวขึ้นในบรรยากาศ ฟ้าจะผ่าสนั่นหวั่นไหวตลอดเวลาโดยเฉพาะโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งหลายฟ้าจะลงหมด



แค่เสียงดังมากๆนี่จิตก็คงจะตกไปอยู่ที่ตาตุมแล้วครับ จิตที่รับสภาวะนี้ได้ดีต้องฝึกให้จิตไม่สะดุ้งสะเทือนเมื่อมีเสียงดังมากๆจึงจะไม่กระทบจากเหตุการณ์นี้ครับ

สำหรับผู้ที่จะหนีไปทางอีสานหรือทางเหนือ ก็พยายามเลี่ยงริมน้ำโขงไว้นะครับ เมื่อถึงเวลานึงมวลน้ำขนาดใหญ่จะพัดผ่านแม่น้ำโขงด้วยครับ มาทั้งน้ำทั้งโคลนสีแดงๆ อยู่ห่างแม่น้ำโขงไว้สักประมาณ 1 กม. ก็น่าจะดีครับ พุทธสถานที่ผมจะไปอยู่นั้นจะอยู่ห่างจากน้ำโขงประมาณ 1.5 กม. เมื่อน้ำโขงไหลผ่านไปแล้ว ต่อไปริมฝั่งจะมาอยู่ใกล้กับที่ผมอยู่ประมาณ 1 กม.

ผมเองน่าจะหนีจาก กทม.ไปล่วงหน้าก่อนภัยพิบัติมา สัก 1-2 สัปดาห์ ก็คงประมาณหลังสงกรานต์ไปแล้วล่ะครับ หลังสงกรานต์ก็ไม่แน่ว่าจะได้มีเวลามาโพสต์ในนี้อีกหรือไม่ เพราะต้องเตรียมพร้อมหลายๆอย่าง

ในวันเกิดเหตุในเมืองไทยจะมีสิ่งบอกเหตุคือในตอนบ่ายท้องฟ้าจะมืดมิดกลายเป็นกลางคืนจากนั้นภายในไม่กี่ ชม. น้ำก็จะเข้า กทม. ครับ

นั่นคือสัญญาณของ "ฟ้ามืด แผ่นดินเคลื่อน" ครับ

--------------------------------------------------------------------------------
สัญญาณของ "ฟ้ามืด แผ่นดินเคลื่อน"

จากเฟสบุ๊ค 21 เมย.พศ. 2555 (ฤาษีลิงกัง) พระถิร ธัมโม นำข้อมูลจาก อัญญาสิทธิ์ จากสมาชิกเวปพลังจิต


ถึงเวลานั้น ทุกคนจะสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไม่มากก็น้อย ญาติพี่น้องของพวกเราบางคนก็จะไม่รอด บางส่วนก็จะสูญหาย บางคนก็จะสูญเสียความมั่นใจ ที่จะทำอะไรต่อไปข้างหน้าเพราะอาจจะต้องเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ ก็เตรียมใจกันไว้แต่เนิ่นๆครับ เมื่อเวลามาถึง จิตเราจะได้ปล่อยว่างในสิ่งที่เราสูญเสียไปได้ฯลฯ

ที่จริงในกึ่งพุทธกาลนั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญอีกวาระนึงทางศาสนา ที่แฝงไว้ด้วยภัยธรรมชาติ ที่จะทำการแบ่งแยกบุคคลที่มีศีลธรรม และบุคคลที่ด้อยศีลธรรม ออกจากกัน วัฏจักรมันเป็นมาอย่างนี้ ทุกกาลศาสนา เป็นช่วงสุดท้ายของการสร้างบารมีในศาสนาพระสมณโคดม และเข้าสู่จุดเริ่มต้นสร้างบารมี ไปสู่ศาสนาของพระศรีอริยเมตรัย ครับ



หลังเหตุภัยพิบัติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาคงจะให้ผมอยู่ทำหน้าที่ต่อไปอีกระยะนึง โดยมีภาระงานทางศาสนาอีกหลายอย่างที่รออยู่เบื้องหน้า เช่น สร้างเจดีย์ฯ ต่อให้เสร็จ (โดยไม่มีเทคโนยี) ตอนนี้ท่านให้เร่งตอกเสาเข็มของฐานเจดีย์ ให้เสร็จไว้ก่อนภัยพิบัติ ต่อไปอาจจะต้องทำหน้าที่ ชี้แนวทางการยกระดับจิตใจให้กับผู้ที่ประสบกับการสูญเสียที่มาเกี่ยวข้อง ฯลฯ

ท่านบอกว่าเมื่อภัยพิบัติผ่านไป บุคคลที่อยู่รอดกลุ่มหนึ่ง จะมาช่วยกันสร้างเจดีย์ฯเพื่ออุทิศกุศลให้บุคคลที่ล่วงลับไปในภัยพิบัติ โดยผมเป็นผู้เริ่มต้นในการสร้างไปก่อน

วิทยาศาสตร์ ยังไม่ค่อยมีองค์ความรู้ ในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นภายใต้พื้นโลก มากนัก มีข้อจำกัดอยู่มากครับ

คราวนี้ ใครๆ เขาก็เตรียมรับน้ำจากเขื่อนและแม่น้ำ ปรากฏว่า น้ำจะมาจากคลื่นทะเล เป็นหลัก อันนี้แทบไม่มีทางป้องกันเลยครับ

ที่จริง ผู้ที่ท่านเมตตามาบอกกล่าว เรื่องภัยพิบัติ และเตือนให้เตรียมตัวมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลังๆนี่ ไม่ใช่เฉพาะ พระเกจิในประเทศไทย อย่างเช่น ปู่ทวด เท่านั้นแต่ยังมีองค์ต้นธาตุต้นธรรม(องค์อชิตะ) ซึ่งท่านเป็น แสงแห่งธรรม เป็นใหญ่อยู่ในอนันตจักรวาล(เป็นพระพุทธเจ้า ที่เป็นใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าทั้งหมด ที่มีมาจำนวนนับไม่ถ้วน) และพระพุทธเจ้าองค์ปฐมในจักรวาลนี้(พระพุทธเจ้าวิปัสสีหรือปู่ขาว มหาราช) หรือพระพุทธเจ้าสิขีทศพล ที่หลวงพ่อฤษีลิงดำ ท่านกล่าวถึง(ปู่ขาวมหาราช ท่านบอกผมอย่างนั้น) รวมทั้งพระศรีอริยเมตรัย ก็มาเตือนเรื่องภัยพิบัติบ่อย

สำหรับ องค์อชิตะ นี้เป็นคนละองค์กับพระศรีฯนะครับ ชื่อพระศรีฯ ที่มาจุติในยุคพุทธกาล ไปซ้ำกับชื่อของ องค์อชิตะ ผู้ที่สื่อสารกับท่านเหล่านี้ได้ในคณะของผมนั้น ไม่ใช่มีเฉพาะผมคนเดียว แต่ยังมีพระสงฆ์อีกรูปนึง และฆราวาสอีกคนนึง ก็สามารถรับสื่อจากองค์อชิตะได้ เช่นเดียวกัน และอาจจะมีคนอื่นๆ ที่เขาสามารถสื่อสารกับท่านเหล่านั้นได้อีก แต่อาจจะยังไม่เปิดเผยตัวก็เป็นได้

การที่จะเข้าถึง องค์อชิตะ (ผมเรียกท่านว่าปู่อชิตะ)นั้น ต้องฝึกจิตให้เข้าถึงความว่าง เลยความว่างไป ก็จะเป็นแสงครับ แสงที่สามารถสื่อสารกับจิตวิญญาณของเราได้นั้นแหละ คือ องค์อชิตะ ครับ ผมเลยไม่รู้จะเรียกแสงนั้นว่าอะไร จึงเรียกท่านว่า "แสงแห่งธรรม" อาจจะเข้าใจยาก สำหรับผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงตรงนี้ การสื่อสารกันนั้นเป็นการสื่อสารแบบจิตต่อจิตเท่านั้นครับ

ก็ถือว่าเป็นบุญของเรา ที่ท่านเหล่านั้นมาโปรด จากเหตุที่เราเคยสร้างบุญกุศลในพุทธศาสนามาในพุทธันดรอื่นๆ จนส่งผลมาถึงพุทธันดรนี้ และเหตุจากพุทธันดรนี้ก็จะส่งผลไปถึงการทำหน้าที่ต่อไป ในพุทธันดรหน้าต่อไป ก็เป็นอันว่าจะหมดหน้าที่ในกึ่งกลางศาสนาของพระศรีอริยเมตรัย จึงจะหมดหน้าที่ตามที่ปรารถนามาทำในภัทรกัปป์นี้

ที่จริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ผมกล่าวถึง ท่านบอกผมว่า ท่านก็ต้องการสื่อสารกับนักปฏิบัติทั้งหลาย แต่มีข้อจำกัดในเรื่องของบารมีรองรับ และหน้าที่ที่คนส่วนใหญ่ ไม่ได้สร้างบารมีมารองรับ และไม่มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกัน จึงไม่สามารถรองรับญาณบารมีของท่านเหล่านั้นได้ หรือแม้แต่ผู้ที่มีบารมีรองรับเพียงพอ แต่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกัน ท่านก็จะไม่สื่อสารด้วย

ดังนั้น การที่ท่านเหล่านั้นเมตตามาบอกกล่าวเรื่องของภัยพิบัติ ซึ่งสิ่งที่ท่านบอกกล่าวมานั้น ก็ย่อมเป็นสัจจะธรรมเช่นกัน จึงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผมเองก็รอพิสูจน์สัจจะธรรมอันนี้อยู่เช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องของภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้

อ่าวไทย และจังหวัดที่เสี่ยงที่จะโดนมหาสึนามิถล่ม !!!

คลื่นน้ำสูงมากๆ จะเคลื่อนจากฝั่งอ่าวไทย ข้ามไปทะเลอันดามัน มาพร้อมๆ กันทั้งพายุหมุนและคลื่นขนาดมหึมา ลูกแล้วลูกเล่าครับ ซัดเข้ามาตรงแนวที่เคยคิดกันว่าจะขุดคอคอดกระ แล้วด้ามขวานไทยจะขาดสองท่อน รวมทั้งจะมีคลื่นสูงมากๆขนาดภูเขา ผมประมาณว่า คลื่นขนาดเท่าเกาะภูเก็ต มั้งครับ น้ำและโคลนจากคลื่นยักษ์นั้นคงจะกวาดเอาพื้นที่ข้างเคียงไปด้วยเป็นระยะหลายร้อยกิโลเมตรจากศูนย์กลางของพายุหมุน

ใน กทม. ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านเคยทำภาพให้ผมดูนั้น น้ำจะขึ้นสูงประมาณตึก 4 ชั้น ครับ (ระดับน้ำความลึกน่าจะประมาณ 10 เมตรกว่าๆ) คลื่นที่เข้ามาทางฝั่งทะเล ท่านเคยทำภาพให้ดู ก็ขนาดเท่าเกาะใหญ่ๆ ความแรงจากคลื่นซัดนั้น จะแรงและเสียงดังมาก ทำให้อาคาร บ้านเรือนต่างๆ สั่นสะเทือน ขนาดความรู้สึกในความเป็นทิพย์นั้น ความแรงคล้ายๆ จะทำให้หัวใจผมหลุดกระเด็น ออกมาจากตัวเลยครับ

ฤา กรุงเทพฯจะกลายเป็นทะเลในเร็วๆนี้

สิ่งที่จะฝากเตือน ก็คือ ใครจะประสบกับเหตุการณ์รุนแรงขนาดไหนก็แล้วแต่ ขอให้ตั้งสติให้ดี มิฉะนั้นแล้วจะเกิด สติวิปลาสโดยทันที ที่บางคนบอกกันว่าจะคุมสติได้นั้น ผมว่าไม่แน่นักหรอก เพราะในความเป็นจริงมันรุนแรงเหลือเกิน ยังไงก็ขอให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทก็แล้วกัน ผมเองบอกกับตัวเองไว้ว่า จะหนีก่อนใครๆ เพราะว่าถ้าอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ คงจะคุมสติตัวเองได้ยากเช่นกัน เพราะขณะที่นั่งสมาธิ เมื่อมีฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาใกล้ๆ จิตผมยังสะเทือนไหว ก็แสดงว่า ยังใช้การไม่ได้ ที่จะเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ของภัยพิบัติ ครั้งนี้ ถ้าหนีไปก่อนจะปลอดภัย ทั้งธาตุขันธ์และจิตวิญญาณของตนเอง
ยังไงก็อย่าลืมเร่งเตรียม "เสบียงบุญ" กันนะครับ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อทุกคน ถ้าไม่มีเสบียงบุญนี่ สิ่งต่างๆ ที่เราเตรียมกันเอาไว้ก็ไร้ค่าครับ

ผมล่ะขอพึ่งพระบารมีองค์ต้นธาตุต้นธรรม (องค์อชิตะ) องค์พระวิปัสสี และก็พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ นี้ครับ นี่คือ เสบียงบุญหลักๆ ของผมที่เตรียมมาอย่างยาวนานสิบกว่าปีครับ

ทุกคนเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง???

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(ชี้แจง) เรื่องคำทำนายภัยพิบัติโลกต่างๆ ที่มีในบล็อก  ปกติผมนายปรีดี ยืนยง  (ผู้ลอกเรื่องราว มาเก็บไว้)ไม่ได้เชื่อเรื่องคำทำนายภัยพิบัติโลก   แต่ชอบเก็บคำทำนายต่างๆเอาไว้เป็นหลักฐาน   เพื่อความเพลิดเพลิน   เพื่อพิจรณาความคิดความเชื่อ   และเหตุผลของผู้ทำนาย และคนทั่วไปที่ชอบ

แต่ชอบข้อดีของผู้ที่ชอบทำนาย   ที่มักจะไปในทางเดียวกันคือ จะบอกให้ผู้คนอยู่ในศีลในธรรม และอยู่กับธรรมชาติ รักธรรมชาติ อย่าทำลายธรรมชาติ  ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี