ระโนดในอดีต

ตำนานระโนด  ตอนที่ 3 นี้  เป็นเรื่องในสมัยพุทธันดรที่ ๑ หรือ ระโนดเมื่อต้นภัทรกัปป์  กัปป์ที่ 106 เป็นนิทาน หรือตำนานท้องถิ่น ที่ฤาษีเล่าให้ฟัง  ข้อมูลเป็นบันทึกเก่าแก่ตามวัด และจากบทหนังตะลุง เอามาเขียนเล่าให้ฟังเพลินๆ อ่านแล้วอย่าจริงจังว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ  เพราะแม้แต่บทเรียนในวิชาประวัติศสาตร์สมัยประถม  มีหลายเรื่องที่ยังคงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันยาวนาน  สรุปไม่ได้

มืองพรมมาตรคือเมืองของท้าวพรมมาตร ที่พระรามไปยกศรศักดิ์สิทธิ์ เพื่อครอบครองนางสีดา / รามเกียรติ์ (คนละยุกต์กับมหาภารตะของอินเดีย)

ยุคที่ 1. เมื่อเมืองพรมมาตรจมลงใต้ทะเลสาบสงขลา  จึงได้เกิดเมืองให่ม่ขึ้น 3 เมือง คือ เมืองพรมคีรีอยู่ทางทิศเหนือ เมืองกุนตานครอยู่ทางทิศใต้ เมืองพัทลุงอยูทางทิศตะวันตก



สมัยนั้น ยังไม่มีประเทศไทย   แผ่นดินในย่านนี้ประชาชนถูกปกครองโดย 2 ราชวงศ์  เป็นสมัยราชวงศ์เทวทางเหนือ   ราชวงศ์พรมมาตร และอาณาจักรหรือเมืองทางใต้คือ ลังกาสุกะ

ระโนด  เป็นเมืองโบราณ ที่เกิดจากการขุด  ให้เป็นคันดิน แบบร่องสวนแต่กว้างมาก  สามารถเกษตรกรรมได้
ตั้งแต่ วัดนางเหล้า ต.ชุมพล ในปัจจุบัน ไปถึงปากพนังนครศรีธรรมราช และกว้างไปทางทิศตะวันออก อีก 30 กม.ปัจจุบันนี้เป็นทะเลไปหมดแล้ว

ย้อนกลับไปที่พระลักษณ์
พระลักษณ์มีชายา ชื่อ พระนางครรธมาลา  พระนางครรธมาลา เป็นธิดาท้าว พรหมาตร (เป็นธิดาจริงๆ นางสีดา มเหสีพระรามฯนั้นเป็นบุตรบุญธรรม )

พระลักษณ์มีบุตร 3 คน คือ กุนตา มาลา รัตสิทธิ์

กุนตาพี่ชายคนโต  มีชายาชื่อพระนางศรีสัชนา พระนางศรีสัชนา เป็นธิดาเมืองสุโขไทย  ลูกของท้าวกุนตากับพระนางศรีสัชนา เป็นแฝด 3 คนชื่อ อิน จัน จอม สมัยนั้นเรียก 3 ฐี คือแฝดที่ตัวไม่ติดกัน  เพียงแต่เกิดท้องเดียวกันพร้อมกัน

ต่อมาท่านกุนตาไปครองเมืองซึ่งต้องขุดขึ้นมาใหม่หลังจากเมืองพรมมาตรจมลง และตั้งชื่อเมืองว่ากุนตานคร  ทุนทรัพย่ในการขุดใช้งบประมาณจำนวนมากเพราะใช้แรงงานคน  ผุ้สนับสนุนเงินทุนคือ...

1.พระนางเหม๊ะเหลียม ชาวเปอร์เชีย  พระนางเหม๊เหลียมเป็นลุกสะใภ้ท่าน กุนตา คือเป็นภรรยาของขุนอินๆเป็นบุตรชายคนโตของ ท้าวกุนตากับพระนางศรีสัชนา
2. พระนางศาตรากษัตรยิ์คชชะปุระ(เป็นเพื่อนขุนอิน)
3.พระนางแมรี่  เป็นลูกสะใภ้พระรถสิทธิ์  ชายาพระรภเสน  นางแมรี่เป็นลุกพระนางศาตรา พระนางศาตรามีสามีเป็นฝรั่ง  แต่ไทยเรียกนางเมรี



ประตุเมืองกุนตานครเรียกว่าช่องกุน  ปัจจุบันนี้ ยังมีอยู่ เป็นสำนักสงฆ์ ริมทะเล เขตุเทศบาล บ่อตรุ แต่สิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน  ฤาษีบอกว่าแปลกมาก  แม้ว่าเศษวัสดุสิ่่งก่อสร้างต่างๆ จะเปื่อยผุแล้ว แต่ยังสภาพดีอยุ่เลย   เอามาส่องด้วยแว่นขยายพบมีฉับพันธรังสีเต็มไปหมด    ไม่ว่าเป็นปุน เป็นอิฐจะมีฉับพรันธรังสี  ยิ่งเป็นพระ รุป เหรียญ กระเบี้องหลังคาล้วนมีฉับพรันธรังสีอยู่ทั้งนั้น





ตำนานประเทศไทย

เรื่องนี้ฤาษีเล่าให้ฟัง ท่านเล่าว่าสมัยนั้น ก่อนพุทธันดรที่ ๑ ในดินแดนแถบนี้เหนือถึงใต้ ได้ถูกปกครองโดยสองราชวงศ์คือ

1 ราชวงศ่พรมอยู่ทางตอนใต้  2. ราชวงศ์เทพอยู่ทางทิศเหนือ..ภาคกลาง  ทั้งสองราชวงศ์ไม่ถูกกันต่างก็ถือว่าตัวเองเหนือกว่า    ต่อมาได้ร่วมกันรบกับ ลังกาสุกะ เพื่อชิงนางสีดา จนได้ชัยชนะ และมีพระพุทธเจ้านามกุกกุสนโทอุบัติขึ้น จึงได้รวม 2 ราชวงศ์เข้าด้วยกัน  ตั้งเป็นประเทศไทยในยุคที่ ๑  (ปัจจุบันนี้ถือเป็น ยุคที่ ๔ )


ต่อจากเรื่อง... ตำนานนางเงือก สงขลา... หลังจากเสร็จศึกกับลังกาสุกะแล้ว  พระรามสร้างวังที่สงขลา ชื่อวังขาว พระลักษ่สร้างวังที่สงขลา ชื่อวังเขียว  ตั้งรกรากที่สงขลา  สงขลาตอนนั้นชื่อเมืองคือ....... ประตูสมุทร... ปกครองเมืองโดยท่านมารัน ลูกชายหนุมาน  พระรามพระลักษณ์ได้รับการยกย่องให้อยู่เมืองสงขลา ในฐานะผู้สูงศักดิ่แห่งเมือง  ได้รับการยกย่องสูงสุดดุจเทพเจ้า

ต่อมาพระรามมีลูก ๒ คน ลูกสาวกับลูกชาย คนโตเป็นลูกสาวชื่อยันตรี  ลูกชายชื่อ สิงเห  โดยที่ลักษณะลูกทั้ง ๒ มีลักษณะคล้ายยักษ์และมีเขี้ยว ทำให้พระรามระแวงนางสีดาว่าได้เสียกับยักษ์มาก่อน   แม้ว่านางสีดาจะยืนยันเพียงไร แต่พระรามก็มิอาจเชื่อได้    สุดท้ายก็เลิกกัน   นางสีดาหนีกลับไปลังกาสุกะพร้อลูกชาย.. สิงเห 

พระลักษณ์มีภรรยาชื่อพระนางครรธมาลา  แต่ชาวเมืองเรียกว่าแม่โพสพ  พระลักษณ์มีลูก 3 คน กุนตา มาลา รัตสิทธิ์  ต่อมากุนตาไปครองเมืองกุนตาซึ่งเป็นเมืองที่ขุดขึ้นมาใหม่หลังจากเมืองพรมมาตรจมลง  ลูกของท้าวกุนตากับนางครรธมาลาชื่อ  อิน จัน จอม เป็นแฝดที่ตัวไม่ติดกัน ภาษาเดิมเรียกว่า 3 ฐี (3 แฝด)

พ่อจอมเป็นพระโอรสองค์สุดท้าย เป็นฐานะหลานพระลักษณ์   ต่อมาพ่อจอมฝึกสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า และได้นามต่อมา.. คือพระกุกุสนโธ  เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑ ในต้นภัทรกัปป์ .. กัปป์ที่ ๑๐๖  วังพ่อจอม เรียกหลาทวด อยู่ตรงหนองไชยสุหลา // ที่พระกุสนอยู่ คือเรือนมยุรา

ลูกสาวคนสำคัญของพระลักษณะๆ ตั้งชื่อว่า  นาตะ (แปลว่นางรำ) ญาติพี่น้องไม่พอใจว่าดูถูก  เลยเปลี่ยนเป็น..ศรีมาลา ..โตแล้วส่งไปเรียนช่าง 10 หมู่ที่มหานครไชยา เป็นผู้ประดิษฐ์อักษรภาษาไทยคนแรก ต่อมาเรียกภาษาพราหมี และได้พัตนาต่อมาจากแม่ศรีมาลาคนต่อมาซึ่งมีชื่อนี้หลายคน  ได้เป็นภาษาไทย และภาษาอืนๆในภูมิภาค


กลับมาที่ลังกาสุกะ
ท้าวกุเวรพี่ชายซาตันบาตู (ทศกันท์)  ในขณะนั้นครองเมืองอยู่ เมื่อสีดากลับมาพร้อมลูกชาย  ตรวจดูถี่ถ้วนแล้วมีเขี้ยวหน้าตาออกทางยักษ์ตระกูลของตนเองจริงๆ   จึงบังเกิดความสงสัย จึงขอตรวจร่างกายนางสีดาดู ตรวจแล้วจึงได้รู้ว่า  ที่แท้เธอเป็นหลานสาวตัวเอง   ที่เคยทำเครื่องหมายเอาไว้ ก่อนนำไปทิ้งที่ชานเมืองพรมมาตร  และก็หายสาบสูญไป ... ลังกาสุกะเรียกนางสีดาว่า ซีร์ดะ


ย้อนกลับไปเหตุการณ์ก่อนนี้ ตามท้องเรื่อง... ตอนนั้นฤาษีเก็บลูกซาตัน บาตูหรือทศกัณท์ที่ถูกนำมาทิ้งที่ชานเมืองพรมมาตรไปเลี้ยง   ต่อมาได้เป็นบุตรบุญธรรมกษัตริย์พรมมาตรตั้งชื่อว่าสีดา    เมื่อเป็นสาว ท่านจัดการหาคู่ให้   โดยให้ใครก็ได้ที่สามารถยกศรศักดิ์สิทธิ์ได้  (เรื่องรามเกียรติ์)  ซึ่งมีพระรามยกได้คนเดียว  และต่อมาสีดาได้เป็นเมียพระราม  และถูกฝ่ายทศกัณท์มาลักพาตัวไป พระรามออกตามทวงนางสีดาคืน

และได้เกิดการทำศึกสงครามกัน ระหว่างอโยธยากับลังกาสุกะ จนผู้คนทั้ง 2 ฝ่ายล้มตายไปเป็นจำนวนมาก

เรื่องนี้ฤาษี บอกว่าอ่านมาจากบทของหนังพร้อมใหญ่ รถมาเสียที่ใกล้ๆบ้าน ได้ถามว่าเวลาเล่นหนังต้องดูบทไหม  นายหนังบอกแต่ไว้และค้นคว้าเรื่องราวมาก่อนจึงจะเอามาเล่นได้   ตอนนั้นเห็นว่าจะไปเล่นแก้บนที่ 3 จ.ว เล่นเป็นเป็นภาษายาวี

กษัตริย์กุสินารายณ์ ครองลังกาสุกะ ต่อจากท้าวกุเวรๆ พี่ชายทศกรรณ เนื่องจากท้าวกุเวรอายุมากแล้วจึงยกเมืองให้ครองแทน  ท้าวกุเวร พอทราบข่าวว่าพระโอรสท้าวกุนตาสำเร็จวิชาอมตะ เป็นพระพุทธเจ้าจึงพาพรรคพวกทหารมาจับ หวังจะเอามาต้มกินเพื่อให้ตัวเองเป็นอมตะเช่นกัน

สิงเหบอกว่า คุณลุงอย่าต้มท่าน  เพราะท่านมีศักดิ์เป็นหลานชายของกระผมเอง    กุเวรและพวกไม่ฟัง ต้ม ๆ อย่างเดียว    ต้มยังไงน้ำก็ไม่เดือด ไม้ฟืนหมดไป 7 ควนแล้ว ถามว่าทำไมเป็นเช่นนี้ พระกุกกุสนบอกว่าท่านหมดกรรมนั้นแล้วและพูดอะไรอีกไม่รู้  ท้าวจึงก้มลงกราบขอขมา    แต่กรรมนี่ได้สำเร็จไปแล้ว  ต่อมาจึงไปเกิดเป็นพยายมบาล  ดูแลยมโลก ถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งก็คือท้าวกุเวรฯ  ฝ่ายท่านสิงเหหรือกษัตริย์กุสินารายณ์  ได้ขอขมา โดยการสร้างวัด ชลธาราสิงเห  (ชื่อปัจจุบัน ) อยู่ จ.นราธิวาส   และครองกุสินารา จนหมดอายุอายุไขย

เมืองพรมมาตรที่จมลง  ได้สร้างเมืองใหม่เป็นกุนตานครเมืองนึง กุนตานครเกิดจากการขุด    ทางตะวันตกตั้งเป็นเมืองพัทลุงเมืองนึง  ทางเหนือคือพรมคีรีเมืองนึง.... ปัจจุบันเมืองพรมมาตรที่จม  อยู่บริเวณอ่าวหลาทัน ทางทิศตะวันตก อ.ระโนด  ฤาษีบอกไปดำน้าดูเลย  มีเศียรพระ และเทวาลัยโผล่อยู่หลายองค์


ในดินแดนแถวนี้เหนือถึงใต้ มีอยุ่สองราชวงศ่คือ
1 ราชวงศ่เทพ อยู่ทางเหนือราชวงศ์พรม   2. ราชวงศ่พรมอยู่ทางตอนใต้
ราชวงศ่เทพฯ อยุ่ทางเหนือ  ราชวงศ์พรมอยุ่ใต้  ทั้ง ๒ ราชวงศ์ไม่ถุกกันคิดว่าตัวเองเหนือกว่า

แต่พระรามเป็นราชวงศ์พรมถูกถอดจากตำแหน่งอุปราช  และมาเที่ยวทางใต้และได้ภรรยาคือนางสีดา สีดาถูกลังกาสุกะจับพาตัวไป  จึงเกิดการรวมตัวกันของราชวงศ์เทพฯและราชวงศ์พรม  ทำศึกจนชนะ  และได้เกิดพระพุทธเจ้าในกาลต่อมา  และหมดสิ้นความขัดแย้งระหว่างกัน   หลังจากนั้นได้ตั้งเป็นประเทศไทย

จริงๆแล้วราชวงศ่เทพมีพระเจ้ามาก่อนแล้วคือพระพุทธโสธรครับ  ราชวงศ่พรมก็มีพระเจ้ามาก่อนคือพระไชยพุทธเจ้า  หรือชาวเมืองเรียกพระราก (แม่พระ)  ที่ตั้งบนเรือพระวันชักพระ   อันนี้ของท่านเจ้าคุณช่วงวัดสุทัส บอกผมไว้ครับ


เมืองสงขลา

ตำนานนางเงือก..แหลมสมิหลา สงขลา .. จากยุคที่ 1

รื่องในตำนานในแต่ละท้องถิ่นมักเขียนขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกัน  บางตำนานก็มีจุดประสงค์ซ่อนเร้น  และมักเป็นประเด็นให้ลูกหลานรุ่นหลังเกิดปัญหาขัดแย้งขึ้นเสมอ   คือเขียนให้ฝ่ายตัวเองถูกฝ่ายตรงข้ามผิด แต่บางตำนานก็เป็นเรื่องเล่าธรรมดา  ตำนานเรื่องนี้เป็นเรื่องราวก่อนพุทธันดรที่ ๑ หากมีข้อความที่ผิดไปเพราะจำไม่ได้ ค่อยให้ฤาษีเล่าใหม่อีกที จะกลับมาแก้ไขใหม่อีกทีครับ


ฤาษีเล่าให้ฟัง ว่าเรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งประเทศไทย นางเงือกจริงๆ ชื่อตามประวัติสาสตร์ คือ..พระนางสงขลา เป็นธิดาของท่านปุตรไชยยันต์ (นาคราชเจ้าสมุทร) ชื่อในวรรณคดี คือ นางสุวรรณมัจฉา

เป็นเรื่องราวการรบระหว่างอโยธยากับลังกาสุกะ ... ลังกาสุกะเป็นเมืองของทศกัณท์ ที่ได้จมทะเลไปนานแล้ว (ตามภาพประกอบ) ก่อนเมืองจะล่มสลาย ลังกาสุกะได้ย้ายเมืองมาอยู่ที่ ยะลา ปัตตานี นราธิวาสฯ ในปัจจุบัน 

ส่วนเกาะลังกาที่อยู่ทางตอนใต้อินเดีย นั้นคือ "ลังกาสิงหล" สิงหลแปลว่ายอดคนที่เก่งแต่ตาบอด ส่วนสุกะ นั้นมาจากสุกร เป็น เซลต้นธาตุ ส่วนคำว่าธาตุ นั้นคือ element ภาษาไทยนั้น คือสิ่งที่แยกต่อไปไม่ได้แล้ว
พระนางสงขลามีลูกกับท่านหนุมาน 1 คน ชื่อมารัน ชื่อตามวรรณคดีคือ "มัจฉานุ" เป็นเจ้าเมืองคนแรกของสงขลา  บทบาทจริงๆของพระนางสงขลา คือสร้างถนนเชื่อมต่อ จากแหลมสมิหลาไปลังกาสุกะ เพื่อให้พระรามเดินทัพ ไปรับนางซีร์ดะ หรือสีดา ที่ซาตัน บาตูหรือทศกรรณ์ให้บริวารมาลักพาตัวไป กลับอโยธยา 

โดยนางสงขลาเป็นผู้ควบคุมการสร้างถนนที่ใช้พลวานรเป็นหลัก สร้าง 50 ปีจึงสำเร็จ และใช้เวลาในการทำสงคราม 500 ปีจึงสามารถเอาชนะกองทัพทศกรรณ หรือท่าน ซาตันบาตูได้... สมัยนั้นเป็นยุคก่อนพุทธันดรที่ ๑ ของภัทรกัปป์ (พระกุกกุสนโธ) ทีมนุษย์มีอายุขัย 4 หมืนปีกว่าๆ

ปัจจุบันถนนนี้มีร่องรอยถูกฝังอยู่ที่หลังโรงแรม บีพี จะเห็นชัดเวลาน้ำลง

งานฤดูร้อน (ป่าสน) จริงๆคือ งานฉลองสิ้นสุดสงคราม 500 ปีระหว่างพระรามกับ ซาตันเบตู คนที่มาร่วมทำศึก ได้มาร่วมฉลองการทำศึกกัน และได้เกิดผูกสัมพันธไมตรี และได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นการตั้งประเทศไทยในเวลาต่อมา

สถานที่สำคัญเรื่องนี้ 
ฤาษีบอกว่าผู้ค้นพบ คือ ร.๔ ท่านฤาษี เป็นเพียงผู้ประสานต่อ
1.ท่ากวางทอง เป็นท่าที่ซีดะห์ หรือสีดาถูกลักพาตัวไป

2.เขาตังกวน เป็นสถานที่ตั้งกองบัญชาการทัพ ของพระราม
3.ชุมชนแหล่งพระราม (พูดภาษาพระราม น่าจะเป็นภาษากลางในสมัยปัจจุบัน) เป็นชุมชนที่ตามพระรามมาจากอโยทยา

4.วังขาว,วังเขียว เป็นที่พักของพระรามกับพระลักษณ์
5.ถนนสายโผด เป็นถนนสายที่พระนางสงขลา สร้างเพื่อให้พระรามเดินทัพ

6. หินที่เอามาสร้างถนน เอามจากภูเขาเก้าเส้ง
7.สถานที่จัดงานฤดูร้อนสงขล

เป็นเพียงตำนาน จริงไม่จริงไม่รู้ ในอัลบั้มนิทาน กล้วยน้ำว้า ๑๐๐๐ ราตรี ครับ