เรื่องวรรณ

sonteen  theory 13
ทฤษฎีส้นตีน เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นมาเล่นๆตามความคิดเห็นส่วนตัว  เหมาะสำหรับคนบ้าเท่านั้น  คนดีๆไม่ควรอ่าน  หากอ่านไปแล้วรู้สึกขัดใจ ก็ไม่ควรคอมเม้นท์ใดๆจะได้ไม่ผิดใจกันครับ

วรรณโดยพระเจ้า เป็นวรรณที่แท้จริงถูกแบ่งโดยพระพรหม ถือเอาอารมย์ความปรารถาทางจิต   หรือจะเรียกว่าดวงจิตเสวยอารมย์เป็นสิ่งที่แบ่งวรรณของมนุษย์  อาจจะหมายรวมไปถึงลักษณะนรลักษณ์ด้วย  และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นวรรณอื่นได้  เพราะดวงจิตไม่รับไม่ยินดี   ความปราถนาในวรรณเดียวกันก็มีหลายระดับชั้น  หลาย Level  อารมย์จิตถูกกำหนดมาตั้งแต่ลักษณะธาตุ ดวงดาว และจักรราศี หรืออื่นๆอีก

วรรณโดยมนุษย์ วรรณถูกสร้างขึ้น  เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งที่ใช้ควบคุมสังคม เพื่อรักษาอำนาจตนเองไว้ให้นานที่สุด เป้าหมายเพื่อให้ง่ายต่อการปกครอง ควบคุม ใช้งานฯ ไม่ว่ากาลไหน ยุคสมัยไหน  หรือจะพูดอีกอย่างคือ  วรรณถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองก็ไม่น่าจะผิด


วรรณตามที่ศาสนาหินทูแบ่งไว้ พอสังเขป
๑. วรรณะพราหมณ์  ถือเป็นวรรณะสูงสุด เกิดมาจากพระโอฐของพรหม ทำหน้าที่นักบวช ศึกษาและสืบทอดคัมภีร์พระเวท เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าโดยการประกอบพิธีกรรมให้กับบุคคลทุก วรรณะ
๒. วรรณะกษัตริย์เกิดจากพระพาหาของพรหม ทำหน้าที่นักรบ นักปกครอง
๓. วรรณะ แพทย์หรือ ไวศยะ เกิดจาก พระโสณีของพระเจ้า ทำหน้าที่เป็นพ่อค้า เกษตรกรรม และหัตถศิลป์
๔. วรรณะศูทร เกิดจากพระบาทของพรหม ทำหน้าที่เป็นกรรมการใช้ร่างกายแบกหาม เป็นพนักงานระดับปฏิบัติการทั่วไป

วรรณในทัศนคติของข้าพเจ้า
วรรณพราหมณ์เป็นธาตุน้ำ มีหลายระดับชั้น เป็นผู้ชอบเรียนรู้ ชอบติดต่อสื่อสาร จนถึงชั้นนักบวช ผู้สละกิเลสผู้ใฝ่รู้แสวงหาสัจธรรม  จะนับถือศาสนาใดก็ได้  ถือเอาตามคุณลักษณะของอารมย์จิตนั้น  จะให้ไปเรียน ไปฝึกฝนในทางสายวรรณอื่นนั้น ไม่มีอารมย์ปรารถนา ไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจฝ่ายต่ำคือ โลภ โกรธ หลง

วรรณกษัตริย์เป็นธาตุไฟ  มีหลายระดับชั้น  เป็นนักปกครอง  เป็นผู้ชอบรับผิดชอบ  เสียสละ ดูแลสังคม ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย เป็นนักสู้ นักรบ มีความเที่ยงธรรม รวมไปถึงข้าราชการทั่วไป

วรรณแพทย์หรือไวศยะเป็นธาตุลม พวกพ่อค้าวานิช  ผู้ชอบเล่นแร่แปรธาตุ แลกเปลี่ยนสิ่งของ ปรับปรุงเปลี่ยนแปรโลก มีความปราถนาที่จะสร้างสรรผลงาน  สร้างและผลิตอะไรขึ้นมาให้มากๆ  เป็นผู้หมุนโลก ฉุดโลก ปรุงแต่งโลกให้มากเรื่องราว
วรรณศูรทเป็นธาตุดิน เป็นชนชั้นผู้ปฏิบัติงานทั่วไป ตั้งแต่ผู้ใช้แรงงาน ถึงระดับพนักงานบริษัท ฯลฯ มีความปรารถนาเพียงแค่มีกิน มีใช้ มีความอบอุ่น มีความปลอดภัย

ปัจจุบันยุคการค้า ยุคพ่อปกครองลูก (พ่อค้า.. ลูกค้า)  วรรณแพททย์ หรือไวศยะ ด้านการค้าขาย มีอำนาจสูงสุด มีวรรณพราหมณ์ เป็นที่ปรึกษา มีเงิน มีองค์ความรู้เต็ม วรรณนักปกครอง ได้แต่มองตาปริบๆ  พวกเขาสามารถทำให้วรรณอื่นๆ  เป็นได้แค่ลูกจ้าง เป็นพนักงานบริษัทฯ เป็นลูกค้าที่ต้องใช้บริการ  พ่อค้าใหญ่ระดับนายทุนข้ามชาติ จึงยึดครองโลกได้ทั้งหมด  ถือว่าอสูรเป็นใหญ่เนรมิตสิ่งของมาตอบสนองความหลงใหล ให้ได้ซื้อหามาใช้

ศาสนาทุกศาสนานั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐ   แต่ศาสนามักจะถูกนำไปใช้กับพิชัยสงครามตั้งแต่สร้างโลกเช่นกัน เพราะศาสนาไม่ว่าจะดี หรือประเสริฐยังไง  ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้คนส่วนใหญ่บรรลุธรรม  ยังมีคนไม่น้อยที่เครียดและแบกหามศาสนาประดุจดังของหนัก  ทั้งที่ศาสนาเป็นเป็นสิ่งไม่มีน้ำหนัก

ผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว ย่อมอยู่สูงกว่าดาวดึงส์  เบาสบาย จะถือศาสนาใดก็ได้ ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา รักเคารพและนับถือในศาสนาอื่นเช่นกัน  ไม่ลงมาแย่งชิงโลกทรัพย์อันเป็นของต่ำอันเป็นของที่สร้างขึ้นมาเพื่อการแย่งชิงเพื่อให้เกิดเป็นละคร  ให้เป็นดินเป็นปุ๋ยของละครชีวิต

ส่วนผู้ยังไม่บรรลุธรรม นั้นยังแบ่งเขาแบ่งเรายังอยู่ในระดับต่ำ รักแต่ฝ่ายตนเอง เห็นอีกฝ่ายไม่ถูกต้อง ต่ำกว่า
อาจถึงมองเป็นศัตรูที่ต้องกำจัด หรือทำไม่ให้โต

ส่วนอริยทรัพย์นั้นโจรไม่เอา  ปุถุชนไม่เอา ให้ก็ไม่รับ เขียนไว้ก็ไม่อ่าน พูดก็ไม่ฟัง  ไปเซ้าซี้มากๆก็จะถูกตอกกลับว่าบ้า ไร้สาระ ปัญญาอ่อน

พราหมณ์ ก็ใช่ว่าจะมีอยู่แต่อินเดีย หรือมีอยู่แต่ในศาสนาหินทูเท่านั้น  พระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้เจาะจงว่ามีแต่ที่อินเดียเท่านั้น  ในสมัยภัทรกัปป์ก็อุบัติที่สุวรรณภูมิถึง 3 พระองค์  ยังมีบันทึกไว้มากมายตามวัดวาอารามในดินสุวรรณภูมิ


วรรณพราห์ม คือธาตุน้ำบริสุทธิ์  สามารถต่อได้ทั้ง 3 โลก  พราหมณ์ต้องเรียนรู้พระเวท ต้องอยากรู้สิ่งที่สูงส่งคือพระเจ้า จะรู้ได้ต้องขัดใจให้บริสุทธิ์  มิฉะนั้น โลกทั้ง 3 จะถูกปิดด้วยเมฆหมอกกิเลสตัณหา  ไม่สามารถฝ่าวงล้อมเข้าไปได้

บุคคลอันเกิดมาเป็นธาตุน้ำทั่วไป เป็นผู้อยากรู้ อยากเห็น หรืออาจเป็นผู้หวั่นไหว ตื่นกลัว  ระแวงได้ง่ายระดับปุถุชนทั่วไป ก็แสวงหาความรู้และอารมย์โลกีย์ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สำผัส อันงดงาม หรือแปลกใจน่าหลงใหล   เมื่อพัตนาตนให้สูงขึ้นก็จะแสวงหาอารมย์และความรู้อันประณีต อยากเข้าใจสัจจะ อยากรู้ความจริง


กลับไป ทฤษฏีส้นตีนตอนที่ 1

อจินไตย

อจินไตย..จาก Warayano Nama

อจินไตย.... เป็นสิ่งที่เกินวิสัยมุนุษย์ปุถุชนทั่วไป ไม่ควรคิด  เป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไป ไม่อาจเข้าใจด้วยตรรกะ   

อจินไตยมี ๔ อย่างเป็นไฉน
พุทธวิสัย  เป็นวิสัยความมหัศจรรย์ ความรู้ ความสามารถของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ฌานวิสัย  เป็นวิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของผู้มีฌาน ทั้งมนุษย์, และเทวดา เช่น สามารถทรงฌาน นั่งอยู่เฉยๆ อยู่เป็นวันๆ หรือหลายวัน โดยที่ไม่ต้องกินดื่มไม่หลับ-ไม่นอน และไม่มีอาการเมื่อยขบใดๆ
กรรมวิสัย   วิสัยของกฎแห่งกรรม วิบากกรรม มีเหตุ มีผลวิบาก เป็นผลของกรรมติดตามตนเองทุกชาติ  ที่ตนรับรู้ ความเป็นมาของตนในชาติภพต่างๆเป็นวิสัยที่ไม่มีในปุถุชนทั่วไป
โลกวิสัย  วิสัยแห่งโลก ที่ความเห็นการมีอยู่ของสวรรค์นรก สังสาระวัฏ เรื่องความเป็นมาของโลกว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เกิดขึ้นอย่างไร เป็นต้น.

พระพุทธศาสนาถือว่า โลก คือ เรื่องอจินไตย  คือ เรื่องที่เกินกว่าปุถุชนคนธรรมดาแบบเราๆ จึงยากเข้าใจอย่างถ่องแท้ ถือเป็นเรื่องลึกซึ้งบางครั้ง เกินกว่าสติปัญญาคนทั่วไปจะเข้าใจยิ่งคิดมาก ยิ่งอยากจะรู้มากสนองความสงสัยจะทำให้เป็นบ้าได้

อจินไตย
สามารถจักรับรู้ได้ ถ้าบุคคลบรรลุธรรมขั้นสูงพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า…ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรจักคิด
เมื่อใดบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความบ้าและเดือดร้อน ฯ

อจินไตย ๔ ประการเป็นไฉ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑
เรื่องของฌานวิสัย ของผู้ได้ฌาน ๑
เรื่องของวิบากแห่งกรรม ๑
และความคิดเรื่องโลก ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการ นี้แลบุคคลไม่ควรคิด เมื่อใดบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความบ้าและเดือดร้อน ฯ

จักรราศี 2

จักรราศีตอนที่ 2
sonteen theory ทฤษฎีส้นตีน 12 
ชีวิตไม่ใช่เรื่องยากหากรู้จักจักรราศี แต่การรู้จักจักรราศีอย่างแท้จริงเป็นเรื่องยาก

ทฤษฎีส้นตีน เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นมาเล่นๆตามความคิดเห็นส่วนตัว  เหมาะสำหรับคนบ้าเท่านั้น  คนดีๆไม่ควรอ่าน  หากอ่านไปแล้วก็ไม่ควรคอมเม้นท์ใดๆ จะได้ไม่ผิดใจกันครับ
หลักพื้นฐานของจักรราศี 2 ส่วน คร่าวๆ คือ
1.ระบบพลังงาน  ความร้อน:แสงสว่าง จากตะวันออกในยามกลางวัน ความเย็น:ความมืดจากตะวันตกในยามกลางคืน
2 ระบบธาตุๆ ที่เป็นพวกมวลสารต่างๆ จากดวงดาวทั้ง 8 และจากราศีเอง เช่นของเหลวของแข็ง ก๊าซ วิญญานธาตุ ที่หมุนเวียนปรุงแต่งเข้าออก แปรเปลี่ยน  นำมาสร้างซ่อมตัวเอง องค์กร  สารที่ต้องทิ้ง ต้องขาย ต้องแลกเปลี่ยน ต้องสร้างเพิ่ม
หมุนเวียนแลกเปลี่ยนกันไปในจักรราศีทั้ง 12

สัญลักษณ์ตัวเลขแทนพระเคราะห์หรือเทวทั้ง ๘ 
พระอาทิตย์   พระจันทร์  พระอังคาร   พระพุธ   พระพฤหัสบ่ดี   พระศุกร์  พระเสาร์ พระราหู 
ดวงดาวมีกฏเกณท์ที่แน่นอน  เดินทางอยูในบ่วงของตัวเองเท่านั้นออกนอกเส้นทางไม่ได้โดยเด็ดขาด  หมุนรอบตัวเองเป็นวงกลม ลักษณะการทำงานคล้าย citcular value หรือ Rotary Thermal value   เปิดปิดรับส่งพลังงานและธาตุ ตามเวลา และองศา ดวงดาวในชั้นจุลจักรวาลหมุนรอบจักรราศีเร็วกว่านาโนวินาที  แต่ไม่เอามาคิดในชั้นมนุษย์

ราศีทั้ง ๑๒ ของแต่ละสถานที่นั้น   แบ่งได้หลายชั้นตั้งแต่ร่างกาย ครัวเรือน หมู่บ้าน เมือง ประเทศ ฯ แต่ละราศีก็จะสำพันธ์กับราศีฝานอกของโลกที่มีดวงดาวโคจรตรงเส้นขอบฟ้า  มีทิศทางและความร้อน  ความเย็น   ความกด ความแห้ง  ความชื้นไม่พร้อมกัน ถือเป็นสวนเกษตรมหัศจรรย์

พิจรณาเรื่องชะตาชีวิต หรือดวงคร่าวๆจากจักรราศี 2 ฝาดังนี้

1.วางลัคน์ จากเวลาตกฟากเพื่อหาดวงตัวเอง หรือฝาใน ว่าราศีใดแข็งอ่อน และเป็นอะไร ระดับไหน อาชีพอะไร มองเห็นจากลัคนา ราศี ดาวเดี่ยว ดาวคู่ ดาวผสม  แปลภาษาโหรออกมาเป็นภาษาคน 


2.ดูดวงดาวในจักรราศีที่ฝานอก  ในขณะเกิดโดยไม่ต้องสนใจลัคนาว่า ดีเด่นขนาดไหน    เพราะตัวเจ้าชะตาเปรียบเหมือนต้นไม้หรือสัตว์ตัวหนึ่ง  ที่จะออกมาเจอดิน เจอปุ๋ย เจอสภาวอากาศสิ่งแวดล้อมภายนอกที่เวลาช่วงไหน ตามภาพดวงดาวที่ประทับไว้นั้น   ดีไม่ดี มีปีนักษัตริย์ ราศีเดือน ราศีวัน ดวงดาวจักรราศีเป็นตัวบอก  โดยรวมเรื่องมนุษย์ทั้งหมดเอาไว้ตามลำดับแบบคร่าวๆ ดังนี้

ภพต้นธาตุ หรือเรือนชะตาต้นธาตุ คิดตามราศีโลก  ราศีเกิดจริงเฉพาะบุคคล ก็เจาะเข้าไปลึกอีกชั้น
๑.๑ ตนุภพ พระ ๓ เป็นเกษตรราศีไฟต้นธาตุชื่อภูมิดนัย  แปลว่าผุุดขึ้นมาจากดิน คือการแรกเกิดออกมา มีตนเอง กูเอง อัตตา ร่างกาย จิตใจ ความคิด อารมย์ ความปรารถนา ฯ ใช้แรงดันสูง ในการออกตัว เข้าเกียร์ ๑ ของรถยนต์ชีวิต พระอังคารเป็นเจ้า

๑.๒.กดุมพภพ พระ ๖ เป็นเกษตรราศีดินต้นธาตุ ธาตุดินเริ่มต้น ของกู แม่กูพ่อกู โมบายกู ขวดนมกู  ทรัพย์ เดิม ๆและหามาใหม่ เก็บไว้ เข้าคลัง ทรัพย์เป็นของที่ต้องหลง ต้องชอบต้องรักต้องหวง พระศุกร์คุม

๑.๓.สหัชชะภพ พระ ๔ เป็นเกษตรราศีลมต้นธาตุ  เริ่มร้องให้เรียกความสนใจ  กระทืบเท้าดิ้น การติดต่อ พูดออกไป การเริ่มเคลื่อนไหว  ส่งออกไป เดินออกไป บรรทุกไป ขนไป ให้พระพุธเทวทูตของพระเจ้าคุม

๑.๔ พันธุภพ พระ ๒ เป็นเกษตรราศีน้ำต้นธาตุ  ปะติดปะต่อเชื่อมโยง คน สิงของ ใกล้ๆเป็นเครื่อข่ายครอบครัว เล็กๆของเด็กน้อย ออกไป พี่น้อง สังคมรอบตัว เป็นการต่อเซลต่างๆในรอบที่ 1 พันธุกรรม ให้มารดาแห่งโลก ผู้แสวงหาอาหารธาตุ  ผู้เขื่อมต่อเป็นเจ้าเราศี เป็นผู้ควบคุมดูแล

เบื้องต้น ๔ ราศี  คือ ๑ คาบเวลาจริง  เป็นเวลาแบบธาตุ ไม่ใช่เวลานาฬิกา    คือไฟดินลมน้ำต้นธาตุ วนไปครบ 4 ธาตุได้เป็น ๑ คาบ เป็นพื้นฐานชีวิตระดับครอบครัว  เป็นเบื้องต้นต้นน้ำภพพันธุ จะต่อไปกลางธาตุคือ ไฟปุตตภพระดับเริ่มใหม่ช่วงกลาง โรงเรียน สังคม ต่างถิ่น ต่างประเทศ



ตำแหน่งพระเคราะห์มาตรฐานด้านดี...หากไม่ดี หรืออ่อนคือตรงข้าม อาจจะไม่ใช่ไม่ดี แต่เป็นเพียงลักษณะหนึ่ง  ตรงข้ามเกษตรคือประ ตรงข้ามมหาอุจจ์คือ นิจ ตรงข้ามราชาโชคคือเทวีโชค ตรงข้าม มหาจักรคือจุลจักร  การนำไปใช้งานจริง คค่อนข้างซับซ้อน

ภพกลางธาตุ หรือเรือนชะตากลางธาตุ
๒.๑ ปุตตภพ พระ ๑เป็นเกษตรราศีไฟกลางธาตุ  ความปรารถนา ความอยากในชั้นกลาง เข้าโรงเรียน เจอเพื่อนใหม่ สิ่งใหม่ๆ คืออยากจะสร้างอยากจะให้มีเพิ่มขึ้นใหม่ เติบโตขึ้นมา เจริญขึ้นมาต่อจากต้นธาตุหรือปฐมธาตุ หมายถึงบุตรและผู้อยู่ใต้บังบัญชาด้วย  

๒.๒ อริภพ พระพุธเป็นเกษตราศีดินกลางธาตุ คือปัญหา คืออุปสรรคที่ที่ต้องเจอ ฟันฝ่า คิด วิเคราะห์ วางแผน
ใช้สมอง ใช้ความคิดที่แจ่มชัดดีกว่า ให้พระพุธเป็นเจ้า

๒.๓ ปัตติภพ ลมกลางธาตุ ที่ๆต้องจัดการรักษาดุลพลัง ของธาตุบุคคลต่างๆที่หลายเรื่อง ดันกันเข้ามา  น้อยสุดก็คู่ครอง มากขึ้นก็สังคมบ้าน หน่วยงาน ที่ต้องรักษาให้พอดี ประคับประคองให้ไปกันได้  เรื่องสังคมคน ใช้ความรัก ความสวยงาม ความรื่นรมย์ พลังพระศุกร์คุม


๒.๔ มรณภพ ฟังชื่อดูน่ากลัว  น้ำกลางธาตุ พระอังคารเป็นเกษตรเจ้าราศี  ก็เหมือนพันธุภพ แต่เป็นตอนที่ 2 เขื่อมต่อไกลออกไป ยาวออกไป ต่างถื่น ต่างประเทศ พลัดพราก ไปต่างภพ สวรรค์ นรก บาดาล หรือในมดลูก ในท้อง  ที่ต้องเชื่อมต่อสร้างเครือขา่ยสื่อสารให้ทั่วถึง หรือสร้างอาณาจักรใหม่ เปิดสาขาใหม่ต่อไป 

ภพปลายธาตุ หรือเรือนชะตาปลายธาตุ ๔ เรือนชะตาที่ต้องทำให้จบสวยๆ สมบูรณ์

๓.๑ ศุภะภพ พระ ๕ เป็นเกษตรราศีไฟปลายธาตุ ราศีบิดา ที่พึ่งพิง ความสงบสุขทางจิต  บ้านเรือน ศาสนา พระเจ้า  ความสุข ความอบอุ่น เกี่ยวกับเรื่องความดีงาม  ปัญญา ความหลุดพ้น (ตนุ,ปุตต,ศุภะ) ให้พ่อครูฤาษีผู้ทรงคุณธรรม ทรงสติญานสมาธิ คุมดูแล

๓.๒ กัมมภพ พระ๗เป็นเกษตรราศีดินปลายธาตุ เรื่องกรรมที่ต้องรับจากที่บันทึกไว้  เรื่องงานมั่นคงที่ต้องทำ เรื่องกรอบที่ต้องปฏิบัติ ที่ต้องบังคับตนตามกฏเกณท์ เรื่องที่ต้องจบ ต้องสรุป  บ้านเรือน ทรัพย์สินที่ต้องเป็นของตัวเอง เรื่องอดีตที่ต้องจารึก เรื่องความมั่นคง พระเสาร์เป็นเจ้า

๓.๓ ลาภะภพ  พระ๘ ขุนคลังเป็นเกษตรราศีลมปลายธาตุ  เป็นธนาคาร ตู้เอทีเอ็ม เรื่องเงินที่ได้เป็นค่าตอบแทน รางวัล  เรื่องการแปรธาตุ เพิ่มขยาย ทำให้มาก ต้องเพิ่มความอยากให้มาก เพิ่มพลังความอยากให้เทวดาองค์ไหน  ให้เป็นหน้าที่ของพระราหูเจ้าโลก เจ้าแห่งมนต์มายาทำให้ลุ่มหลง  

๓.๔ วินาสะภพ พระ ๕ เป็นเกษตรราศีปลายธาตุน้ำ  การต่อให้จบ  พิจรณาประสานงานครั้งสุดท้ายด้วยปัญญาตรวจสอบบัญชี  ปิดบัญชี ทบทวนการกระทำทั้งหมดที่ผ่านมา  เพื่อให้จบแบบเป็นธรรม  ยุติธรรม ท่านครูเป็นเจ้า หรือท่านยม ท่านผู้พิพากษาแล้วแต่กรณีเป็นเรื่องๆไป  เรื่องบัญชี ก็ให้เด็กพาณิช เด็กจบบัญชี ฤาษีไม่ต้อง

จะเห็นว่าแท้จริงแล้วเรื่องราศีของดวงชะตามีเพียงธาตุ ๔ เท่านั้น ไฟกินดิน ดินกินลม  ลมกินน้ำ  น้ำกินไฟ แยกเป็น 3 ตอน ต้น กลาง ปลาย ในจักรราศีมีพระเคราะห์ ๘ องค์ประทับอยู่  ที่ราศีต่างๆ เมื่อดวงของเรา
เคลื่อนไปถึงราศีนั้นๆ  ก็จะเจอเรื่องนั้นๆ หากพระเคราะห์เข้มแข็ง ตำแหน่งดี เราก็ปลอดภัย  หากอ่อนก็มีเคราะห์ คือท่านรักษาเราไม่ได้  

พระเคราะห์ในทัศนคติของผมจะดีทั้งหมด เพราะเรียกว่าพระ  แต่บุญกรรมที่ท่านทำไว้ในอดีตชาตินั้นถึงพอหรือไม่ที่จะได้รับการดูแลรักษา  อย่างเสาร์ทับลัคน์ที่หมอดูทั่วไปกลัวกัน  แต่บางท่านอาจมีลาภ มีบ้าน เพราะเป็นกรรมดีในอดีต กลับมาตอบสนองครับ

กลับไป... ทฤษฎีส้นตีนตอนที่ 1

วันสิ้นโลก

23 กันยายน 2560 จะเป็นวันสิ้นโลก
มาอีกแล้วครับ จากฝรั่งนักทำนายฝั่งตะวันตก คำทำนายวันสิ้นโลกครั้งที่ 200 เรื่องข้างล่าง ลอกมาทั้งดุ้นครับ..เก็บไว้เป็นข้อมูล

นักเลขศาสตร์ชาวอเมริกัน เตือน 23 กันยายน 2560 จะเป็นวันสิ้นโลก เพราะดาวเคราะห์เอ็กซ์ หรือดาวนิบิรุ จะพุ่งชนโลก ด้านนาซายันชัด เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ดาวที่ว่าไม่มีจริง ถ้ามีต้องเห็นนานแล้ว


เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2560 เว็บไซต์ฟ็อกซ์นิวส์ รายงานว่า นายเดวิด มี้ด (David Meade) นักเลขศาสตร์ชาวอเมริกัน ผู้เขียนหนังสือ "Planet X - The 2017 Arrival" ได้ออกมาประกาศว่า  ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่ชื่อ ดาวเคราะห์เอ็กซ์ (Planet X) หรือที่รู้จักในชื่อ ดาวนิบิรุ (Nibiru) จะพุ่งชนโลกในวันที่ 23 กันยายน 2560 มันจะทำให้เกิดภัยพิบัติอันตรายนานัปการขึ้นบนโลก ชนิดฟ้าถล่มดินทลาย ตั้งแต่ ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว และสึนามิ  มันจะทำให้โลกถึงแก่กาลอวสาน และมวลมนุษยชาติจะดับสูญ

โดย เดวิด มี้ด ได้อัปโหลดวิดีโอชื่อ September 23, 2017: You Need to See This ลงบนเว็บไซต์ยูทูบ เพื่อเตือนชาวโลกถึงหายนะที่กำลังจะมาถึง ซึ่งมันได้สร้างความตื่นตระหนกและพูดถึงกันไปต่าง ๆ นานา ถึงขั้นมีการทำเว็บไซต์เคาท์ดาวน์ นับถอยหลังวันสิ้นโลกอีกด้วย มี้ดอ้างว่าพระคัมภีร์ไบเบิลได้ทำนายเหตุการณ์วันสิ้นโลกที่จะเกิดขึ้นเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ เพิ่งเกิดขึ้นบนโลก ไม่ว่าจะเป็น สุริยุปราคาครั้งล่าสุด หรือ เฮอริเคนฮาวี ล้วนเป็นสัญญาณเตือนภัยพิบัติวันสิ้นโลก



โดยข้อความในไบเบิล ที่มี้ดนำมาอ้าง คือในส่วนของ  (ลูกา 21:25-26) ความว่า

จะมีหมายสำคัญที่ ดวงอาทิตย์ ที่ดวงจันทร์ และที่ดวงดาวทั้งปวง และบนแผ่นดินก็จะมีความทุกข์ร้อนตามชาติต่าง ๆ ซึ่งมีความฉงนสนเท่ห์เพราะเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น มนุษย์จะสลบไสลไปเพราะความกลัว เนื่องจากสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ซึ่งจะบังเกิดในโลก เพราะว่าบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน"

นอกจากนี้แล้ว มี้ดยังอ้างอิงข้อมูลจากในไบเบิลในส่วนของ (วิวรณ์ 12:1–2) ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ ระบุว่า

มีหมายสำคัญยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งปรากฏในสวรรค์ คือสตรีคนหนึ่งสวมดวงอาทิตย์เป็นเสื้อผ้า และมีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้าของนาง บนศีรษะของนางมีมงกุฎที่เป็นดาวสิบสองดวง สตรีนั้นมีครรภ์ และร้องด้วยความทรมานเพราะเจ็บครรภ์"

จากการตีความพระคัมภีร์บทดังกล่าวนั้น มี้ดเชื่อว่าสตรีที่กล่าวถึงคือราศีกันย์ (Virgo) และในวันที่ 23 กันยายน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ รวมทั้งดาวพฤหัสบดี จะโคจรมาหากัน ซึ่งจะเกิดขึ้นแบบนี้ทุก ๆ 12 ปี เป็นปรากฏการณ์หายาก เรียกกันว่า สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ (The Lion of the tribe of Judah) และมันเป็นปรากฏการณ์ที่เหล่านักทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดต่าง ๆ เชื่อกันอย่างถวายหัว ในขณะที่ความเชื่อทั้งหลายอันมีการเชื่อมโยงไปสู่ดวงดาวนี้ ไม่เคยได้รับการยืนยันใด ๆ จากนิกายต่าง ๆ ในศาสนาคริสต์ ไม่ว่าจะเป็นคาทอลิก โปรเตสแตนต์ หรือแม้แต่ออร์โธดอกซ์




อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ามี้ดจะยืนยันเป็นจริงเป็นจังถึงวันสิ้นโลกที่จะเกิดขึ้น แต่มันก็เป็นเพียงทฤษฎีที่เขาเชื่อเท่านั้น ก่อนหน้านี้เขาเขียนหนังสือว่าดาวนิบิรุจะพุ่งชนโลกในเดือนตุลาคม แต่เขาก็เลื่อนวันให้เร็วขึ้น เป็นวันที่ 23 กันยายน เนื่องจากเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่าง เฮอริเคนฮาวี และสุริยุปราคา

ขณะที่ทฤษฎีเรื่องดาวนิบิรุ ก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงความเชื่อของคนบางกลุ่ม โดยก่อนหน้านี้องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซา (NASA - National Aeronautics and Space Administration) ก็ได้ออกมาเปิดเผยหลายครั้งแล้วว่าดาวเคราะห์ที่ว่านั้นไม่มีอยู่จริง ถ้ามันมีดาวเคราะห์น้อยที่สามารถพุ่งชนโลกในเร็ว ๆ นี้แล้วละก็ ทีมนักดาราศาตร์และนักวิทยาศาสตร์คงตรวจพบมันตั้งแต่ 10 ปีที่ก่อน และป่านนี้มนุษย์บนโลกต้องสามารถมองเห็นมันได้ด้วยตาเปล่าแล้ว
   
ดาวนิบิรุแบบนี้ดูจะน่ากลัวมากกว่า เพราะมีมากมายหลายพันดวงบนพื้นโลก 

"โครงการสำรวจพื้นที่มุมมองกว้างบนท้องฟ้าในย่านรังสีอินฟราเรดของนาซา (WISE - Wide-Field Infrared Survey Explorer) ทำการสำรวจวัตถุต่าง ๆ นับร้อย ๆ ที่โคจรอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งปรากฏว่า ไม่พบหลักฐาน ๆ ใด ๆ ที่สามารถบ่งชี้ได้เลยว่ามีดาวดังกล่าวอยู่ในระบบสุริยะ" องค์การนาซา กล่าว

ด้าน โจนาธาน ซาร์ฟารี นักเขียนของดิเอ็กซ์เพรส ก็ได้ออกมาบอกเช่นกันว่า มันเป็นเรื่องปกติ ที่เรื่องดาราศาสตร์จะถูกโยงไปเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อต่าง ๆ และควระระมัดระวังในความเชื่อพวกนี้

"จริง ๆ แล้วไม่มีตรงไหนในคัมภีร์ไบเบิลที่ระบุถึงวันที่ 23 กันยายน อย่างชัดเจน ดังนั้นคริสเตียนทุกท่านจำเป็นต้องระมัดระวังให้มาก กับความเชื่อที่อ่อนไหวโน้มน้าวใจเหล่านี้" โจนาธาน ซาร์ฟารี กล่าว

จาก.. https://hilight.kapook.com/view/160349

ตำนานดาสนิบิรุที่ยาวเป็นรถไฟ ท่านสนก็อ่านได้จากพันทิพ ครับ ..
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/11/X7218406/X7218406.html

จักรราศี

จักรราศีตอนที่ 1
sonteen theory ทฤษฎีส้นตีน 11 

ทฤษฎีส้นตีน เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นมาเล่นๆตามความคิดเห็นส่วนตัว  เหมาะสำหรับคนบ้าเท่านั้น  คนดีๆไม่ควรอ่าน  หากอ่านไปแล้วรู้สึกขัดใจ ก็ไม่ควรคอมเม้นท์ใดๆจะได้ไม่ผิดใจกันครับ

ชีวิตไม่ใช่เรื่องยากหากรู้จักจักรราศี แต่การรู้จักจักรราศี ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยากมาก

จักรราศี มาจากคำว่า...จักร + ราศี  คือการหมุนของรูปนามในวงกลม จักรมี 2 ฝาคือฝาในกับฝานอก
จักรฝาใน คือการหมุนวนขวาตามโลก ของรูปนาม  ในที่นี้หมายเอาเทพฯ พระเคราะห์ทั้ง ๘ องค์
จักรฝานอก คือการหมุนวนซ้ายของวงกลมฝานอก 1 รอบ 360 องศา นำมาแบ่งเป็นส่วนๆ เรียกว่าราศี

ราศี ในวิชาโหราศาสตร์แบ่งเป็น 12 ส่วน ราศีวันมี ๑๒ ราศีทุกวัน (อยู่ภายในในราศีเดือน) ใน ๑ ปีจะมีราศีเดือน ๑๒ ราศีๆจะแบ่งสักกี่ส่วนก็ได้แล้วแต่ลักษณะที่จะนำไปใช้    ดังตัวอย่างตำนานสงกรานต์เรื่องท้าวกบิลพรหมลงมาถามปัญหาธรรมกับธรรมบาลกุมาร ที่ว่า ข้อ ๑.เช้าราศีอยู่แห่งใด ข้อ ๒.เที่ยงราศีอยู่แห่งใด ข้อ ๓. ค่ำราศีอยู่แห่งใดนั้น  ก็เป็นราศีสถานที่ของร่างกายที่แบ่งเป็น 3 ส่วน ใน 1 วัน

แสดงจักราศี 2 ฝาที่หมุนสวนทางกัน ทักษา ๘ เทวเคราะห์ เป็นฝาในหมุนวนขวา ราศีเป็นฝานอกหมุนวนซ้าย
โดยบูรพาจารย์ได้แบ่งเรื่องที่มนุษย์ต้องเจอทั้งหมดมี 12 เรื่อง เรียกว่า 12 ภพหรือเรือนชะตาบรรจุลงใน 12 ราศี   ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าใด   หรือไปอยู่ที่ภพภูมิไหน จักรวาลใด  มนุษย์ก็จะมีแค่ 12 เรื่องนี้เท่านั้น (ดูรายละเอียดในบทความจักราศีตอนที่ 2 )

จะเห็นว่า 12 ราศีเป็นแกนแนวตั้งหรือแกน XY  จะมีสิ่งต่างๆ เรื่องราวต่างๆปรากฏออกมา  ตามเวลาที่หมุนวนขวาเข้าไป   เวลาที่หมุนเข้าไปเป็นแกนแนวนอน หรือแกน Z จะคิดเป็น นาโนวินาที วัน เดือน ปี ถึงมหากัปป์ก็ได้  เป็นการยกตัวอย่างเพื่อความเข้าใจ

ราศีท้องฟ้า หรือจักระฝานอก  ที่จะหมุนมาให้เจอในอนาคต
ในวิชาโหราศาสตร์ (โหรา แปลว่า ๒ ด้าน ศาสตร์แปลว่าวิชา ) คือด้านมืดกับด้านสว่าง หรือภาคกลางวันกับภาคกลางคืน ฯลฯ  ใช้หลักดวงดาว ๘ ดวง (คือธาตุ ๔ สองด้าน) เป็นผู้วางกรอบจักราศีโดยมีลักษณะการเรียงดังนี้

เรียงตามความสว่าง จากชั้นในออกไป  อาทิตย์ ๑ พุธ ๔ ศุกร์ ๖ อังคาร ๓ พฤหัส ๕ เสาร์ ๗  ค่ำมืด
เรียงตามความมืด จากชั้นนอกกลับเข้ามา   ราหู ๘ พฤหัส ๕ อังคาร ๓ ศุกร์ ๖ พุธ ๔ จันทร์ ๒ สว่าง

ลักษณะการหมุน   จักระฝาในก็คืออาตัวเราเองหมุนเข้าไปตามรูปดวงกำเนิด  จากแรกเกิด วนไปๆ ก็เจอธาตุ ๔ ดาว ๘ ราศี ๑๒  ว่ารุ่งเรืองหรือตกต่ำตอนไหน เรื่องใด ตามที่มีบันทึกไว้ในรูกดวงชะตากำเนิด

โหราศาสตร์แบ่งราศีท้องฟ้าเป็น 12 ราศีๆละ 30 องศา แต่อันโตนาทีไม่เท่ากันดังรูป (เหตุที่อันโตนาทีไม่เท่ากัน เพราะเส้นระวิมรรคเป็นวงรี ช่วงที่โลกโคจรเข้าใค้งจะใช้เวลามากกว่าช่วงอื่นๆ

ชีวิตเบื้องต้น    ตั้งแต่ราศีเมษไฟ /พฤษดิน/มิถุนลม /กรกฏน้ำ.......ไฟ ดิน ลม น้ำ  
ชีวิตเบื้องกลาง  ตั้งแต่ราศีสิงห์ไฟ /กันย์ดิน /ตุลย์ลม /พิจิกน้ำ ..... ไฟ ดิน ลม น้ำ
ชีวิตเบื้องปลาย  ตั้งแต่นาศีธนูไฟ /มังกรดิน /กุมม์ลม /มีนน้ำ .... ...ไฟ ดิน ลม น้ำ

1. ราศีแบบสุริยคติ นับ 1 จากพระอาทิตย์ยกเข้าราศีเมษ วนไปตามเส้นระวิมรรค   มีวิธีดูว่าราศีอยู่ตรงไหนคร่าวๆโดยสังเกตุดูดวงอาทิตย์ที่ตำแหน่งขอบฟ้าทิศตะวันออกตอนเช้าตรู่   หากดูประจำเทียบกับสิ่งปลูกสร้าง หรือต้นไม้ใหญ่ จะรู้ วัน เดือน ปี เพียงแค่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกเท่านั้น ผมเคยทำครับ หรือจะดู เทียบกับดาวจักรราศี โดยการดูพระจันทร์เพียง 1 เดือนก็เห็นดวงดาวจักรราศีทั้งหมด แต่ต้องดูเป็นปีจึงจะรู้

ปัญหาการผูกดวงเทียบกับราศีท้องฟ้าคือ   ปฏิทินโหรปัจจุบันมี 2 ระบบ นิรายนะ (ระบบคงที่ เข้าราศีเมษ 13 เมย.ถือดาวฤกษ์เป็นเกณท์ ผมใช้ระบบนี้) ระบบ สายนะ (เข้าราศีเมษ 21 มีค.เบี่ยงเบนตามบ่วงโลกที่คล้องพระอาทิตย์ ผมเรียกราหูตัวพ่อ แต่เขาว่าเป็นค่าอายนางศะ) เรื่องปฏิทินกูรูผู้รู้ก็ยังเถียงกันไม่จบ  ท่านลองไปหาอ่านดูเองครับ

2. ราศีแบบจันทรคติ หมอดูบางคนใช้วิธีนี้คือ นับ 1 จาก ขึ้น ๑ ค่ำเดือน 5 ราศีเมษวนไปๆๆ
ราศีเมษ - เดือน 5 พฤษ -เดือน 6 มิถุน - เดิอน 7 กรกฏ - เดือน 8 สิงห์ -เดือน 9 กันย์ - เดือน 10 ตุลย์ - เดือน 11 พิจิก - เดือน 12 ธนู-เดือนอ้าย มังกร -เดือนยี่ กุมม์ เดือน 3 มีน -เดือน 4

ปัญหาคือปีอธิกมาส เดือน ๘ สองหน จะนับยังไง....หลักโบราณใช้โยคกับเวลาจริง ที่ไม่ใช่เวลานาฬิกา แต่ตรงนี้ยากมาก เพราะต้องอ่านดวงออกจริงๆ จึงจะรู้เวลาจริง

3.ราศีนับจากส่วนต่างๆของร่างกาย รงนี้จากตำราทั่วไป  ใช้ดูสภาพร่างกายของผู้มาดูได้ว่าราศีใดมีปัญหา  โดยการสังเกตุจากภายนอก  แต่ผมไม่ได้เป็นหมอดูใช้แบบระบบธาตุเป็นหลัก เพื่อความเข้าใจโลก
ราศีเมษ- ศีรษะ ใบหน้า ตั้งแต่หัวถึงคาง // ราศีพฤษภ - คอ ระบบทางเดินหายใจ // ราศีเมถุน-แขน มือ หัวไหล่  // ราศีกรกฏ-ทรวงอก เต้านม // ราศีสิงห์ -สีข้าง แผ่นหลัง ชายโครง หัวใจ ระบบสูบฉีดโลหิต //ราศีกันย์-ลำไส้  ช่องท้อง  กระเพาะอาหาร //ราศีตุลย์-บั้นเอว ท้องน้อย กระเพาะปัสสาวะ ไต มดลูก//ราศีพิจิก- อวัยวะเพศ เครื่องเพศ ก้นกบ สะโพก ไข่ดัน//ราศีธนู-โคนขา ,หัวไหล่ (ผมนึกเอาเอง)// ราศีมังกร โคนขาท่อนล่าง-ท่อนแขน (ผมเอง) โคนขา // ราศีกุมภ์- ขา  หน้าแข้ง  น่อง,ศอกถึงมือ (ผมเอง) //ราศีมีน - เท้า ข้อเท้า ,มือ ปลายมือ (ผมเอง)

4.ราศีเฉพาะรูปนาม  ใช้ดวงดาวภาคพื้นดิน  วิชาโหงวเฮ้งดูดาวดูราศีบนใบหน้า   วิชาดูลายมือดูดวงดาวดูราศี และลายเส้นบนมือ วิชา ฯลฯ  ข้อดีคือไม่ต้องไปสนใจดวงดาวบนฟ้า ว่าอยูตรงไหนบ้าง ไม่ต้องไปปวดหัวกับปฏิทินที่มีหลายระบบ  ที่พาให้งง เปรีบยเทีบ มีแบบใช้ปฏิทินจันทรคติ หรือเอาเฉพาะ

5.ราศีบ้านที่อยู่อาศัย  ตรงนี้ผมใช้เป็นประจำ  คือใช้เลขฐาน 12 เช็คดูว่าบ้านหลังนั้นนี้เป็นราศีใด ทำเรื่องอะไรรุ่ง เรืองอะไรติดขัด  บ้านเป็นราศีไหน ให้คิดเอาเอง คนมีพื้นฐานคิดหน่อยก็รู้แล้ว


ตำแหน่งดวงดาวมาตรฐานด้านดีในแต่ละราศี หากพระเคราะห์อยู่ตรงข้ามคือไม่ดี  คือด้อย (หลักการเข้าใจระดับพื้นฐาน )  หากเอารูปนามของท่านหมุนเข้าไปในแต่ละราศี จะไปเจออะไร จะแก้ยังไง เตรียมตัวยังไง 

ในราศีเดียวกันจะมีสรรพสัตว์เกิดขึ้นในทุกสถานที่บนโลก  งอกผุดออกมา  เฉพาะประเทศไทยปี 2560  มีคนที่เกิดในจักรราศี ทั้ง 12 ถึง70 ล้านคน เฉลี่ยก็ราศีละเกือบ 6 ล้านคน  เกิดมาคนละปีคนละศักราช คนละยุคกัน เกิด แก่ เจ็บ ตาย วนเวียน  ลองทายลงเฟสฯ ว่าเดือนนี้คนราศีนี้จะมีลาภดู  5 ล้านกว่าคนต้องมีสักคนที่ถูก


าศี ๑๒ มาจากธาตุ ๔ สามกอง คือ เบื้องต้น เบื้องกลาง เบื้องปลาย ไฟดินลมน้ำวนไปๆ
เป็นกองเวลา คือไฟกินดิน ดินกินลม ลมกินน้ำ น้ำกินไฟ ้ป็นเวลา ๑ รอบ มิติจะเล็กจะใหญ่เท่าใดก็ได้ 1 นาโนวินาทีก็ได้ 1 มหากัปป์ก็ได้  แต่ที่ใช้จริงคือรอบวัน เดือน ปี และศกของปีนกษัตริย์

เป็นกองนาม คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ว่านั่นคือรูป นั่นคือน้ำ นั่นคือลม นั่นคือไฟ

ธาตุ ๘ มาจากธาตุ ๔
  สี่คู่คือ 4 x 2 ตามรูป สังเกตุพระเคราะห์ที่อยู่ตรงกันจะเป็นธาตุเดียวกัน แต่คนละเพศ

ธาตุ ๔ ธาตุ ๘ ธาตุ ๑๖ ความหมายที่แท้จริงเป็นเช่นไร  เป็นเรื่องมหัศจรรย์

การหมุนของคน เดินไป นั่งรถไป ไปที่ทำงาน ไปห้าง กลับมาบ้าน ฯลฯวันหนึ่งเป็นวงกลม  1 รอบ 24 ชั่วโมงก็อยู่แค่ในราศีเดียวของโลกคือราศีเดือน  แต่ครบ 12 ราศีวัน ราศีของการดำเนินวิถีชีวิต     การกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด หากมีสติปัญญาพอก็ทำไป  ไม่ต้องสนใจเรื่องดวงให้มากนัก  แต่หากท่านเจอหมอดูที่รู้จริงเชื่อถือได้   ถือว่าเป็นการเพิ่มความระวังอีกขั้นหนึ่ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหากต้องไปเผชิญหน้ากับคู่กรณีที่อาจมีระดับ สูงเด่น หรือเหนือกว่าเราเป็นต้น

กลับไป ทฤษฎีส้นตีนตอนที่ 1

พระเสาร์

sonteen theory 10 
พระเสาร์เทพเจ้าแห่งความมั่นคง ไม่ผันแปร เปลี่ยนแปลงยาก สันโดษ สมถ นิ่งดุจเสือแม้จะเจ็บหนัก
ทฤษฎีส้นตีน เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นมาเล่นๆตามความคิดเห็นส่วนตัว  เหมาะสำหรับคนบ้าเท่านั้น  คนดีๆไม่ควรอ่าน  หากอ่านไปแล้วรู้สึกขัดใจ ก็ไม่ควรคอมเม้นท์ใดๆจะได้ไม่ผิดใจกันครับ

พระอิศวรชุบมาจากเสือ 10 ตัว จึงมีกำลัง 10 เสร็จแล้วออกจากภูมิกลางวนรอบเขาพระสุเมร 1 รอบเพราะเป็นบาปเคราะห์ แล้วไปประจำอยู่ทิศหรดี หรือทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทิศหรดีมาจากไนฤดีแปลว่าย่อยละลาย  ในวิชาเลขโสฬส กล่าวว่าเกิดจากธาตุลมกรด ๓ บวก ธาตุไฟในเบ้า ๗  ได้เท่ากับ ๑๐ 




พระเสาร์มีชื่อเสียงด้านมหาอุจจ์   การอยู่ยงคงกระพัน  การปลุกเสกเครื่องรางของขลังมักจะใช้  วันเสาร์ ๕ จะจริงหรือเท็จไม่รู้   เสาร์ห้่าคือวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำเดือน ๕  เป็นวันที่เพระเสาร์จะแข็งแกร่งที่สุด  คือให้พระเสาร์เป็นกรอบ เป็นกำแพงล้อมรอบ  หากพระเสาร์มั่นคงแข็งแรงแล้ว  ยากที่ศัตรูจะเข้ามาทำอันตรายใดๆได้   ดุจมีกำแพงเพชร ๗ ชั้นเป็นเกราะกำบัง ศาสตรอาวุธใดๆ ทำอันตรายมิได้

หมอดูทั่วไปมักกลัวพระเสาร์ทับลัคน์ ผู้มาให้ตรวจดูชะตา ท่านว่ามักจะมีเคราะห์กรรมหนัก และอีกอย่างคือช่วงพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก  ท่านว่าจะมีเรื่องซวยทุกราย ชีวิตจะมีปัญหา   ที่ท่านแต่งเป็นไว้เป็นเพลงก็มีหลายเพลง   ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ทั้งทีหลักทักษาพระศุกร์เป็นศรีของพระเสาร์  แต่เป็นศัตรูกันทางธาตุ น้ำกินไฟ ศุกร์ก็เป็นน้ำเย็นจากนอกเข้าใน  เสาร์เป็นไฟจากในออกนอก  จากทิศตะวันตกเฉียงใต้ออกไปปะทะกันเป็นฝนฟ้าคะนอง

มิติดวงดาวเป็นดาวดวงใหญ่ อยู่รอบนอกของสุริยจักรวาล มองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น ศุกร์ก็เป็นน้ำเย็นจากนอกเข้าใน  เสาร์เป็นไฟจากในออกนอก  จากทิศตะวันตกเฉียงใต้ออกไปปะทะกันเป็นฝนฟ้าคะนอง


โหราศาสตร์ ถือเป็นธาตุไฟตัวเมีย ไฟสุมขอน รับไฟจากพระอาทิตย์ จากการไฟฟ้า  จากแผงโซลาร์เซล สะสมไว้และคายความร้อนออกมา จ่ายกระแสไฟออกมาแนวนี้   

ในวิชาการทำนาย ดวงดาวอยู่วงนอกสุดถือเป็นกรอบ เป็นรั้ว เป็นชั้นผิวหนังของร่างกาย พระเสาร์ให้คุณทำให้มีผิวพรรณดี  พระเสาร์เสียเหี่ยวย่นง่าย แพ้เชื้อโรคภายนอกได้ง่าย  ในเรือนชะตาหมายถึงการทำงาน พระเสาร์ดีจะมีการงานที่มั่นคง



ทักษา  
ทักษาคือการวนขวาของพระเคราะห์ทั้ง ๘ เข้าไปในจักรราศี รอบละ ๑๒ ราศี จะหมุนวันละกี่รอบก็หมุนไป  แต่หมุนตามโลกก็ได้วันละหนึ่งรอบหรือ ๘ ยามอัฐกาลคูณสอง เท่ากับ ๑๖ ยาม 


พระเสาร์เป็นบริวาร ส่วนตนเป็นคนสมถ หรือสันโดษ   มีมิตรสหาย บริวารทั้งหลายเป็นประชาชนทั่วไป หลากหลายอาขีพ ทั้งผู้ใช้แรงงาน แม้ค้าตามตลาดนัด เป็นคนแข็งแรง หนักแน่น  ไม่ชอบเปลี่ยนแปลง  

พระเสาร์เป็นอายุของพระพุธ ต้องนับ ๑ หรือสิ่งที่ต้องกินก่อน  ตามหลักกาลธาตุ ไฟกินดินๆกินลมๆกินน้ำๆกินไฟ  คือการคิดอีกครั้งให้รอบคอบ วางกรอบขอบเขตุให้ชัดเจน แยกตัวเองมาพิจรณาคนเดียว หรือคนที่ไว้ใจได้จริงๆเท่านั้น  จะใช้แรงงานเท่าไหร่  ทุนเท่าไหร่


เป็นเดชของพระอังคาร อังคารธาตุลม  เสาร์ธาตุไฟทรหด เติมไฟให้ลมแรง ส่งเสริมกันดี สู้ได้จะกี่ครั้งก็เถอะสู้ได้ยาว   เป็นนักมวยก็ชกไม่มีหมดแรง เป็นงานอื่นก็สู้ไม่ถอย ล้มแล้วลุก 


เป็นศรีของพระจันทร์ธาตุดินเก่า ผู้มีจริตมายา ผู้ประสานงาน ผู้ติดต่อ ได้รับการอุ่นกระตุ้นให้ตื่นตัวแอคทืฟอยู่เสมอ   ทำให้มีความรอบคอบมั่นคงตามคุณลักษณะพระเสาร์  แม้จะมีอุปสรรค โดนเล่เหลี่ยม โดนแกล้งก็ไม่ล้มไม่ท้อ  ทำให้พระจันทร์ได้พบกับประชาชนทั่วไปมากมาย หลายชั้น      ติดต่อไปได้ทั่วสารทิศครอบคลุม 

เป็นมูลขอประอาทิตย์ มูลคือธาตุคู่ ธาตุเดียวกัน แลกเปลี่ยนพลังงานสสารกัน   เป็นเพศตรงข้าม  เป็นที่อาศัย เพื่อไปต่อ เพื่อให้ครบวงจร ความร้อนความอบอุ่นน พลังงาน ไปฝากไว้ที่พระเสาร์ ใช้ในยามฉุกเฉิน  เมื่อพระอาทิตย์ไม่อยู่  หรือมีภารกิจสถานที่อื่น

อุตสาหะของพระศุกร   อุตสาหะ คือต้องเพียรกระทำสม่ำเสมอ   คงเป็นความลำบากน่าดู  เพราะพระศุกร์บ้าของใหม่ หลงชอบยินดี  โน่นนี่มากมาย  แล้วไม่ให้เลิกราไม่ให้ลืมเลือนเลิกรา   เข้าตำรา รักไม่ให้เบื่อหน่ายไม่ให้ลืม    น่าจะเป็นโทษทุกข์ตรงนี้  ตำนานพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก

เป็นมนตรีของพระราหู พ่อค้า ผู้เล่นแร่แปรธาตุ แปลงสาร แปลงธาตุ ผูกบ่วง (กฏระเบียบ)  มนตรีคือผู้ใหญ่ ผู้เลี่ยงดู ผูดูแล ผู้ให้การสนับสนุน อุดหนุน  ทั้งช่วยซื้อของ ติดตามผลงาน  ผู้มาชมการแสดง

เป็นกาลกิณีของพระพฤหัสบ่ดี  กาลกิณีคือสิ่งที่คนทั่วไปถูกบอกมาให้ดูน่ากลัว  ซึ่งก็น่ากลัวจริงถ้าไม่รู้วิธีปฏิบัติ ในชีวิตปกติก็ไม่ควรให้ตัวเองอยู่ในภาวกาลกิณี  เว้นแต่ตอนเสร็จภาระกิจ

กาลกิณีของพระพฤหัสบ่ดี ของครูอาจารย์ ถึงท่านฤาษี อยู่ดีๆก็เครียด ก็คิดมาก ก็เก็บสะสมกักตุน  แบบนี้ไม่ได้ผิดหลักฤาษี  เริ่มถึงก็จบตายเลย เป็นครูเป็นอาจารย์  จะเครียดทำเป้นจริงจังเลยไม่ได้ ดุเลยไม่ได้  เอาไว้ทีหลัง สอนก่อน  ใช้มนตรีให้ครบก่อนแล้วค่อยทำ มนตรีคือพระพุธ คือคิดให้ดีๆ สอบถามผู้รู้ดี เอาตามหลักวิชา เอาจากเหตุการณ์จริง แล้วจึงให้จบที่พระเสาร์



Back to  ทฤษฎีส้นตีนตอนที่ 1

พระศุกร์

sonteen  theory 9   
พระศุกร์เทพเจ้าแห่งความรักความลุ่มหลง ความสวยงาม  เป็นครูของฝ่ายอสูรเทวดา เป็นผู้ปรุงแต่งสังขารที่มีกำลังแรงที่สุด
 

ทฤษฎีส้นตีน เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นมาเล่นๆตามความคิดเห็นส่วนตัว  เหมาะสำหรับคนบ้าเท่านั้น  คนดีๆไม่ควรอ่าน  หากอ่านไปแล้วรู้สึกขัดใจ ก็ไม่ควรคอมเม้นท์ใดๆจะได้ไม่ผิดใจกันครับ

พระอิศวรชุบพระศุกร์มาจากคนธรรพ์/วิทยาธร ๒๑ ตน โหราศาสตร์อินเดียบอกว่า เนรมิตมาจากคาวี (วัว)  เสร็จสรรพแล้วออกจากภูมิกลางวนรอบเขาพระสุเมรุ 2 รอบ จึงมีกำลัง 21 ออกมาประจำอยู่ทางทิศอุดร ทรงอาภรณ์สีน้ำเงินหรือสีฟ้าอ่อน เลขโสฬสเกิดจากธาตุน้ำทะเล ๔ บวกลมพายุ ๘ เติมกำลังนพเก้า ๙ ได้กำลัง ๒๑


คนธรรพ์เป็นชาวสวรรค์พวกหนึ่งที่มีอารมย์เพลิดเพลินกับความสุนทรีย์ ชอบดนตรี ระบำรำฟ้อน ความสวยงาม วิทยาธรก็ชอบคล้ายๆคนธรรพ์  แต่มีความเก่งกล้าสามารถ มีวิชามาก สามารภพัตนาตนเองไปถึงระดับนักสิทธ์วิทยาธร..พระอิศวรนำมาบทรวมกันเพื่อให้พระศุกร์เสวยอารมย์แนวนี้

มิติดวงดาว   พระศุกร์เป็นดวงดาวที่มองเห็นด้วยตาเปล่าและสว่างที่สุด  ถือเป็นดวงดาวพลังงานขาเข้า   ตย. เมื่อความกดอากาศสูงมีกำลังแรงมากกว่าความกดอากาศต่ำ อากาศหนาวหรือแห้งจะถูกเอาเข้ามา ท้องฟ้าจะเห็นเป็นสีฟ้าเพราะฝุ่นละอองจะถูกกดลงมาอยู่ที่บรรยากาศชั้นผิวพื้นพ้นจากแสงอาทิตย์   ด้านหลังสีน้ำเงินจะเป็นโทนสีม่วง หรือบานเย็น และอากาศหนาว บูรพาจารย์จึงให้พระศุกร์เป็นครูของเทวอสูรๆ จะแต่งตัวดี มิดชิด เพราะอยู่ด้านอากาศเย็น หรืออาจถึงหนาวเหน็บ อสูรก็ไม่ได้แปลว่าชั่วร้ายอะไร เป็นธรรมดาโลก ด้านการปรุงแต่งโลกธาตุ  เติมแต่งแต้มสีสรร  คนที่อยู่ทางด้านอสูร จะเยอะกว่าด้านเทวดาเสมอ

มิติโหราศาสตร์  เป็นพระเคราะห์ธาตุน้ำตัวเมีย หรือหยิน คือน้ำขาเข้า  เมื่อได้สำผัสแล้ว  ติดใจเกิดเป็นอารมย์ที่ชอบ อยากได้อีก   เสพติดอารมย์อันสุนทรีย์ เพลิดเพลินในความสวยงาม ความหลงใหลของใหม่ๆทั้งหลาย  จึงต้องแสวงหาสิ่งที่ชอบมาตอบสนองอารมย์นั้นๆ   อารมย์พลังงานฝังลึกระดับปรมณูคือเทวดาเสวยอารมย์

ภาพคนธรรพ์บรรเลง ภาพจากจิตรกรรมชาวภาษาตากใบ โดย จิตรกร ศักยภาพ วงษ์จินดา 

หลักทักษา  ทักษาคือการหมุนวนขวา (รอบเล็กรอบใหญ่ รอบวัน รอบเดือน รอบปีฯรอบวัตถุ รอบเขาพระสุเมรุ) ตามวันเกิด   ตามลักษณะบริวารหรือลักษณะนรลักษณ์ นรลักษณ์คือคุณสมบัติของบุคคลระดับชั้นเทวธาตุเสวยอารมย์ อันเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้เพราะไม่ใช่ความคิด  แต่เป็นเครื่องหุ่มห่อระดับลึกถึงจิตวิญญาน

พระศุกร์เป็นบริวาร    เกิดวันศุกร์หรือมีลักษณะนรลักษณ์พระศุกร์ บริวารใกล้ชิดและตนเองมักเป็นกลุ่มคนที่เน้นความสวยงาม  ดูดี  หรือต้องมีอะไรใหม่แม้มีของเก่าๆ ก็จะเอามาทำให้ดูใหม่  ดูสวยงาม  สร้างวัดก็เน้นความสวยงามอลังการณ์   คิดใหม่ทำใหม่  ทำให้ดูดีตั้งแต่ระดับแต่งองค์ทรงเครื่อง ไปถึงเรื่องอื่นๆ

เป็นอายุ  ของพระราหู เป็นวัตรปฏิบัติของพ่อค้า ผู้คุมกฏ ผู้สร้างบ่วง ผู้ขายสินค้า ผู้ขยายกิจการ ที่ต้องหาอะไรใหม่ๆ นำเข้ามาใหม่ ปรับปรุงใหม่  เพื่อออกมาเสนอขาย หรือออกโปรโมชั่นใหม่ หรือนำของเดิมๆที่มีอยู่มาทำให้ดูดี  ทำเป็นไมเนอร์เช้นท์ ปรับเปลี่ยนนิ๊ดๆ เป็นต้น ทักษาอายุคือสิ่งที่ต้องคิดก่อนทำก่อน 

เป็นเดชของพระพฤหัสฯ เดชคือทำแล้วมีฤทธิ์  มีพลังแห่งความสำเร็จ   ครูอาจารย์ผูชอบอยู่อย่างสงบ  ออกแนวโบราณ จะสอนจะแนะแนว  จะชี้ทางผู้คน  วิธีการนำเสนอ การสอนการโน้มน้าว หากใช้เครื่องมือทันสมัยไฮเทค  ใช้ศิลปดนตรี รูปภาพประกอบย่อมได้ผลลัพท์ดีกว่า เอาแต่เนื้อหาที่ขาดศิลป


เป็นศรีของพระเสาร์ ผู้เก่าแก่ ศรีคือความสุขความเป็นมงคล จะมีความสุขความเจริญ  เมื่อเอาเรื่องเก่าแก่ ของเก่าแก่ เช่นพระเครื่องเก่าแก่ นำมาขัดเกลา   มาเคลือบทับให้ดูดีก็มีราคา   มีค่าในประวัติความเป็นมา พระเสาร์เป็นเปลือก เป็นรั้ว เป็นกรอบ เป็นกำแพงควรทำให้สวยงามดูดี  ทำให้เป็นมหาอุจจ์

เป็นมูลของพระพุธ มูลคือสถานที่ คือที่มาที่ไป เป็นที่พักที่เกิดที่อยู่   เป็นยานพาหนะ เป็นพาหะของความคิดหรือทูตพระเจ้า  มาใส่เป็นกราฟิกสวยๆ มาผ่านแอ๊ปผ่านเกมส์ ผ่านโซเชียล ก็สามารถเข้าใจได้ง่าย หรือกระจายข่าวสารได้รวดเร็ว  การทำมาหาเงินก็ง่ายดาย



เป็นอุตสาหของพระอังคาร อุตสาหคือทำให้มากให้เป็นประจำ มีความเพียรให้มาก  พระศุกรคือความสุนทรีย์ สวยงาม อ่อนช้อย คือสิ่งที่พระอังคารจอมพลังต้องทำให้มากจะได้ไม่แข็งกระด้าง ดูดีมีเสน่ห์เช่น แข็งแรง รูปร่างดี หุ่นดี มีซิกแพ็ค

เป็นมนตรีของพระจันทร์    มนตรีคือที่พึ่งพิง  ที่นิยมขมชอบนับถือ  พระศุกร์สวยงาม สุนทรีย์  ทันสมัย ย่อมส่งเสริมมายาจริต ให้กับพระจันทร์ สนับสนุนให้การติดต่อประสานงานได้ราบรื่นยิ่งขึ้น  เป็นความสุขความอบอุ่นใจของผู้นิสสัยในแนวพระจันทร์ด้วยอย่างยิ่ง

เป็นกาลกิณีของพระอาทิตย์  คนเกิดวันอาทิตย์ หรือระดับเจ้าใหญ่นายโต  ผู้มีเกียรติ์ยศจะกระทำการใดก็แล้วแต่   ตอนจบขั้นตอนสุดท้าย   ต้องให้ดูสวยงาม น่าอภิรมย์แม่แต่งานศพ พระอาทิตย์ผู้มีเกียรติ์ ถือเกียรติยศเป็นเรื่องใหญ่ 


พระอาทิตย์  เส้นทางชีวิตห้ามนับ 1 ที่ความสวยงาม ทันสมัยหรือตบแต่งให้เรียบร้อย เพราะเป็นการวนซ้าย นับหนึ่งที่ตัวจบ จะเสื่อมเสียเกียรติ์   ต้องนับหนึ่งที่พระจันทร์   มีคอนเน็คชั่น เป็นผู้ต่อ  ติดต่อโลกภายนอกฯ มีจริต ยิ้มแย้มแจ่มใสฯ วนไปๆ สุดท้ายที่พระศุกร

กลับไป  ทฤษฏีส้นตีน ๑

ยาม 3 ตา

การจับยาม ๓ ตานี้มีให้เรื่องทายค่อนข้างจำเพราะเจาะจง ไม่เหมือนเรื่องยามอัฐกาล ทีจะใช้งานอีกรูปแบบหนึ่ง  เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นเมื่อก่อนแถว ตจว.ผมเจอประจำ ส่วนมากจะถามเรื่องของหาย เรื่องนี้ลอกมาเก็บไว้เพราะผมเองก็ไม่ได้ใช้  และก็ยังไม่ได้ศึกษา

การดูดวงจับยามสามตาในเบื้องต้นจะดูในเรื่องดังต่อไป

1. ดูของหาย ว่าของที่เราทำหายไปนั้นมีโอกาสจะได้คืนกลับมาหรือไม่ -
2. ดูคนหาย คนที่เรากำลังตามหาอยู่ในแห่งหนตำบลใด
3. ดูขโมยว่าเป็นใครมาจากทางไหน และดูได้อีกด้วยว่าคนที่เป็นขโมยนั้น เป็นเพศชายหรือเพศหญิง -
4. ดูว่าจะมีคนมาหา แล้วคนมาดีหรือมาร้าย  มาด้วยวัตถุประสงค์อันใด
5. ดูคนที่กำลังป่วยว่าจะหายดีหรือว่าไม่หาย
6. ดูก่อนการออกรบว่าจะได้รับชัยชนะกลับมาไหม
7. ดูเรื่องการเดินทาง ว่าจะเรียบร้อยมีปญหาประการใด

  การจับยามสามตา ของอีสานเพื่อดูของหายทำได้ง่ายๆดังนี้  พิจารณาจากรูปสามเหลี่ยมข้างล่าง จะเห็นว่า      ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน  แต่ละส่วนถูกกำกับด้วยเลข ๑   ๒   ๓  โดยเลขแต่ละตัวมีความหมายดังนี้



ให้ดูว่า ในวันที่มีคนมาถามเรื่องของหาย เป็นวัน  ขึ้น หรือ  แรม  และกี่ค่ำ  จำไว้

การดูของหายวันข้างขึ้น
จากรูปสามเหลี่ยมข้างบน ให้เริ่มนับหนึ่งค่ำที่ตรงเลข  ๑   นับสองค่ำที่ตรงเลข  ๒  นับสามค่ำที่ตรงเลข  ๓   นับสี่ค่ำที่ตรงเลข  ๑   นับวนไป วนมา ดังนี้  ๑- ๒ - ๓ - ๑ - ๒ ....จนกว่าจะนับได้เท่ากับจำนวนค่ำตามข้อที่ 1 แล้วดูว่าตกที่เลขอะไร  แล้วให้ดูความหมายตามตารางข้างบน

การดูของหายวันข้างแรม
จากรูปสามเหลี่ยมข้างบน ให้เริ่มนับหนึ่งค่ำที่ตรงเลข  ๒   นับสองค่ำที่ตรงเลข  ๓  นับสามค่ำที่ตรงเลข  ๑   นับสี่ค่ำที่ตรงเลข  ๒   นับวนไปๆ ดังนี้   ๒ - ๓- ๑ - ๒--๓..จนกว่าจะนับได้เท่ากับจำนวนค่ำตามข้อที่  1 แล้วดูว่าตกที่เลขอะไร  แล้วให้ดูความหมายตามตารางข้างบน

ตัวอย่างการดูของหาย ข้างขึ้น
นาย ก มาถามเรื่อง ควายที่หายไป  ว่าจะได้คืนหรือไม่ ตอนที่มาถามนั้น ตรงกับวัน ขึ้น 10 ค่ำ  ดังนั้นเราจะจับยามสามตาแบบ ข้างขึ้น โดยจากรูปข้างบน เราจะ เริ่มนับหนึ่งค่ำ ตรงเลข ๑  นับสองค่ำ ตรงเลข ๒ นับสามค่ำ ตรงเลข ๓ นับไปเรื่อยๆ จนถึง 10 ค่ำ ดังนี้   1-2-3 ห้าค่ำ 1-2-3   เก้าค่ำ สิบค่ำ ๑  สุดท้ายตกตรงเลข ๑ กาจับหลัก ทายว่า ของที่หายนั้นอยู่กับที่ยังไม่ไปไหน ให้หาในบริเวณที่คาดว่าของนั้นหายแล้วจะพบ

ตัวอย่างการดูของหาย ข้างแรม
นาย ข มาถามเรื่อง สร้องทองคำที่หายไป ว่าจะได้คืนหรือไม่ ตอนที่มาถามนั้น ตรงกับวัน แรม 5 ค่ำ  ดังนั้นเราจะจับยามสามตาแบบ ข้างแรม โดยจากรูปข้างบน เราจะ เริ่มนับหนึ่งค่ำ ตรงเลข ๒  นับสองค่ำ ตรงเลข ๓ นับสามค่ำ ตรงเลข ๑ นับไปเรื่อยๆ จนถึง ห้าค่ำ ดังนี้  

  ยามสามตาอีกตำราหนึ่ง

จากภาพข้างบน เลข๑ คืออาทิตย์  เลข ๒ จันทร์ เลข ๓ อังคาร

เมื่อจะดูยามสามตานี้ ถ้าเดือนข้างขึ้น ให้นับแต่อาทิตย์มาหาจันทร์ ถ้าเดือนข้างแรม ให้นับแต่จันทร์มาหาอังคาร เมื่อได้เศษเท่าใดแล้ว ให้ทายตามเศษนั้น ๆ ดังนี้

ถ้าดูของหาย
ถ้าเศษ ๑ คนในเรือนเอาไปซ่อนไว้ ให้หาจงดี ถ้าเศษ ๒ คนมาสำนักอาศัย ลักไปซ่อนไว้หนบูรพา แลทักษิณ จะมีพี้น้องเอามาคืนให้ ถ้าเศษ ๓ ของนั้นอยู่ทิศประจิม และพายัพ จะได้คืนแล

ถ้าเขาถามว่า ผู้ลักไปนั้นหญิงหรือชาย 
ถ้าเศษ ๑ ว่าผู้หญิงเรือนเดียวกัน ลักไปซ่อนไว้ แทบฝั่งน้ำ และประตูใหญ่ ถ้าเศษ ๒ ทายว่า ผู้ชายบัณฑิตลักไปไว้แทบประตู เศษ ๓ ผู้ใหญ่ต่างเรือนลักไป แล

ถ้าดูตาย
ถ้าเศษ ๑ ว่ามิตาย มีผู้เลี้ยงรักษา ถ้าเศษ ๒ มิเป็นไร มีผู้จะเลี้ยงรักษา แต่ว่าจะได้ลำบาก ถ้าเศษ ๓ ว่าตายจริง แล
ถ้าถามว่าศึกจะมาหรือไม่  ถ้าเศษ ๑ ว่ามิมา ถ้าเศษ ๒ มาถึงครึ่งทาง ถ้าเศษ ๓ จะมาถึงพลัน แล

ถ้าถามว่าผู้ใดจะมา  ถ้าเศษ ๑ ตัวพระยามาเอง ถ้าเศษ ๒ มาแต่เสนาผู้ใหญ่ มากึ่งหนทางแล้วกลับไป ถ้าเศษ ๓ มาแต่นายทหารผู้ใหญ่ แล

ถ้าถามว่ามาถึงวันใด
ถ้าเศษ ๑ มาถึงวันนี้ ถ้าเศษ ๔,๕,๖,๗ ไม่มา ถ้าเศษ ๒ จะมาถึงใน ๑-๒ วัน ถ้าเศษ ๓ มามิมาเท่ากัน แล

ถ้าถามว่าแพ้หรือชนะ
ถ้าเศษ ๑ หนีเรา ถ้าเศษ ๒ แรงเท่ากับ ถ้าเศษ ๓ เขามาแรงกว่าเรา ตั้งทัพอยู่ทิศพายัพ สองวันจึงจะชนะ แล

ถ้าถามว่าไปทัพ จะได้รบหรือไม่ได้รบ
ถ้าเศษ ๑ มิได้รบ ถ้าเศษ ๒ ได้รบสักหน่อยหนึ่ง ถ้าเศษ ๓ ตั้งทัพรบ แล
ถ้าถามว่าจะได้หรือไม่ได้  ถ้าเศษ ๑ ว่าจะได้ต้นทาง จะเอาได้หลาย ถ้าเศษ ๒ ว่ามิได้ ถ้าเศษ ๓ จะได้ภายนอกเมือง แล
ถ้าถามว่าจะได้เชลยหรือมิได้
ถ้าเศษ ๑ ว่าจะได้ ถ้าเศษ ๒ ได้แต่มนตรี และนางเทวี ถ้าเศษ ๓ จะได้ขุนนางผู้ใหญ่ แล
ถ้าถามว่ามีที่ไปจะมาช้าหรือมาเร็ว
ถ้าเศษ ๑ ว่ายังมิมา ถ้าเศษ ๒ เพิ่งจะมา ถ้าเศษ ๓ มาถึงในเดี๋ยวนี้ ถ้าวันนี้ไม่มาอีก ๓ วันหรือ ๗ วัน จะมา แล
ถ้าถามว่าจะไปบกหรือไปเรือดี
ถ้าเศษ ๑ ไปบกดี ถ้าเศษ ๒ ไปเรือแต่พอคุ้มตัว ถ้าเศษ ๓ ไปบกมีลาภสองประการ แต่ไม่มีลาภต่อหน้า แล
ถ้าถามว่าไปรบโจรจะแพ้หรือชนะ
ถ้าเศษ ๑ ว่าเราชนะ ถ้าเศษ ๒ แรงเท่ากัน ถ้าเศษ ๓ โจรแรงกว่าเรา แล


ลิงค์บทกลอนยาม ๓ ตาจาก   ชมรมอาศรมเจษฎาจารย์