คำทำนายให้อพยพจากกทม.

คัดจาก เฟสบุ๊ค รวมคำทำนาย ภัยพิบัติล้างโลก 2012
ปี พศ.2555 นี้ ธรรมชาติจัดหนักแน่นอน กรุงเทพล่มสลาย !!!
(จาก Aunyasit สมาชิกเว็บพลังจิต)



คำทำนายให้อพยพออกจาก กทม.

ปี พศ. 2555 นี้ ธรรมชาติจัดหนัก แน่นอนครับ  อีกประมาณ3เดือน

(เดือนนี้ กพ.พศ.2555) น้ำมหาศาลจะมาจากทางทะเล ปั่นป่วนไปหมดทั้งโลก สาเหตุมาจากลาวาร้อนใต้ผืนโลกที่กำลังแทรกแผ่นดินขึ้นมาจากมหาสมุทร พิกัดอยู่ระหว่าง ญี่ปู่น ไต้หวัน และ ฟิลิปปินส์ เมื่อความร้อนจัดจากลาวากับความเย็นจัดจากน้ำใต้ทะเลปะทะกัน ประกอบกับแรงดันสูงจากลาวาใต้โลกปริมาณมหาศาลดันทะลุเปลือกโลกขึ้นมา แรงดันจากใต้โลกจะยกยกผืนน้ำให้สูงขึ้นจากระดับปกติเป็นร้อยเมตร ขณะที่โลกก็หมุนไป ก็จะก่อตัวเป็นพายุใหญ่ยักษ์หอบเอาน้ำและโคลน เมื่อพายุน้ำหมุนผ่านที่ไหนก็จะกวาดพื้นที่นั้นไปกับน้ำด้วย เส้นทางของมหันตภัยที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านบอกเตือนไว้คือผ่านไต้หวัน เวียดนาม เขมร ลาว ไทย ศรีลังกา อินเดีย ฯลฯ ไปรอบโลก และประเทศที่พายุนี้ผ่านจะราบคาบครับ ท่านบอกว่าขนาดมหึมาของพายุจะคลุมพื้นที่ระหว่างใต้หวันกับฟิลิปปินส์เต็มพื้นที่

เมื่อพายุน้ำหมุนนี้ผ่านไทย กทม.จะจมทันทีครึ่งนึงพร้อมๆกับจังหวัดชายทะเลหลายจังหวัด ในส่วนของ กทม ที่จะจมทันทีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านให้เอาแนวทางรถไฟเป็นเส้นแบ่ง หลังจากนั้น กทม.จำค่อยๆจมลงอีก(เข้าใจว่าแผ่นดินทรุดต่ำลง ประกอบกับระดับน้ำสูงขึ้นอันเนื่องมาจากคลื่นสูงหลายสิบเมตรซัดชายฝั่ง)

ทั้งพายุใหญ่ คลื่นใหญ่ แผ่นดินไหว แผ่นดินแยก ถึงเวลานั้นน้ำที่มาจากเขื่อนนั้นจิ๊บๆไปเลยครับ

หลังจากนั้นแรงสั่นสะเทือนทั้งหลายแหล่จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดหนัก แล้วเกิดแผ่นดินแยก เขื่อนแตก น้ำเขื่อนก็จะไหลลงมาซ้ำเติม ท่วมหนักไปอีก


ทางแก้มีทางเดียวคือ หนีไปอยู่ในที่ปลอดภัย  ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป

ผมน่ะเชื่อเกินร้อยครับ เมื่อมีสัญญาณมา ผมจะหนีก่อนเป็นคนแรกๆเพราะไม่อยากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ในวันเกิดเหตุท่านบอกว่าจะมีปรากฏการณ์ทางท้องฟ้าในตอนบ่ายของวันนึง ท่านให้ผมพาญาติพี่น้องและญาติธรรม ออกจาก กทม. ทันที เพราะหลังจากนั้นจะเกิดโกลาหล เดินทางออกจาก กทม. ได้ยาก ประกอบกับฝนจะตกอย่างหนัก ลมแรง น้ำท่วมฉับพลัน


ที่จริงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านเตือนผมมาอย่างต่อเนื่องเกือบสองเดือนแล้ว  และผมก็เตรียมการมาระยะนึงแล้ว เคยถามท่านว่ากาลเวลาที่จะเกิดเหตุจะมีการเปลี่ยแปลงไม๊ ท่านบอกว่าสัจจธรรมเปลี่ยนไม่ได้ ก็ต้องเตรียมการแข่งกับเวลาครับ

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านบอกผมว่า "ผู้ที่รู้แล้วไม่เตรียมการ เป็นผู้ที่ประมาทยิ่งกว่าผู้ที่ไม่รู้อะไรเลย"

อย่างน้อยๆก็เตรียมปัจจัยสี่ไว้ในสถานที่ปลอดภัย เพื่อความไม่ประมาทครับ ของผมจะเตรียมทุกอย่างพร้อมภายในเดือนมี.ค. นี้ และจะมีเวลาส่วนที่เหลือเพียงน้อยนิดเตรียมอย่างอื่นๆ ต่อไป

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมาเตือนผมเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 54 ท่านบอกว่านับจากวันนั้นมาไม่เกิน 5 เดือนภัยพิบัติก็จะมาถึง กทม. ตอนนี้เวลาผ่านไปแล้วเกือบ 2 เดือน ก็เหลือเวลาอีกประมาณ 3 เดือนครับ

จากนั้นท่านมาเตือนบ่อยขึ้นเกือบทุกสัปดาห์ หลายพระองค์ก็วนเวียนกันมาเตือน  ให้เก็บของเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอพยพไปอีสาน ดูแล้วเวลาแต่ละวันนับจากวันที่ท่านมาเตือนมีค่ามากๆ ที่จริงวันนึงก็ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง ถ้าหากคิดแล้วทำเลย และรู้สึกว่าเวลาแต่ละวันผ่านไปเร็วมาก ครับ

หลังจากเกิดภัยจากน้ำแล้ว ภัยอื่นๆก็จะตามมาอีก เป็นระลอกๆ ภัยจากคนมีแน่นอน เมื่อข้าวยากหมากแพง ขาดอาหาร คนก็จะแย่งชิง เข่นฆ่ากัน ส่วนใหญ่คนเหล่านั้นเขามีกรรมติดตามมาทันก็ต้องชดใช้กัน ถึงตอนนั้นเมืองใหญ่ไม่น่าอยู่แล้วเพราะระบบการปกครอง การบริหารจะล่มสลายไปด้วย จะเป็นกลียุคโดยสมบูรณ์อยู่ระยะนึง

ดังนั้นการที่เราจะไปอยู่ที่ไหนนั้นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเอาไว้ด้วย ที่ผมเตรียมนั้นก็เหมือนสร้างชุมชนอิสระขึ้นมาชุมชนนึง มีครบทุกอย่าง เครื่องป้องกันตัวก็ต้องมีไว้ให้ครบถ้วน ไม่ต้องติดต่อกับโลกภายนอกสักครึ่งปีหรือหนึ่งปีก็สามารถอยู่กันเองได้

ส่วนคนที่เขามีบุญกุศลยังไงก็มีเหตุให้อยู่รอดปลอดภัยครับ

เชียงใหม่ มีทั้งทีึ่ปลอดภัยและไม่ปลอดภัย ที่ปลอดภัยนั้นต้องไม่อยู่ในแนวของทางน้ำหรือใกล้เคียงและควรหลีกเลี่ยงเส้นแนวแผ่นดินไหวด้วย อันนี้ต้องศึกษาลักษณะของพื้นที่ทางธรรมชาติ เพราะแถบนั้นเป็นภูเขาสูงน้ำจะไหลเร็วและแรง ประกอบกับจะมีดินถล่มด้วยครับ


น้ำท่วมครั้งที่แล้ว ผมทราบล่วงหน้า 4 เดือน แต่ท่านมาเตือนให้เก็บของขึ้นที่สูงก่อนน้ำมาถึงบ้าน 2 อาทิตย์และผมถามท่านว่าน้ำจะเข้าบ้านไม๊ ท่านบอกว่าน้ำจะไม่เข้าบ้าน แต่จะปริ่ม ผมลองวัดดูเหลืออีก 15 เซนติเมตรน้ำก็จะเข้าบ้าน จากนั้นน้ำก็ค่อยๆลดลง

เรื่องภัยพิบัติจากทะเลคราวนี้ ท่านบอกผมไว้ล่วงหน้าประมาณ 13 ปี และท่านมาเตือนให้เก็บของเตรียมอพยพล่วงหน้า 5 เดือนและก็เตือนอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้

ก็เชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างที่ท่านบอกนั่นแหละ หลังจากนั้นใครจะอยู่แบบทุกข์มาก ทุกข์น้อย ก็อยู่ที่การเตรียมการของแต่ละคน

คณะผมตุนข้าวเปลือกกับข้าวสารรวมกัน 30 ตัน น้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 15,000 ลิตร เครื่องปั่นไฟ ขนาด 5 kva 3 เครื่อง เครื่องสีข้าวด้วยมือ 5 เครื่อง เครื่องโม่แป้ง ตะเกียงน้ำมันก๊าซ 20 อัน รถมอเตอร์ไซด์ 2 คัน รถจักรยาน 3 คัน เครื่องปั๊มน้ำแรงลม 2 ชุด(ดึงน้ำจากบ่อบาดาล) บ่อน้ำชักรอก 3 บ่อ เลี้ยงปลา 5 กระชัง บึงน้ำ 4 บึง ที่ทำนา 25 ไร่ ที่ดินปลูกผัก 5 ไร่ ที่เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ รวมทั้งที่พัก(ห้องชุด) ประมาณ 20 units และที่พักรวม จำนวนหนึ่ง ตู้รถไฟ(ความยาว 16 เมตร) 3 ตู้ เอาไว้เป็นที่พักของญาติธรรม และมีวิหารขนาด 1200 ตรม. 1 หลัง ขนาด 100 ตรม. 2 หลัง ที่กันแดด กันฝนที่จะรองรับคนได้ประมาณ 500 คน เต๊นท์ประมาณ 40 หลัง รวมทั้ง เสื้อผ้ากันหนาว จอบ เสียม ขวาน สุนัข 6 ตัว แมว 5 ตัว ฯลฯ สรุปแล้ว ตุนทุกอย่างที่ขวางหน้าอันนี้เป็นของส่วนกลางที่จะใช้ร่วมกัน แต่สำหรับแต่ละคนเขาก็ซื้อของไว้เป็นของส่วนตัวอีกส่วนนึง ถ้าให้ได้ราคาถูกก็คือซื้อมามากๆแล้วก็แบ่งกัน

ที่จริงในพุทธสถานฯผมต้องการรองรับญาติธรรมที่สนิทๆ ญาติผมและของญาติของญาติธรรม รวมกันไม่เกิน 200 คน แต่เมื่อสัปดาห์ก่อน ปู่ขาวมหาราช ท่านมาบอกว่า ลูกจะมีที่พักรองรับผู้คนไม่เพียงพอ ให้สร้างเพิ่มเติม ลูกต้องเมตตาเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้มาก อันนี้ทำเอาผมกลุ้มเลย เพราะคณะผมเตรียมกันจนหมดหน้าตักแล้ว คนมามากเราจะเลี้ยงไม่ไหว

เมื่อถึงเวลาเราคงหาช่องทางในการสื่อสารบอกกันยากครับ เพราะเมื่อถึงตอนนั้นความแปรปรวนทางบรรยากาศจะทำลายระบบการสื่อสารแทบทั้งหมด โดยเฉพาะเครื่องมือสื่อสารที่ต้องใช้ไฟฟ้า ระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งระบบจะถูกทำลายโดยพลังประจุไฟฟ้าขนาดใหญ่ ที่ก่อตัวขึ้นในบรรยากาศ ฟ้าจะผ่าสนั่นหวั่นไหวตลอดเวลาโดยเฉพาะโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งหลายฟ้าจะลงหมด



แค่เสียงดังมากๆนี่จิตก็คงจะตกไปอยู่ที่ตาตุมแล้วครับ จิตที่รับสภาวะนี้ได้ดีต้องฝึกให้จิตไม่สะดุ้งสะเทือนเมื่อมีเสียงดังมากๆจึงจะไม่กระทบจากเหตุการณ์นี้ครับ

สำหรับผู้ที่จะหนีไปทางอีสานหรือทางเหนือ ก็พยายามเลี่ยงริมน้ำโขงไว้นะครับ เมื่อถึงเวลานึงมวลน้ำขนาดใหญ่จะพัดผ่านแม่น้ำโขงด้วยครับ มาทั้งน้ำทั้งโคลนสีแดงๆ อยู่ห่างแม่น้ำโขงไว้สักประมาณ 1 กม. ก็น่าจะดีครับ พุทธสถานที่ผมจะไปอยู่นั้นจะอยู่ห่างจากน้ำโขงประมาณ 1.5 กม. เมื่อน้ำโขงไหลผ่านไปแล้ว ต่อไปริมฝั่งจะมาอยู่ใกล้กับที่ผมอยู่ประมาณ 1 กม.

ผมเองน่าจะหนีจาก กทม.ไปล่วงหน้าก่อนภัยพิบัติมา สัก 1-2 สัปดาห์ ก็คงประมาณหลังสงกรานต์ไปแล้วล่ะครับ หลังสงกรานต์ก็ไม่แน่ว่าจะได้มีเวลามาโพสต์ในนี้อีกหรือไม่ เพราะต้องเตรียมพร้อมหลายๆอย่าง

ในวันเกิดเหตุในเมืองไทยจะมีสิ่งบอกเหตุคือในตอนบ่ายท้องฟ้าจะมืดมิดกลายเป็นกลางคืนจากนั้นภายในไม่กี่ ชม. น้ำก็จะเข้า กทม. ครับ

นั่นคือสัญญาณของ "ฟ้ามืด แผ่นดินเคลื่อน" ครับ

--------------------------------------------------------------------------------
สัญญาณของ "ฟ้ามืด แผ่นดินเคลื่อน"

จากเฟสบุ๊ค 21 เมย.พศ. 2555 (ฤาษีลิงกัง) พระถิร ธัมโม นำข้อมูลจาก อัญญาสิทธิ์ จากสมาชิกเวปพลังจิต


ถึงเวลานั้น ทุกคนจะสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไม่มากก็น้อย ญาติพี่น้องของพวกเราบางคนก็จะไม่รอด บางส่วนก็จะสูญหาย บางคนก็จะสูญเสียความมั่นใจ ที่จะทำอะไรต่อไปข้างหน้าเพราะอาจจะต้องเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ ก็เตรียมใจกันไว้แต่เนิ่นๆครับ เมื่อเวลามาถึง จิตเราจะได้ปล่อยว่างในสิ่งที่เราสูญเสียไปได้ฯลฯ

ที่จริงในกึ่งพุทธกาลนั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญอีกวาระนึงทางศาสนา ที่แฝงไว้ด้วยภัยธรรมชาติ ที่จะทำการแบ่งแยกบุคคลที่มีศีลธรรม และบุคคลที่ด้อยศีลธรรม ออกจากกัน วัฏจักรมันเป็นมาอย่างนี้ ทุกกาลศาสนา เป็นช่วงสุดท้ายของการสร้างบารมีในศาสนาพระสมณโคดม และเข้าสู่จุดเริ่มต้นสร้างบารมี ไปสู่ศาสนาของพระศรีอริยเมตรัย ครับ



หลังเหตุภัยพิบัติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาคงจะให้ผมอยู่ทำหน้าที่ต่อไปอีกระยะนึง โดยมีภาระงานทางศาสนาอีกหลายอย่างที่รออยู่เบื้องหน้า เช่น สร้างเจดีย์ฯ ต่อให้เสร็จ (โดยไม่มีเทคโนยี) ตอนนี้ท่านให้เร่งตอกเสาเข็มของฐานเจดีย์ ให้เสร็จไว้ก่อนภัยพิบัติ ต่อไปอาจจะต้องทำหน้าที่ ชี้แนวทางการยกระดับจิตใจให้กับผู้ที่ประสบกับการสูญเสียที่มาเกี่ยวข้อง ฯลฯ

ท่านบอกว่าเมื่อภัยพิบัติผ่านไป บุคคลที่อยู่รอดกลุ่มหนึ่ง จะมาช่วยกันสร้างเจดีย์ฯเพื่ออุทิศกุศลให้บุคคลที่ล่วงลับไปในภัยพิบัติ โดยผมเป็นผู้เริ่มต้นในการสร้างไปก่อน

วิทยาศาสตร์ ยังไม่ค่อยมีองค์ความรู้ ในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นภายใต้พื้นโลก มากนัก มีข้อจำกัดอยู่มากครับ

คราวนี้ ใครๆ เขาก็เตรียมรับน้ำจากเขื่อนและแม่น้ำ ปรากฏว่า น้ำจะมาจากคลื่นทะเล เป็นหลัก อันนี้แทบไม่มีทางป้องกันเลยครับ

ที่จริง ผู้ที่ท่านเมตตามาบอกกล่าว เรื่องภัยพิบัติ และเตือนให้เตรียมตัวมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลังๆนี่ ไม่ใช่เฉพาะ พระเกจิในประเทศไทย อย่างเช่น ปู่ทวด เท่านั้นแต่ยังมีองค์ต้นธาตุต้นธรรม(องค์อชิตะ) ซึ่งท่านเป็น แสงแห่งธรรม เป็นใหญ่อยู่ในอนันตจักรวาล(เป็นพระพุทธเจ้า ที่เป็นใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าทั้งหมด ที่มีมาจำนวนนับไม่ถ้วน) และพระพุทธเจ้าองค์ปฐมในจักรวาลนี้(พระพุทธเจ้าวิปัสสีหรือปู่ขาว มหาราช) หรือพระพุทธเจ้าสิขีทศพล ที่หลวงพ่อฤษีลิงดำ ท่านกล่าวถึง(ปู่ขาวมหาราช ท่านบอกผมอย่างนั้น) รวมทั้งพระศรีอริยเมตรัย ก็มาเตือนเรื่องภัยพิบัติบ่อย

สำหรับ องค์อชิตะ นี้เป็นคนละองค์กับพระศรีฯนะครับ ชื่อพระศรีฯ ที่มาจุติในยุคพุทธกาล ไปซ้ำกับชื่อของ องค์อชิตะ ผู้ที่สื่อสารกับท่านเหล่านี้ได้ในคณะของผมนั้น ไม่ใช่มีเฉพาะผมคนเดียว แต่ยังมีพระสงฆ์อีกรูปนึง และฆราวาสอีกคนนึง ก็สามารถรับสื่อจากองค์อชิตะได้ เช่นเดียวกัน และอาจจะมีคนอื่นๆ ที่เขาสามารถสื่อสารกับท่านเหล่านั้นได้อีก แต่อาจจะยังไม่เปิดเผยตัวก็เป็นได้

การที่จะเข้าถึง องค์อชิตะ (ผมเรียกท่านว่าปู่อชิตะ)นั้น ต้องฝึกจิตให้เข้าถึงความว่าง เลยความว่างไป ก็จะเป็นแสงครับ แสงที่สามารถสื่อสารกับจิตวิญญาณของเราได้นั้นแหละ คือ องค์อชิตะ ครับ ผมเลยไม่รู้จะเรียกแสงนั้นว่าอะไร จึงเรียกท่านว่า "แสงแห่งธรรม" อาจจะเข้าใจยาก สำหรับผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงตรงนี้ การสื่อสารกันนั้นเป็นการสื่อสารแบบจิตต่อจิตเท่านั้นครับ

ก็ถือว่าเป็นบุญของเรา ที่ท่านเหล่านั้นมาโปรด จากเหตุที่เราเคยสร้างบุญกุศลในพุทธศาสนามาในพุทธันดรอื่นๆ จนส่งผลมาถึงพุทธันดรนี้ และเหตุจากพุทธันดรนี้ก็จะส่งผลไปถึงการทำหน้าที่ต่อไป ในพุทธันดรหน้าต่อไป ก็เป็นอันว่าจะหมดหน้าที่ในกึ่งกลางศาสนาของพระศรีอริยเมตรัย จึงจะหมดหน้าที่ตามที่ปรารถนามาทำในภัทรกัปป์นี้

ที่จริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ผมกล่าวถึง ท่านบอกผมว่า ท่านก็ต้องการสื่อสารกับนักปฏิบัติทั้งหลาย แต่มีข้อจำกัดในเรื่องของบารมีรองรับ และหน้าที่ที่คนส่วนใหญ่ ไม่ได้สร้างบารมีมารองรับ และไม่มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกัน จึงไม่สามารถรองรับญาณบารมีของท่านเหล่านั้นได้ หรือแม้แต่ผู้ที่มีบารมีรองรับเพียงพอ แต่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกัน ท่านก็จะไม่สื่อสารด้วย

ดังนั้น การที่ท่านเหล่านั้นเมตตามาบอกกล่าวเรื่องของภัยพิบัติ ซึ่งสิ่งที่ท่านบอกกล่าวมานั้น ก็ย่อมเป็นสัจจะธรรมเช่นกัน จึงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผมเองก็รอพิสูจน์สัจจะธรรมอันนี้อยู่เช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องของภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้

อ่าวไทย และจังหวัดที่เสี่ยงที่จะโดนมหาสึนามิถล่ม !!!

คลื่นน้ำสูงมากๆ จะเคลื่อนจากฝั่งอ่าวไทย ข้ามไปทะเลอันดามัน มาพร้อมๆ กันทั้งพายุหมุนและคลื่นขนาดมหึมา ลูกแล้วลูกเล่าครับ ซัดเข้ามาตรงแนวที่เคยคิดกันว่าจะขุดคอคอดกระ แล้วด้ามขวานไทยจะขาดสองท่อน รวมทั้งจะมีคลื่นสูงมากๆขนาดภูเขา ผมประมาณว่า คลื่นขนาดเท่าเกาะภูเก็ต มั้งครับ น้ำและโคลนจากคลื่นยักษ์นั้นคงจะกวาดเอาพื้นที่ข้างเคียงไปด้วยเป็นระยะหลายร้อยกิโลเมตรจากศูนย์กลางของพายุหมุน

ใน กทม. ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านเคยทำภาพให้ผมดูนั้น น้ำจะขึ้นสูงประมาณตึก 4 ชั้น ครับ (ระดับน้ำความลึกน่าจะประมาณ 10 เมตรกว่าๆ) คลื่นที่เข้ามาทางฝั่งทะเล ท่านเคยทำภาพให้ดู ก็ขนาดเท่าเกาะใหญ่ๆ ความแรงจากคลื่นซัดนั้น จะแรงและเสียงดังมาก ทำให้อาคาร บ้านเรือนต่างๆ สั่นสะเทือน ขนาดความรู้สึกในความเป็นทิพย์นั้น ความแรงคล้ายๆ จะทำให้หัวใจผมหลุดกระเด็น ออกมาจากตัวเลยครับ

ฤา กรุงเทพฯจะกลายเป็นทะเลในเร็วๆนี้

สิ่งที่จะฝากเตือน ก็คือ ใครจะประสบกับเหตุการณ์รุนแรงขนาดไหนก็แล้วแต่ ขอให้ตั้งสติให้ดี มิฉะนั้นแล้วจะเกิด สติวิปลาสโดยทันที ที่บางคนบอกกันว่าจะคุมสติได้นั้น ผมว่าไม่แน่นักหรอก เพราะในความเป็นจริงมันรุนแรงเหลือเกิน ยังไงก็ขอให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทก็แล้วกัน ผมเองบอกกับตัวเองไว้ว่า จะหนีก่อนใครๆ เพราะว่าถ้าอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ คงจะคุมสติตัวเองได้ยากเช่นกัน เพราะขณะที่นั่งสมาธิ เมื่อมีฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาใกล้ๆ จิตผมยังสะเทือนไหว ก็แสดงว่า ยังใช้การไม่ได้ ที่จะเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ของภัยพิบัติ ครั้งนี้ ถ้าหนีไปก่อนจะปลอดภัย ทั้งธาตุขันธ์และจิตวิญญาณของตนเอง
ยังไงก็อย่าลืมเร่งเตรียม "เสบียงบุญ" กันนะครับ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อทุกคน ถ้าไม่มีเสบียงบุญนี่ สิ่งต่างๆ ที่เราเตรียมกันเอาไว้ก็ไร้ค่าครับ

ผมล่ะขอพึ่งพระบารมีองค์ต้นธาตุต้นธรรม (องค์อชิตะ) องค์พระวิปัสสี และก็พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ นี้ครับ นี่คือ เสบียงบุญหลักๆ ของผมที่เตรียมมาอย่างยาวนานสิบกว่าปีครับ

ทุกคนเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง???

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(ชี้แจง) เรื่องคำทำนายภัยพิบัติโลกต่างๆ ที่มีในบล็อก  ปกติผมนายปรีดี ยืนยง  (ผู้ลอกเรื่องราว มาเก็บไว้)ไม่ได้เชื่อเรื่องคำทำนายภัยพิบัติโลก   แต่ชอบเก็บคำทำนายต่างๆเอาไว้เป็นหลักฐาน   เพื่อความเพลิดเพลิน   เพื่อพิจรณาความคิดความเชื่อ   และเหตุผลของผู้ทำนาย และคนทั่วไปที่ชอบ

แต่ชอบข้อดีของผู้ที่ชอบทำนาย   ที่มักจะไปในทางเดียวกันคือ จะบอกให้ผู้คนอยู่ในศีลในธรรม และอยู่กับธรรมชาติ รักธรรมชาติ อย่าทำลายธรรมชาติ  ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี



ไม่มีความคิดเห็น: