เด็กบ้านนอก

   เมื่อครั้งเยาว์วัยชีวิตอยู่แต่กลางทุ่งนาเพราะว่าเกิดมาเป็นลูกชาวนา  เมื่อราวๆ พศ. 2500 กว่าๆ  ช่วงทีผมยังอยู่ในวัยเด็ก  อยาก เล่าอะไรสั้นๆให้ฟังเล่นเผื่อลูกตัวเองหรือเด็กรุ่นหลังเกิดมาอ่านเข้า จะได้คิดจินตนาการออก เพราะเรื่องราวของบรรบุรุษสมัยนั้นอยูกันยังไงบ้าง ต้องจิตนาการเอา  เพราะหากไม่ใช้ระดับข้าราชการผู้ใหญ่จริงๆไม่มีทางที่จะได้เห็นรูปถ่ายหรอก ถึงได้เห็นก็คงมีแต่ภาพขาวดำ  และการที่จะย้อนรอยเวลาไปหาภาพที่ใกล้เคียงกันคงต้องไปหาที่ประเทศที่ยังไม่พัตนา หรือที่ที่ความเจริญแบบสมัยให่มยังเข้าไม่ถึงจริงๆ เพราะว่า เมื่อครั้งที่ผมเกิดมาแถวบ้านนอกคอกนา  นอกจากจะไม่มีไฟฟ้า ไม่มีไฟฉายใช้ มีแต่ตะกียงน้ำมันก๊าด กับตะเกียงแก๊สที่ใส่ถ่านแก๊ส  แต่จะใช้ส่องหากบในยามค่ำคืนเท่านั้น  โดยจะมีกระป๋องใส่ถ่านห้อยอยู่ข้างเอวและมีสายยาวต่อไปที่ศีรษะะ ที่ติดไฟจะถูกคาดไว้ที่บนหัวเพื่อจะได้มองเห็นชัดๆเวลาจะใช้ก็เอาน้ำเทใส่ถ่านๆก็จะคุกรุ่นเป็นควันแก๊สลอยขึ้นมาจุดไฟก็ติดอยู่ได้จนถ่านหมด  และบ้านนอกก็ไม่มีถนน แต่มีรถประจำทางวิ่งอยู่ 1 คันจริงๆน่าเรียกว่าวิ่งบนหวางลงมากกว่าเพราะมีแต่ดินที่โล่งๆเป็นทางยาวไม่มีต้นไม้อยู่เหมือนถูกแหวกเป็นทางเอาไว้ สำหรับให้คนหรือรถเดิน  และก็ไม่มีประปา  ไม่มีส้วม   เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาค่ำคืนแล้วอย่าได้ท้องเสียเด็ดขาด แค่อาบน้ำตอนค่ำๆมันก็มืดจนไม่รู้จะมืดยังไง   คนสมัยก่อนจึงมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีเยอะคงเป็นเพราะมันมืดจริงๆ  หากเด็กสมัยนี้ไปอยู่ในสภาวะนั้นคงกลัวผีมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะขนาดไฟฟ้าสว่างไสวไปทั้งเมืองยังกลัวกันมากขนาดนี้เลย และหากยามค่ำคืนไหนที่ตรงกับวันพระที่



ต้องเดินทางไปวัดก็ต้องไปเฉพาะช่วงที่เป็นคืนเดือนแจ้งหรือคืนเดือนหงายเท่านั้น แต่หลังจาก พศ. 2500 ได้ไม่นาน ก็เริ่มมีไฟฉายแล้ว การไปไหนมาไหนยามค่ำคืนก็เริ่มขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หนังฉายกลางแปลง หนังตลุง มโนรา ดนตรีลูกทุ่งฯ ก็เริ่มแสดงกลางคืนแทนกลางวัน โลกยุตศิวิไลน่าจะเริ่มต้นช่วงนี้



  
หนังกลางแปลงยุคแรกๆที่ผมพอจะจำความได้ก็มี  หนังขายยาเป็นส่วนใหญ่เท่าที่พอจำความได้ เช่นขายยาตรา 5 เจดีย์ ยาถ่ายพยาธิ์ซันโตส ยาหมูอ้วนที่คนกินแล้วอ้วน เพราะยุคนั้นมีแต่คนผอมคนอ้วนไมมี่ กลางวันรถฉายหนังก็วิ่งโฆษณาก่อนสักรอบสองรอบ  ลีลาและสำนวนในการโฆษณาชวนเชื่อแต่ละคนเป็นนักพูดระดับเซียนทั้งนั้น  พอค่ำๆก็จะมีคนเดินผ่านหน้าบ้านผม(อยู่ติดถนนใหญ่)จากหมู่บ้านอื่นเดินคุยกันมาเป็นกลุ่มๆ กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ส่องไฟฉายกันแว๊ปๆ ดูเขาเพลินและสนุกสนานกันดี  หลังๆมาพอโตอีกหน่อยพอขึ้นโรงเรียนประถม ผมก็เลยได้แอบหนีไปเที่ยวโดยที่พ่อแม่ไม่รู้ โดยการปีนลงจากต้นมะพร้าวที่อยู่ติดกับบ้าน แล้วเมื่อไปถึงที่ลานฉายหนัง ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นวัดหรือ โรงพักตำรวจ  

จะมีคนไปดูกันเยอะจะมีเครื่องปั่นไฟสำหรับผลิตไฟป้อนให้เครื่องฉายหนังและแสงสว่างยุคแรกๆเสียงจะดังมากต้องลากสายเอาไปตั้งไกลๆจะได้ไม่หนวกหูมากส่วนมากหนังก็ฉายไปแป๊ปนึงก็โฆษณาขายยา แล้วก็ฉายต่อแป๊บเดียวก็ขายยาต่อ ใครสนใจก็ฉายไฟ ใครไม่มีไฟฉายก็ยกมือ หนังเวลาฉายก็เดี๋ยวขาดๆไม่รู้ขาดจริงหรือแกล้งให้ขาด ยุคแรกก็เป็นหนัง 8 มม หลังๆก็ 16 มม. 35 มม.หลังๆก็มีหนังกลางแปลงกั้นผ้าขาวเก็บตังค์ จอก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเครืองเสียงตู้ลำโพงก็ค่อยๆอลังการขึ้น น่าดูน่าชมแต่ผมก็ไม่เคยเสียตังค์ อาศัยใจถึงลอดผ้าหรือปีนรั้วเอาต้องใช้ฝีมือมากมิฉะนั้นโดนจับได้โดนตบ โดนเตะแล้วก็ไล่ออกไปนอกอาณาบริเวณได้ง่ายๆ เจ้าของหนังก็ต้องระวังจับมากๆเครื่องปั่นไฟอาจโดนมือดีเอาทรายใส่พังสนิทครับ  บางทีจอฉายหนังก็อาจโดนมือดีโยนแมวใส่ ขาดทั้งจอเหมือนกันครับ มีครั้งหนึ่งตัวผมปีนรั้วงานวัดสามบ่อ (โตมาหน่อยแล้ว) โดนจับได้ ผมผลักคนจับกระเด็น แกชักมีดจากเอวออกมาจะแทง  ผมรีบวิ่งหนีแทบตีนพลิก เกือบเสร็จไปหลายหนเรื่องปีนรั้วเข้าดูงานฟรีมีเรื่องบู๊เยอะ
 
 กิจกรรมหนึ่งที่ผมและเด็กทุกยุคสมัยชอบทำตั้งแต่สมัยก่อนเดี๋ยวนี้เด็กๆก็ยังชอบทำกันอยู่คือการเล่นน้ำ แต่สมัยนี้อาจต้องเสียตังค์ สมัยผมนี่ ในคลอง ในพัง(บึง) ในหนอง ในนา ในสระ ในทะเล เวียนวนเล่นกันแต่น้ำ(แก้ผ้าเล่นเพราะเสื้อผ้าไม่มีใส่นอกจากจะเป็นลูกครูหรือลูกตำรวจ) เล่นกันจนตาแดงเถือก  ไม่ได้เล่นน้ำอย่างเดียวบางทีก็ลงเบ็ดราว เบ็ดทงร่วมด้วย ลงทะเลก็งมหอย ส่วนมากหากไปเล่นน้ำแล้วต้องได้ของกินกลับมาด้วย แต่ก็ยังไม่วายโดนดุหรือโดนตี ยิ่งน้ำในพังแล้งทั้งผักตบ กระจับ ผักบุ้ง ขึ้นมาทีนี่ขี้โคลนขี้ตะไคร้เต็ม   มือดำ ตีนดำ ไปโรงเรียนนี่ไม่พ้น ต้องโดนครูตีอีก เพราะเล็บดำ ข้างคอก็มีแตขี้ไคลส่วนมากพ่อแม่ไม่ค่อยสนใจ เกือบทุกคน พอเดินได้วิ่งได้แล้วก็มักจะอยู่กันเองกับเพื่อนๆหากิน
กันเองตามประสาแต่ก็ดีช่วยเหลือตัวเองได้

  
มีประเพณีที่สนุกมากๆอย่างหนึ่งเมื่อตอนที่ผมเด็กๆคือประเพณีชักพระแต่บ้านผมเรียกว่าลากพระ เพราะก่อนชักพระเราจะได้ไปซ้อมตีตะโพนอยู่ที่วัดเป็นเดือนเรียกว่าคุมโพนส่วนใหญ่ก็จะเตรียมไม้ตีไปเอง  ตีกันทั้งันทั้งคืน (คงจะเป็นกุศโลบายสมัยก่อนที่ยังไม่ต้องใช้เครื่องเสียง) เมื่อถึงวันชักพระจริงเรือพระที่วัดบ้านผมจะชักลงทิศตะวันตก ที่เป็นคลองและเป็นนา เราก็จะไปชักพระกันคนเยอะมาก บางทีก็มาขึ้นยืนที่เรือพระหากเด็กโตให้ตีโพนก็ตี หรืออาจให้ช่วยตีฆ้องสักหน่อยก็ดีใจมากแล้ว  แล้วในนาในคลองจะมีน้ำและขี้โคลนเยอะผู้ใหญ่หนุ่มๆสาวๆ กินเหล้าเมากันก็เอาโคลนมาทาหน้าทาตัวกัน ทุ่งนาหน้าน้ำที่กว้างไกลมา
ก บางช่วงเราก็จะเล่นสไลท์เดอร์ขี้โคลนกันโดยหาที่ลาดสูงๆลงต่ำแล้วก็นั่งหรือนอน แล้วก็ผลักให้ไหลไป่   คือผมว่ามันสนุกกว่ากระดานลืนหรือของเล่นที่สวนสยามหลายอย่างในสมัยนี้   เพราะมันมีขี้โคลนและน้ำในนา มันสกปรกดีแต่ไม่ค่อยมีเชื้อโรคนะสมัยนั้นผมโดนหนามโดนคมทางโตนดบาดเลือดอาบหลายหนเอาดินเหนียวพอกๆไว้พอเลือดหยุดก็หายคนอื่นๆก็คล้ายๆกัน  มันสนุกดีจริงๆส่วนที่บนเรือพระก็มีพระนั่งไป มีต้ม(ข้าวเหนียวลูกสามเหลี่ยมที่ทำจากใบพ้อ)แขวนที่เรือพระเป็นราวๆ ก็จะเล่นอยู่อย่างนั้นทั้งวัน  ค่ำที่ไหนก็จอดเรือพระไว้ที่นั่นกลับบ้านไปนอน  พรุ่งนี้ค่อยมาลากต่อ  จนได้ 3-4 วันจึงจะลากเรือพระเลี้ยวขึ้นไปทางทิศตะวันออก ก็จะไปเจอกับเรือพระวัดอื่นที่เขามักจะชักกันบนถนนทั้งนั้น  ซึ่งผมเคยไปดูแล้วไม่มันส์เท่าชักไปตามทุ่งนาป่าขี้โคลน   พวกผู้ใหญ่ที่รู้จักกันก็ได้เปลี่ยนที่เล่น ส่วนเด็กแบบเราๆไม่ค่อยได้รู้จักเด็กตำบลอื่น เพราะจะรู้จักผู้คนในละแวกที่เดินด้วยเท้าถึงกันเท่านั้น  เรือพระนี่พอวันหลังๆเขาจะนัดเจอกันหลายๆวัดคงมีแต่พวกผู้ใหญ่ที่กินเหล้ายังสนุกได้หลายวันสำหรับเด็กรุ่นผมเหล้ายังกินไม่เป็นสนุกได้ 2 วันก็อิ่มแล้วครับ



 อีกเรื่องที่ขาดไม่ได้สำหรับชีวิตประจำวันของผมหากเป็นช่วงน้ำหลากคือตอนเย็นใกล้ๆค่ำจะต้องเอาไซไปดักปลาที่ร่องคันนาเป็นไซเล็กๆ  ที่พ่อทำให้ด้วยก้านมะพร้าวผมจะใช้ 2 ลูกไปดักไว้ที่ร่องน้ำเอากิ่งไม้ หรือใบโหนดคลุมๆไว้เอาปากไซหันทวนน้ำ

เพราะปลามักว่ายทวนน้ำ แล้วตอนรุ่งเช้าก็ไปเก็บได้ปลา กุ้ง หอย ปู ตัวเล็กๆทุกวันเอามาต้มน้ำส้มโหนดใส่หัวหอม เกลือ พริกขี้หนูสด ดอกสองดอก กินทุกวันได้แคลเซี่ยมธรรมชาติอย่างดี   และบางช่วงที่น้ำเยอะบวกกับที่พ่อหว่านข้าวไว้สำหรับเอาไปดำ(เรียกว่าเพาะเลย) น้ำจะท่วมต้นข้าวก่อนไปโรงเรียนผมต้องวิดก่อนทุกวัน วิดด้วยโพงทีทำจากปี๊บที่ผ่าซีกแล้วเอาไม้มาตอกเป็นโครง ต่อกับเชือกผูกวัวที่เอาไปผูกไว้กับปลายลำไม้ไผ่ที่ปักเอาไว้  นับว่าเป็นเครื่องทุ่นแรงได้ดีพอควร  การวิดเพาะเลยในนานี้นอกจากแข็งแรงแล้วยังได้ปลาช่อนและปลาอื่นๆขนาดโตสวยๆวันหนึ่งเกือบถังทุกวัน   อุดมสมบูรณ์มากเรื่องปลาในนาสมัยนั้น  ผมสามารถหาปลากินเองได้ทั้งปี ไม่ว่า วิด สุ่ม หรือวางเบ็ด  แต่การใช้สุ่มวิ่งไล่กับปลาชอนในนานี่ผมว่าสุดยอดแห่งการล่าที่ไม่เอาเปรียบกันเกินไป ต้องฝีมือและแข็งแรงจริงจึงจะทันมันเพราะการวิ่งในนาที่มีน้ำกลางหน้าแข้งทีมีโคลนหน่อยๆนี่การวิ่งให้เร็วนี่ยากเอาการเหมือนกัน

 นอกจากผมต้องเลี้ยงวัว เอาวัวไปแลที่ทุ่งนาแล้ว อีกอย่างที่ชอบสมัยเด็กคือการยิงนกและขุดหนูการขุดหนูนี่ต้องออกไปไกลๆหมู่บ้านหลายกิโลหน่อย  เพราะหนูท้องขาวนี่มันจะไม่อยู่ใกล้บ้านคน ที่อยู่ใกล้บ้านคนนี่ขนที่ใต้ท้องมันจะสีขุ่นๆและเหม็นสาบ  ส่วนหนูท้องขาวนี่ขนใต้ท้องจะขาวเนียน เนื้อตัวสะอาด ไม่มีกลิ่นสาบ เพราะมันกินแต่ข้าว กับปู หรือหอยด้วยหรือเปล่าไม่รู้  รูหนึ่งจะอยู่กันหลายตัว คืออยู่ตั้งแต่ตังพ่อแม่ ลูกๆ อีก 2-3 รุ่น ผมไม่กลัวหนูท้องขาวกัดเพราะกัดอย่างดีก็แค่พอแหกๆ จึงสามารถตะครุบได้โดยไม่ต้องสนใจ  แต่ถ้าเป็นหนูแปลง(หนูพุก)นี่อันครายกัดถึงมือทะลุเพราะตัวใหญ่เขี้ยวก็ยาวขุดหนูนี่ต้องระวังให้ดีเพราะบางทีก็มีงูเห่ากับงูแสงตะวันเข้าไปอยู่ในรูเจอมาหลายครั้งเหมือนกันมันคงไปหาหนูกินเหมือนกคิดๆก็บาปเยอะเหมือนกันนะผม กับหนูนี่ฆ่ามาเยอะพอสมควร

ไม่มีความคิดเห็น: