สัญญานเตือนจากสัตว์

  สัตว์บอกเหตุ

คนไทยเราให้ความสนใจกับเรื่องราว “ความเชื่อ” ที่สืบทอดกันมาเรื่อย ๆ นับแต่โบราณกาลจนปัจจุบัน ดังนั้น...แม้เมืองไทยยามนี้จะมีปัญหาใหญ่ ๆ ทั้งทางการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม ที่น่าเป็นห่วง บางครั้งบางคนยังสังเกตุ สัญญานเตือนภัย จากสัตว์ ตามแบบความเชื่อโบราณก็มี เช่น...กระแส “นกแสกผี” ก็สามารถที่จะแทรกเข้ามาครองพื้นที่ความสนใจของคนไทยได้อย่างแพร่หลายในวง กว้าง





“ลางบอกเหตุ” “ลางดี-ลางร้าย” ยังมีคนไทยเชื่อกันอยู่ และกับ “สัตว์” คนไทยก็เชื่อกันว่า “บอกเหตุ” ได้ ทั้งนี้ กรณี “สัตว์บอกเหตุ” เป็นลางดี-ลางร้ายนี้ ก็มีสัตว์หลายชนิดที่เชื่อกันว่าบางพฤติกรรมของมันนั้นสามารถบ่งบอกสิ่งที่ จะเกิดได้ ซึ่งจะว่าไปแล้วกรณีที่มีการพิสูจน์หรือติดตามเก็บข้อมูลกันอยู่ในเชิง “วิทยาศาสตร์” ที่เกี่ยวโยงกับ “ปรากฏการณ์ธรรมชาติ” ก็ดูจะคล้าย ๆ กันอยู่เหมือนกัน ไม่ ว่าจะเป็นสัตว์อย่าง... มด, แมลงต่าง ๆ, กบ, หิ่งห้อย, นก, สัตว์ป่าต่าง ๆ ฯลฯ กับการที่จะเกิด... ฝนตก, น้ำท่วม, น้ำป่า หรือแม้แต่ แผ่นดินไหว

อย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับความเชื่อของคนไทยเรื่องลางดี-ลางร้ายที่จะเกิดกับคนอันเนื่อง จากพฤติกรรมของสัตว์นั้น ก็ยกตัวอย่างเช่น... จิ้งจก ก็มีความเชื่อเรื่องจิ้งจกร้องหรือ “จิ้งจกทัก” ก่อนจะออกจากบ้าน ก็จะมีทั้งแบบที่เชื่อว่าเป็นลางดีและลางร้าย ซึ่ง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” เคยนำเสนอไปบ้างแล้วเมื่อไม่นานมานี้

ตุ๊กแก เมื่อมาอยู่ในบ้าน คนโบราณส่วนหนึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับวิญญาณบรรพบุรุษมาช่วยคุ้มครอง

แต่ถ้า “ตุ๊กแกร้องตอนกลางวัน” ตั้งแต่เช้ามืดถึงก่อนพลบค่ำ เชื่อว่าเป็นการบอกเหตุร้าย และบางคนก็มีสูตรความเชื่อนอกเหนือจากนี้โดยนับจำนวนครั้งการร้องของตุ๊กแก แล้วจึงตีความว่าเป็นลางดีหรือลางร้ายกันแน่

แมว และสัตว์อื่น ๆ ถ้าเป็น สีดำ ถ้าก่อนออกจากบ้านมันวิ่งตัดหน้าจากด้านขวาไปซ้าย เชื่อกันว่าเดินทางจะมีอันตราย เจออัปมงคล ต้องแก้เคล็ดโดยเปลี่ยนไปออกทางอื่น และกับ “แมวดำ” ใครเคยดูหนังไทยแนวผี ๆ สมัยก่อนคงจะคุ้น ๆ กับฉากแมวดำกระโดดข้ามโลงศพแล้วทำให้เกิด “ผีเฮี้ยน”

ผึ้ง ถ้า “ผึ้งทำรังในเขตบ้าน” เชื่อว่าเจ้าของบ้านจะมีโชค และเชื่อว่าถ้าไปไล่ทำลายรังจะเกิดหายนะ, สัตว์ป่าต่าง ๆ ถ้าเข้ามาในเขตบ้านจากทางทิศเหนือและตะวันตก เชื่อว่าจะให้ลาภ แต่ถ้าเป็นทิศอื่น ๆ จะอัปมงคล, ตัวเงินตัวทอง-ตะกวด-เหี้ย เชื่อว่าเป็นอัปมงคล แต่ถ้าเข้าบ้านให้พูดแต่สิ่งดี ๆ ก็เชื่อว่าจะแก้เคล็ดให้เกิดสิ่งดี ๆ ได้

ที่ว่ามาก็ตัวอย่างความเชื่อเรื่อง “สัตว์บอกเหตุ”และกับ “นก” ก็มีความเชื่อเรื่องการ “บอกเหตุ


เช่น... “นกถ่ายมูลรดหัว” จะเป็นนกอะไรก็ตาม ถ้าคนอยู่บริเวณบ้านแล้วนกบินมาถ่ายรดหัว เชื่อว่าจะมีเหตุร้ายให้เดือดร้อน และถ้ากำลังจะออกจากบ้านแล้วโดนนกถ่ายรดหัว เชื่อว่าจะไปเจออันตราย อุบัติเหตุ

อีกาดำ จริง ๆ แล้วกาชนิดต่าง ๆ เป็นนกที่อายุยืน แต่กลับมีความเชื่อว่า “กาดำเป็นนกนำสารจากดินแดนแห่งความตาย” บางคนก็มองมันเป็นสัญลักษณ์ของความ “ดุร้าย-สกปรก-ขี้ขโมย” ซึ่งกับสถานที่สำคัญ ทางการเมืองของไทยอย่าง ทำเนียบรัฐบาล ก็เคยมีอีกาดำมาทำพฤติกรรมแปลก ๆ ให้ฮือฮา ให้วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่เนือง ๆ อย่างเช่นบินมาจิกตีกันบนยอดตึกไทยคู่ฟ้า ภายในทำเนียบฯ

กับพฤติกรรมแปลกของนกที่เกิดที่ทำเนียบฯ ก็เคยมีเหตุ “นกเอี้ยงตามจิกตีตัวเหี้ยขนาดใหญ่” ราวกับโกรธแค้นสุด ๆ ซึ่งก็วิจารณ์กันแซดว่าเป็นอาเพศ-ลางไม่ดี และนักการเมืองซีกรัฐบาลขณะนั้นก็ถูกแนะนำให้แก้เคล็ด

สำหรับ นกแสก นี่ดูจะโดนหนักหน่อย เพราะถูกเชื่อว่าเป็น “นกผี” ซึ่งนอกจากกรณีที่เพิ่งเป็นข่าวดังแล้ว โบราณก็เชื่อกันว่าถ้านกแสกบินผ่านหลังคาบ้านแล้วร้อง หรือเกาะหลังคาบ้านไหน “เป็นลางบอกเหตุว่าจะมีคนตาย” ซึ่งก็มีเรื่องเล่าที่ไม่มีการยืนยัน ประมาณว่าบางคนกำลังป่วยหนักอยู่ พอเจอลางแบบนี้ก็ยิ่งใจเสียไปเลย


ทั้งนี้ กับเรื่องลางบอกเหตุจากสัตว์นี้ ถ้าจะว่ากันในเชิงจิตวิทยา ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยา บอกว่า. ถ้าเป็นเรื่องของเสียงนกแสกที่ร้องตอนกลางคืน ทางด้านจิตวิทยาแล้วเสียงจะเป็นรูปธรรม เป็นเหมือนตัวแทนของอารมณ์ ซึ่งความมืดของเวลากลางคืนที่เงียบสงัดจะควบคู่กับความกลัวของมนุษย์อยู่ แล้ว ยิ่งมีเสียงร้องที่ฟังดูน่ากลัวของสัตว์ต่าง ๆ ก็ยิ่งทำให้เป็นการ “กระตุ้นอารมณ์ความกลัวของมนุษย์” ให้มีมากขึ้นไปอีก

นักจิตวิทยาระบุอีกว่า... เรื่องของเสียงนั้นเป็นเรื่องของความรู้สึกทางความคิด เมื่อมีเสียงที่กระตุ้นอารมณ์กลัว จิตของมนุษย์ก็จะอุปาทานไปเอง ทำให้เกิดอาการ “หลอน” ได้ ยิ่งเป็นเสียงร้องของสัตว์ในเวลากลางคืนที่มักจะฟังดูโหยหวน ก็ยิ่งกระตุ้นความกลัวของมนุษย์ เพราะเสียงโหยหวนจะคู่กับความน่ากลัว อย่างเช่นเสียงของสุนัขที่เห่าหอนหาคู่ในเวลากลางคืนที่มีผลกับอารมณ์ของคน “ทำให้นึกถึงเรื่องผี” ก็คล้าย ๆ กรณีเสียงนกแสก

“ความเชื่อว่าพฤติกรรมของสัตว์เป็นลางบอกเหตุ มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทย แต่มีอยู่ทั่วโลก ซึ่งจากเรื่องความเชื่อนั้น ก็นำไปสู่เรื่องของจิตใต้สำนึกสะสม สัตว์ที่ถูกกำหนดว่าเป็นลางบอกเหตุร้าย อาจจะมีส่วนเชื่อมโยงกับการที่เคยคุกคามมนุษย์ หรือเกี่ยวพันในเหตุการณ์ร้าย ๆ มาก่อน จึงถูกตั้งหรือกำหนดให้เป็นลางบอกเหตุร้าย” ...ดร.วัลลภระบุทิ้งท้ายในทางหลักจิตวิทยา
รายงานข่าวอ้างสำนักข่าวเอเอฟพีที่ได้รายงานว่า

เมื่อวันที่ 20 ก.พ 2554.ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวบริเวณชายหาดของเกาะสจ๊วต นอกชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะใต้ ประเทศนิวีแลนด์ ต่างก็ต้องตกตะลึง หลังพบมีวาฬนำร่องประมาณ


107 ตัวได้มานอนเกยตื้นตายอยู่บริเวณชายหาดดังกล่าว ซึ่ง จากการเข้าตรวจสอบของเจ้าหน้าที่กรมอนุรักษ์ธรรมชาติ เผยว่า การตายหมู่ดังกล่าวอาจจะมีสาเหตุมาจากพวกมันอาจจะว่ายพลัดหลงมาเกยหาด ประกอบกับน้ำทะเลมีกำลงลดระดับลงอย่างรวดเร็ว จึงไม่สามารถที่จะทำให้ไม่สามารถว่ายกลับลงน้ำทะเลได้จึงทำให้พวกมันเสีย ชีวิตอีกทั้งบริเวณดังกล่าวมักจะพบว่ามีวาฬขึ้นมานอนเกยตื้นตายบ่อย ครั้งมาก โดยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา มีวาฬ 14 ตัวก็ขึ้นมาเกยตื้นตายบนหาดใกล้เมืองเนลสัน แหล่งท่องเที่ยวบนเกาะใต้ และอีก 24 ตัวใกล้กับแหลมเรนกา ทางตอนเหนือของประเทศขณะที่นักวิทยา ศาสตร์ ยังมืดแปดด้านไม่ทราบแน่ชัดว่าเหตุใดวาฬนำร่องเหล่านั้นจึงขึ้นมาเกยตื้นเอง อย่างไรก็ตามการตายของมันอาจจะเป็นสัญญานเตือนของภัยพิบัติก็เป็นได้    หลังจากนั้นเมื่อช่วงเวลา12.51น. วันนี้(22 ก.พ.54) ตามเวลาท้องถิ่น ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.3 ริคเตอร์ ขึ้นในไครสต์เชิร์ช เมืองใหญ่อันดับสองของนิวซีแลนด์ ทำให้มีตึกพังถล่มหลายแก่ง และเจ้าหน้าที่ต่างต้องสั่งเร่งอพยพประชาชนเป็นการด่วนหวั่นเกิดอันตราย 
 
 นักสัตววิทยาฝรั่งเศสเฝ้าสังเกตสัตว์จากภาพทีวีวงจรปิด พบว่าในช่วงเกิดภัยสึนามิถาโถมเข้าประเทศศรีลังกา พวกมันแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่รับรู้ล่วงหน้าก่อนที่ภัยร้ายจะถึงตัว แถมยังส่งเสียงแจ้งเตือนพรรคพวกให้รีบลี้ภัยขึ้นบนที่สูง ภาพทีวีวงจรปิดในมุมสูงของสวนสัตว์แห่งชาติ ยาลาในศรีลังกา แสดงให้เห็นสวนสัตว์ที่ถูกน้ำไหลบ่าเข้าท่วมจากคลื่นยักษ์สึนามิ แต่ไม่มีสัญญาณเลยว่าสัตว์สงวนอย่างช้าง เสือดาว กวาง หมาไน และจระเข้ ล้มตาย

สภาพการณ์ดังกล่าวช่วยเพิ่มข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ให้เราได้รับทราบเกี่ยวกับภัยพิบัติอย่างคลื่นยักษ์ แผ่นดินไหว และภูเขาไฟระเบิด ซึ่งเมื่อเกิดปรากฏการณ์เหล่านี้ นกจะพากันบินหนี สุนัขหอนโหยหวน ฝูงสัตว์จะวิ่งแตกตื่นไปหาสถานที่ปลอดภัยก่อนที่ภัยพิบัติจะมาเยือน

"ในเรื่องของการสั่นไหว แรงสั่นสะเทือน หรือเสียงคลื่นนั้น สัตว์มีความสามารถ ซึ่งมนุษย์ไม่มี อาทิ ช้างมีการสื่อสารของคลื่นเสียง ซึ่งมีย่านความถี่ต่ำกว่าระดับที่มนุษย์สามารถได้ยิน ช้างสามารถจับเสียงเหล่านี้ได้จากระยะไกลมาก เรียกได้ว่าอยู่ห่างไปหลายกิโลเมตรก็สามารถจับสัญญาณได้" เฮอร์เว ฟริตซ์ นักวิจัยพฤติกรรมสัตว์แห่งศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติของฝรั่งเศส กล่าว

ทั้งนี้ คลื่นเสียงความถี่ต่ำแบบที่เรียกว่าอัลฟราซาวนด์ มักมีความถี่ต่ำกว่า 20 เฮิรตซ์ ซึ่งต่ำกว่าระดับที่มนุษย์จะสามารถได้ยิน โดย ฟริตซ์นำเสนอทฤษฎี เพื่ออธิบายว่าเหตุใดช้างจึงอาจมีสัญญาณเตือนว่าจะเกิดคลื่น

นั่นเป็นเพราะว่า ช้างน่าจะสามารถจับ "สัญญาณภาคพื้นดิน" ของการสั่นสะเทือนหรือเสียงจากอากาศ ที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่ของสัตว์หรือสิ่งอะไรก็ตามที่มีขนาดใหญ่ อันเป็นเสียงที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยิน

แต่ช้างก็ไม่ใช่สัตว์ประเภทเดียวที่สามารถจับสัญญาณอันตรายจากการสั่นสะเทือนได้ เพราะกระต่ายและสัตว์สี่เท้าอื่นๆ ก็สามารถรับรู้ภัยล่วงหน้าได้ ผ่านทางพื้นดิน รวมถึงนกพิราบ ซึ่งอ่อนไหวมากกับการเปลี่ยนแปลงของความกดอากาศ  ส่วนผึ้งก็มีประสาทสัมผัสที่มีความแม่นยำสูงมาก และจะมีปฏิกิริยาต่อการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กในโลก ขณะที่ค้างคาวอาศัยการรับฟังคลื่นเสียง และเสียงสะท้อนเพื่อจับตำแหน่งของสิ่งนั้นๆ

นอกจากนั้น สัตว์ซึ่งอยู่ร่วมกันเป็นฝูงอย่างช้าง กวาง และนก ยังมีรหัสเตือนภัยอันทรงประสิทธิภาพ นั่นคือ เสียงร้องในแบบพิเศษที่สามารถเตือนเพื่อนร่วมฝูงให้หนีได้ทันเมื่อเห็นอันตรายใกล้เข้ามาก

ประสาทสัมผัสเหล่านี้เชื่อว่า ช่วยให้สัตว์ต่างๆ ตรวจจับภัยอันตรายล่วงหน้าได้ เพียงแค่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเล็กน้อย หรือในกรณีที่วัตถุเกิดการสั่นไหว จึงไม่แปลกเลยที่คลื่นสึนามิไม่สามารถทำอันตรายพวกมัน

 ผมมหาปลี ขอเสริมหน่อยครับว่า คนที่เลี้ยงช้างไว้แสดงโชว์ที บ้านคึกคัก จ. พังงา ที่โดนทสึนามิถล่ม เล่าให้ฟังว่า ก่อนเกิดเหตุ 4-5 วันสัตว์พวกงู จะออกมาเยอะ ส่วนช้างที่เลี้ยงไว้สบัดโซ่ขาดก่อน ราวๆ วัน 2 วันก่อนที่คลื่นทซึนามิจะถล่ม


แผ่นดินไหว 8.0 ริคเตอร์ เมื่อเดือน พ.ค. 2551 ที่มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน มีผู้เสียชีวิตและสูญหายรวมแล้ว 87,000 คนโดย 10 วัน ก่อนเกิดเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ในจีนเมื่อปี 2551 มีสัญญาณจากธรรมชาติหลายอย่างด้วยกันคือ
1. เกิดหนองน้ำใหม่   หนองน้ำประหลาด ?  ก่อนหน้าเกิดเหตุแผ่นดินไหว 2 สัปดาห์ หรือ 14 วันในเขต Enshi ห่างจากเมือง Wuhan ประมาณ 400 โล ชาวบ้านรายงานไปยังหนังสือพิมพ์ว่า อยู่ๆ วันหนึ่ง ตื่นมาตอนเช้าก็พบหนองน้ำประหลาด ไม่รู้ใครมาขุดตั้งแต่เมื่อไหร่เพียงแต่ช่วงบ่ายๆ ก่อนหน้าวันนั้น ชาวบ้านได้ยินเสียงครืนๆ แปลกๆ อยู่รอบๆ หมู่บ้าน สัก 4 ชั่วโมงได้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งมาเจอบ่อที่ค่อยๆ มีน้ำผุดขึ้นมาเรื่อยๆ และจุได้ถึง 80,000 ตันเลยทีเดียวเมื่อถ่ายรูปหนองน้ำที่ยังแห้งผากลงข่าวในหนังสือพิมพ์เรียบร้อยแล้ว ไม่กี่วันถัดมา นักวิจัยที่กลับมาสำรวจก็ต้องอึ้งเมื่อพบว่าน้ำเต็มบ่อ แถมยังมีปลาตัวใหญ่เบ้อเร่อให้ชาวนาได้จับไว้กินอีกด้วย

 2.การเคลื่อนย้ายของฝูงสัตว์
เมื่อสัตว์เคลื่อนทัพ ? หลายวันก่อนแผ่นดินไหว บริเวณที่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 60 ไมล์ มีคนตื่นตะลึงกับจำนวนผีเสื้อนับล้านตัว ที่พากันบินว่อน เกาะกลุ่มเคลื่อนทัพราวกับว่าจะย้ายที่อยู่อาศัยไปไหนก็ไม่รู้หลายวันถัดมา คือ วันที่ 9 พฤษภาคม 2551 ก่อนหน้าเกิดเหตุ 4 วัน ในมลฑล Jiangsu ก็พบฝูงกบนับพัน พากันออกจากทุ่งนามาข้ามถนนอย่างไม่กลัวตาย

ในข่าวบอกว่าหลังจากบันทึกภาพไว้แล้ว พวกมันก็โดนรถทับเละ ไม่รู้ว่ามีกี่ตัวที่อพยพได้สำเร็จ (รูป) กบนับหมื่นตัวพากันข้ามถนนในจีน ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2551 ก่อนเกิดแผ่นดินไหว 2 วัน


3. แพนด้าไดเอท

หมีแพนด้าที่ถูกบันทึกว่ามีท่าทีเศร้าสร้อยและไม่ยอมกินไม้ไผ่อาหารโปรด

4. เมฆแผ่นดินไหว

เรื่องเมฆแผ่นดินไหว ตามทฤษฎีของ Zhonghao Shou นักเคมีชาวจีนที่ศึกษามานานมาก จนยืนยันว่า 70% ของก้อนเมฆที่ถ่ายรูปไว้ มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นตามมา ในเหตุการณ์นี้ก็เหมือนกัน มีนักถ่ายภาพคนหนึ่งถ่ายรูปเมฆเอาไว้เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2551 ก็คือ 2 วันก่อนแผ่นดินไหว ในบริเวณ Linyi มณฑฉาตง (Shandong)

นอกจากนี้ ยังมีปรากฏการณ์แสงรุ้งบนก้อนเมฆ หรือ “เมฆเรืองแสง” ที่มณฑลชานซี ที่ฮือฮาในข่าวอยู่หลายวัน ซึ่งปรากฏอยู่บนท้องฟ้า 30 นาทีถึง 10 นาทีก่อนเกิดเหตุ ตอนนี้ 200 กว่าเวบไซต์มีการพูดคุยเรื่องลางสังหรณ์เหล่านี้ทั้งอย่างวิเคราะห์

และบางคนเชื่อว่า นี่คือลางบอกเหตุที่ชัดเจนมากๆ และบอกด้วยว่า ในช่วงหลายวันก่อนเกิดเหตุนั้น นาย Li Shihui นักวิทยาศาสตร์ของจีนได้ทำนายและตั้งข้อสังเกตเหล่านี้ในเวบบล็อกของเขาว่า น่าจะเกิดเหตุแผ่นดินไหวในสเกลที่ใหญ่ว่า 7.0 ริกเตอร์เป็นแน่แท้ จึงมีการเตือนให้รับมือครั้งใหญ่ แต่ทว่าในช่วงเวลานั้น ไม่มีใครสนใจมากนัก



2518 แผ่นดินไหวเมืองไฮชิง 
หลายครั้งที่สัญชาติญาณชี้เตือนภัยของสัตว์ถูกเมิน ไม่ได้รับความสนใจ จนกระทั่งเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2518 นักวิทยาศาสตร์ในเมืองไฮชิง ประเทศจีน ต่างสงสัยเมื่อแมวแสดงอากัปกริยาหวาดระแวง และหมาก็เริ่มเห่าหอนไม่หยุดหย่อน จนนักวิทยาศาสตร์เกิดความเชื่อมั่นว่ากำลังจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้น

เจ้าหน้าที่จึงได้สั่งให้ทำการอพยพผู้คน หนีภัยออกจากเมืองในทันที เพียง 5 ชั่วโมงครึ่งหลังจากนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้นที่เมือง วัดแรงสั่นสะเทือนได้ระดับ 7.3 ริกเตอร์  ในครั้งนั้นมีผู้คนเสียชีวิตแค่ 2,000 คน ส่วนตัวเมืองนั้นพังราบ ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์กันว่าหากไม่ได้ทำการอพยพ คงจะมีผู้เสียชีวิตถึง 150,000 คน 
นับเป็นครั้งแรกที่เมืองได้รับการอพยพหนีก่อนเกิดแผ่นดินไหว ในครั้งนี้สัตว์ก็ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายว่าช่วยเตือนถึงอุบัติภัยที่กำลังจะเกิดขึ้น

17 มกราคม2538 แผ่นดินไหวเมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น
ในเดือนมกราคม 2538 ณ เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น เกิดแผ่นดินไหว ระดับ 7.2 ริกเตอร์ มีผู้เสียชีวิตถึง 6,400 คน ผู้บาดเจ็บ 27,000 คน โดยก่อนหน้าเกิดแผ่นดินไหว ผู้คนในเมืองต่างสังเกตว่าสุนัขทั่วทั้งเมืองต่างเห่าต่อเนื่อง ไม่มีหยุดตลอดวันตลอดคืน
น.พ.คิโยชิ ชิมามูระ ได้ศึกษาแผ่นดินไหวครั้งนี้โดยละเอียด และพบว่ามีรายงานสุนัขกัดคนเพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนเกิดแผ่นดินไหว จึงตั้งสมมุติฐานว่าสัตว์นั้นรู้ล่วงหน้าถึงแผ่นดินไหวจึงเกิดอาการเคร่งเครียด
     2519 แผ่นดินไหวเมืองตังฉาน
ในเดือนกรกฏาคม 2519 ประเทศจีนถูกแผ่นดินไหว ระดับ 7.8 ริกเตอร์ เมืองตังฉาน ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมนั้นถูกกระทบอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิตถึง 240,000 คน  ช่วงระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนเกิดแผ่นดินไหว สถานีวิทยุท้องถิ่นได้รายงานถึงหมีแพนด้าซึ่งเอามือกุมหัว ร้องโหยหวนไม่มีหยุด คนเลี้ยงแพนด้านั้นรู้สึกแปลกใจ แต่ในภายหลังจึงเข้าใจและเชื่อว่าแพนด้าคงรู้สึกได้ล่วงหน้าว่าแผ่นดินไหวกำลังจะมา

ไม่มีความคิดเห็น: