พินิจฯ ๑
จะเห็นว่าแรกเริ่มตำนาน เทวดาที่มาใหม่นั้นผิดชัดๆ ผิดแบบไม่น่าให้อภัยคือเลวมาก เจ้าของบ้านอุตสาห์เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีแล้วยังเนรคุณ ถีบเจ้าของบ้านจนตกเรือน แล้วยึดบ้านเฉยเลยเป็นใครๆก็แค้น แค้นที่ต้องชำระ
แต่นี่เป็นเพียงการผูกเรื่องของนักปราชญ์ ว่าความแค้น ความพยาบาทเกิดขึ้นได้เพราะเหตุนี้ เรื่องหนึงแหละ และให้อารมย์นี้เป็นอารมย์ร้าย เรียกว่าอสูร อารมย์โกรธ แค้น พยาบาท
เทวดานั้นก็รู้ว่าผิด แต่ก็ได้ฝึกตนเองต่อ ไม่ให้โกรธไม่ให้แค้น มีแต่จิตเมตตาฯ สูงๆขึ้นไปๆ จนถึงชั้นพรหมเบื้องบน นี่คืออารมย์ดีๆอีกด้านนึงที่ตรงข้าม
ส่วนเรื่องรูปเรื่องภพ รูปนามจริงๆนั้นเป็นยังไงก็ให้ท่านผู้ฝึกถึงฌานได้แล้วเล่าดีกว่า ตรงนี้แค่คิดแค่บอกให้รู้ว่าเหตุมันเป็นเช่นนี้ จึงได้มีเป็นเทวดา ๒ พวกคือ สุระกับอสุระ
ส่วนที่ท่านอื่นๆเขียนไว้ในอดีต ฝั่งตะวันตสรุปจากเรื่องเทวอสูรสงครามในบทที่ ๑ แนวคิดเรื่องเทวาสุรสงคราม จากอดีตตำนาน เค้าโครงเรื่องจะมีรากฐานที่มาจากการต่อสู้กันระหว่างชนพื้นเมือง (ทราวิท / อสูร) กับพวกอารยันที่อพยพเข้ามาใหม่ (เนวาสิกเทวบุตร กับมฆะมาณพจุติ) คือพวกพระพระอินทร์ เดิมทีน่าจะเป็นวีรบุรุษนักรบของชาวอารยัน ต่อมาได้รับการยกย่องนับถือจนกลายเป็นเทพเจ้าไปในที่สุด
ส่วนพวกอสูรน่าจะเป็นตัวแทนของชนพื้นเมือง ที่อาศัยอยู่ในถิ่นของตนมาก่อน และเป็นผู้พ่ายแพ้สงครามแล้วถูกเหยียดหยามให้เป็นพวกที่ไม่กล้าหรือขี้ขลาด (อสูร แปลว่าผู้ไม่กล้า) หรือเทพเจ้าฝ่ายชั่ว เป็นไปได้ว่า เมื่อเริ่มเรื่องการสู้รบกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์แล้ว ก็ได้รับการเล่าขานเป็นตำนานจนมีการปรุงแต่งให้กลายเป็นการรบกันระหว่างเทพฝ่ายดีกับเทพฝ่ายชั่ว ดีชั่วก็แล้วแต่ใครอยู่ข้างไหน ข้างนั้นก็เป็นฝ่ายดี ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นฝ่ายชั่ว
* เรื่องนี้คนเขียนน่าจะหรือต้องเป็นคนฝั่งอารยัน เพราะว่าตัวเองต้องเป็นฝ่ายดีฝ่ายถูก อสูรนั้นไม่ดีจึงต้องเป็นฝั่งตรงข้าม
พินิจ ฯ ๒
แนวคิดความเชื่อเรื่องสงครามระหว่างเทพ กับอสูร ในสมัยก่อนพุทธกาล หากสืบย้อนกลับไป นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า พวกอารยันและอิหร่านเป็นพวกเดียวกันและอพยพมาพร้อมกัน โดยที่พวกหนึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอินเดีย อีกพวกหนึ่งแยกไปทางอิหร่าน จะเห็นได้จากภาษาของทั้งสองพวกซึ่งมีความใกล้เคียงกันมาก เช่นคำว่า “อารยะ” หรือ “อารยัน” ที่พวกตั้งถิ่นฐานในอินเดียใช้เรียกตัวเอง กับคำว่า “อิหร่าน” ที่พวกเปอร์เซียโบราณเรียกตนเองก็เป็นคำมาจากรากศัพท์เดียวกัน
วรรณคดีโบราณของอิหร่านคือคัมภีร์อเวสตะ กับคัมภีร์คฤเวทของอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาของทั้ง 2 คัมภีร์มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ภาษาในคัมภีร์อเวสตะรูปที่เก่าที่สุดกับภาษาในคัมภีร์ฤคเวท ทั้งในด้านรูปศัพท์และการสร้างประโยค ชี้ให้เห็นได้ชัดว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ศัพท์จำนวนมากที่ใช้ในคัมภีร์ทั้งสองเป็นศัพท์ที่มาจากรากเดียวกัน แต่การนับถือเทพเจ้าของชน 2 พวกนี้เป็นไปคนละแนว คือชาวอารยันสายอิหร่าน จะนับถืออสุระ เป็นเทพเจ้าฝ่ายดี เทวะ เป็นเทพเจ้าฝ่ายชั่ว ส่วนพวกที่อพยพเข้ามาอินเดีย ถือว่า เทวะเป็นฝ่ายดี อสระ หรืออหุระ ซึ่งเป็นฝ่ายชั่ว ฉะนั้นสงครามที่เกิดขึ้นบางทีอาจจะเกิดจากเผ่าอารยันสองพวกเองที่แย่งพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ก็ได้
พินิจฯ ๓
และยังมีบางส่วนจากตำนาน ของเผ่าอารยันกล่าวถึงพระอินทร์ว่าเป็นนจอมเทพฯฝ่ายเทวดาพระองค์ทรงเป็นเทพผู้มีสายฟ้าเป็นอาวุธ ผู้พิชิตอมนุษย์แห่งความแห้งแล้งหรือความมืด ปลดปล่อยสายน้ำให้เป็นอิสระ และให้แสงสว่างแก่ฟ้าและดิน ทรงผู้ประทานฝนแก่ชาวอารยัน เทวดาจึงหมายถึงผู้ทำให้ฝนตกด้วย หมายถึงพลังงานส่วนที่ทำให้เกิดฝนด้วย
และเคยอ่านตำนานการแห่นางแมวขอฝนทางภาคอิสานอ้างถึงว่า มีผู้รู้กล่าวไว้ว่า น้ำฝนนั้นเป็นน้ำของเทวดา ดังมีศัพท์บาลีว่า เทโว ซึ่งแปลว่า น้ำฝน เป็นเอกลักษณ์ของความดี ความบริสุทธิ์ ที่จะมาชำระสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ อย่าง หมอกควัน ละอองเขม่าน้ำมัน และสิ่งต่างๆที่ห่อหุ้มโลกทำให้เป็นภัยแก่มนุษย์ และผู้ที่จะล้างอากาศได้ทำให้ละอองพิษพวกนั้นตกลงดิน ทำให้อากาศสะอาดคือ "เทโว" หรือ "ฝน" นั่นเอง ดังจะเห็นได้จากเมื่อฝนหยุดตกใหม่ๆ อากาศจะสดชื่น ระงมไปด้วยเสียงของกบ เขียด อันเป็นสัญลักษณ์ของความสุข ของการเกิด
แม้แต่ทางภาคใต้เองเมือ่สมัยที่ผม (มหาปลี ) ยังเด็กมากๆก็ยังเคยได้เห็นพิธีกรรม ที่เรียกว่าขอฝนเทียมดาที่ อำเภอหนึ่งในจังหวัดสงขลา ซึ่งนั้นจะเป็นพิธีการที่มีการปลูกปะรำพิธีบวงสรวงตรงข้างทางตรงมุมถนนทุกครั้ง ทำด้วยใบมะพร้าวหรือใบตาลหรือใบอะไรมั่งไม่รู้เลือนลางเต็มทีจะเป็นโรงพิธีเตี้ยๆ แต่สรุปได้ว่าเป็นบทสวดประเภทหนึ่งเพื่ออ้อนวอนขอฝนจากเทวดา (ภายหลังจึงมีผู้บอกว่าคำว่า "เทียมดา"นั้นก็คือเทวดา แต่เป็นภาษาใต้โบราณ
แล้วเทวดาจริงๆมีไหม ใครเคยเจอบ้าง เทวดาคืออะไรยังงงๆ ที่เห็นตามผนังโบสถ์นั่นนะหรือ ? ผมเองก็ไม่เคยเจอฟังแต่ผู้ใหญ่ที่นับถือเล่าให้ฟัง อาจจะอารมย์ไม่ละเอียดพอเพราะไม่เคยได้ฌานสมาบัติ ในแวดวงศาสนา ต้องอ่านเรื่องเล่าจากพระราชพรมญาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านจะเล่าเรื่องเทวดาไว้เยอะสนุกดีลองไปหาอ่านดูจากเวปไซด์วัดท่าซุงครับ หลวงพ่อจรัล วัดอำพวาก็เคยเล่า หลวงพ่อฯหลายท่านก็เคยเล่าให้ฟัง พี่ชายตัวเองก็เคยเล่าให้ฟัง และตามคำภีร์ต่างๆก็มีกล่าวถึงเทวดาไว้เช่น
ในพระคัมภีร์ไบเบิลซึ่งถือว่ามาจากพระวจนะหรือคำพูดของพระเจ้านั้น มีการกล่าวถึงเทวดามากมาย อยู่ในฐานะ “ทูตสวรรค์” หรือ “นักบุญ” ซึ่งมีทั้งในเพศชายและและเพศหญิง
ในศาสนาฮินดูนั้นคำภีร์ฤคเวท ได้กล่าวถึงเรื่องราวของปวงเทพเทวาหรือเทวดานั้นมีมากมายจนนับไม่ถ้วน และมีการกล่าวถึงอำนาจและอิทธิฤทธิ์ไว้มากมาย เพราะเป็นศาสนาพหุเทวนิยม ในศาสนาโวโรอัสก็ก็มีคำคำภีร์คัมภีร์อเวสตะ กล่าวเรื่องเทวะไว้คล้ายๆกัน
ในพระไตรปิฎกที่ถือว่าเป็นคัมภีร์ทางศาสนาพุทธนั้น ได้อธิบายถึงภพภูมิของเทวดาตามความเชื่อของศาสนาพุทธนั้นเชื่อว่ามีอยู่ 7 ชั้นคือ
ชั้น ๑. เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ๒. ดาวดึงส์ ๓. ยามา ๔.ดุสิต ๕. นิมมานรดี ๖.ปรินิมมิตวสวัตตี ซึ่งจะไม่กล่าวถึงที่นี่ ดูเรื่องเทวดาที่นี่
ขยายความ
คัมภีร์อเวสตะ
คัมภีร์อเวสตะ เกิดก่อนพุทธกาลประมาณ ๔๐๐-๑๐๐๐ ปี มีโซโรอัสเตอร์เป็นศาสดา เป็นคัมภีร์สำคัญในศาสนาโซโรอัส ที่เกิดขึ้นที่ประเทศอิหร่านยุคก่อนที่อิหร่านจะหันไปนับถือศาสนาอิสลาม หรือรู้จักกันในนามของลัทธิบูชาไฟ มีความเชื่อแบบทวินิยม สอนเรื่องการต่อสู้กันระหว่างพระเจ้าแห่งความดีกับพระเจ้าแห่งความชั่วร้าย ซึ่งในที่สุดพระเจ้าฝ่ายดีเป็นฝ่ายชนะในการต่อสู้นี้มนุษย์มีเสรีภาพในการเลือกว่าจะเลือกเอาข้างฝ่ายใด
คำภีร์ฤคเวท
ในสมัยก่อนเมื่อหลายปีนานมาแล้ว ผมอ่านหนังสือของพระสงฆ์ท่านหนึ่งของไทย ที่หลายคนรู้จักดี คืออาจารย์พระพุทธาสฯ งานเขียนของท่านมีเยอะมากและมีอ้างอิงจากหลายแหล่ง หนึ่งในนั้นคือคำภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์ การไปค้นหาหนังสือเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์เมื่อ 20 ปีมาแแล้วยากมากครับ (พศ.2532 ) ไม่เหมือนสมัยนี้เข้ากูเกิ้ลแล้วพิมม์ก็โอเคได้ังใจหวังครับ ฤคเวท เป็นคัมภีร์เล่มแรกในวรรณคดีพระเวท แต่งขึ้นเมื่อราว 3000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นตำราทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ประกอบไปด้วยบทสวดที่วางท่วงทำนองในการสวดไว้อย่างตายตัว กล่าวถึงบทสรรเสริญคุณ อำนาจแห่งเทวะ และประวัติการสร้างโลกรวมถึงหน้าที่ของพระพรหมผู้สร้างมนุษย์และสรรพสิ่ง ซึ่งจะใช้ในพิธีการบรวงสรวงเทพเจ้าต่างๆ ของชาวอารยัน ตามประเพณีของฮินดูแล้ว
การแบ่งหมวดหมู่ของคัมภีร์พระเวทนี้ วยาส ( ผู้แต่งมหากาพย์ มหาภารตะ ) เป็นผู้ทำขึ้นโดยรับคำสั่งจากพระพรหมณ์ การจัดรวบรวมบทสวดในคัมภีร์ฤคเวทนี้ เรียกว่า ฤคเวทสังหิตา มีบทสวดทั้งหมด 1,028 บท เป็นหนึ่งในคัมภีร์ทั้งสี่ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งเรียกรวมกันว่า "พระเวท" และนับเป็นบทสวดที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ
ในฐานะที่เป็นวรรณคดีที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ชาวอารยันนับล้านคนนับถือคัมภีร์พระเวทว่าเป็นงานของพระเจ้า และนับถือว่าเป็นทิพยวิชาที่ฤษียุคโบราณได้ค้นพบ ฤษีผู้ค้นพบความรู้เหล่านั้น เรียกว่า ฤษีแห่งพระเวท คัมภีร์พระเวทประกอบด้วยวิชาการทุกประเภทของฮินดู เช่น แนวคิดทางศาสนา แนวคิดทางสังคมและแนวคิดทางปรัชญา เป็นต้น วิถีชีวิตของชาวอินเดียมีพื้นฐานมาจากคัมภีร์พระเวท การศึกษาวัฒนธรรมอินเดียจึงต้องอาศัยความเข้าใจเรื่องพระเวท
อ้างอิง :
บางส่วนจากคำภีร์อเวสตะ บางส่วนจากคำภีร์ฤคเวท สยามคเณศดอทคอม
เทวอสูรสงคราม ๓ ( ปรัชญา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น