นักสิทธวิทยาธร

นักสิทธิ์วิทยาธร... เป็นนเรื่องที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนครับ     เคยได้ยินแต่คำว่า "วิทยาธร "  อย่างเดียวเท่านั้น  คำๆนี้ผมเจอเข้าโดยบังเอิญจากการค้นหาคำศัพท์เกี่ยวกับโลกธาตุทั้งหลาย    ที่เคยฟังมาจากพระเทศน์ คนฒ่าคนแก่เล่าให้ฟัง  ได้ลองค้นหาคำว่า "วิทยาธร" ดูจากเวปไซด์ต่างๆ ก็ได้เจอข้อมูลพอสมควรครับ นี่คือตัวอย่างหนึ่งครับ ..เวปไซด์วัดท่าขนุน  ต. ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
http://watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=310   

ขอชี้แจงถึงสาเหตุที่ต้องก็อบปี้งานเขียนบางท่านเก็บเอาไว้   เพราะผมมีประสบการณ์หลายครั้งแล้วที่เรื่องราวดีๆ น่าสนใจ  เก็บเป็นลิงค์เอาไว้   พอเข้าไปดูภายหลังปรากฏว่าปิด หรือถูกลบไปแล้วครับ



ภูเขาสุทัศน์ คือลูกที่ ๔ นับจากดินแดนมนุษย์ภูมิเข้าไป

นักสิทธิ์วิทยาธร เป็นผู้วิเศษจำพวกหนึ่งที่พำนักอยู่ในป่าหิมพานต์ นักสิทธิ์ แปลว่า ผู้สำเร็จ วิทยาธร แปลว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งวิทยา ทั้งสองพวกนี้แต่งตัวคล้ายเทวดาแต่สวมชฏาเป็นดอกลำโพง หรือโพกผ้าแบบฤๅษีตามภาพจิตรกรรมที่พบเห็นทั่ว ๆ ไปมักถือพระขรรค์เป็นอาวุธ บรรดาวิทยาธรทั้งหลาย อาศัยอยู่ที่เชิงเขาสุทัสน์ อันเป็นหนึ่งในเจ็ดของเขาสัตบริภัณฑ์ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุคติความเชื่อของไทยแต่โบราณ


ภาพจากสมุดภาพวัดหัวกระบือ เล่ม ๑ ของคุณ วาโยรัตนะ
ตามข้อเขียนของพระยาอนุมานราชธน กล่าวว่าวิทยาธรแบ่งออกเป็นหลายพวกตามเชื้อชาติ เรียกว่าวิทยาธร ๑๒ ภาษา มีทั้งวิทยาธรแขก วิทยาธรฝรั่ง วิทยาธรจีน ฯลฯ จากภาพจิตรกรรมฝาผนังในสมัยอยุธยาที่วัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี    วิทยาธรบางตนมีหน้าเป็นยักษ์  นักสิทธิ์นั้นไม่ใช่ฤๅษีเป็นผู้สำเร็จพวกหนึ่ง      ดังนั้น มนุษย์ไม่ว่าชาติใดภาษาใด       หรือแม้แต่ยักษ์ก็อาจเป็นผู้สำเร็จได้
ในวรรณคดีไทยเมื่อกล่าวถึงนักสิทธิ์มักมีคำว่าวิทยาธรต่อท้ายเสมอ    เพราะผู้จะเป็นวิทยาธรได้ต้องผ่านขั้นตอนการเป็นนักสิทธิ์มาก่อน    ตามจิตรกรรมฝาผนังนิยมเขียนภาพนักสิทธิ์วิทยาธรไว้แถวบนสุดต่อจากภาพเทพชุมนุมบนผนังด้านซ้ายและด้านขวา          เช่น จิตรกรรมฝาผนังที่พระอุโบสถวัดสุวรรณาราม กรุงเทพมหานคร เป็นต้น

นักสิทธิ์หรือผู้สำเร็จเป็นผู้มีความรู้วิชาไสยศาสตร์ในทางเล่นแร่แปรธาตุ สามารถทำปรอทซึ่งเป็นโลหะเหลวให้แข็งเป็นก้อนได้ เรียกกันว่าสำเร็จปรอท อานุภาพของก้อนปรอทนี้ทำให้ผู้สำเร็จเหาะเหินเดินอากาศได้ ทั้งยังมีร่างกายเป็นหนุ่มอยู่ตลอดเวลา เมื่อสำเร็จแล้วก็ไม่สามารถอยู่ในแดนมนุษย์ได้อีกต่อไปเพราะเหม็นสาบมนุษย์  เมื่อสำเร็จต้องเหาะไปยังป่าหิมพานต์   ครั้นไปถึงแล้วจะพบบ่อน้ำวิเศษบ่อหนึ่ง น้ำในบ่อนั้นมีสีขาวเหมือนน้ำนมบริสุทธิ์     มีนางเทพธิดาชื่อจันทรเทวีเป็นผู้รักษาอยู่
ภาพจากวัดหัวกระบือ

เมื่อผู้สำเร็จปรอทเหาะไปถึงที่นั่นจะไปถึงที่นั่นจะตกลงไปในบ่อ ร่ายกายที่เป็นมนุษย์อยู่แต่เดิมจะสูญสลายไปในทันที แล้วเกิดเป็นฟองน้ำปุดขึ้นมาลอยบนผิวน้ำ นางจันทรเทวีผู้รักษาบ่อน้ำจะคอยเอามือช้อนฟองน้ำนั้น      บัดดลฟองน้ำจะเปลี่ยนสภาพเป็นเด็กอ่อน แล้วเติบโตโดยลำดับเป็นวิทยาธร

วิทยาธรที่ปรากฏตามจิตรกรรมฝาผนังมีแต่เพศชาย กล่าวกันว่ามีอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ ใครฆ่าก็ไม่ตาย แม้ต้องศาสตราวุธใด ๆ ก็เป็นแต่สิ้นสติไปชั่วขณะหนึ่ง ครั้นลมพัดมาก็กลับฟื้นขึ้นได้ มีอายุยืนอยู่คอยท่าพระศรีอาริยเมตไตรยซึ่งจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต

ณ ป่าหิมพานต์มีต้นไม้วิเศษชนิดหนึ่งคือ มักกลีผล หรือนารีผล ไม้ชนิดนี้มีผลเป็นรูปสตรี “งามนักดังสาวอันพึงใหญ่ได้ ๑๖ ปี แลฝูงผู้ชายได้เห็นก็มีใจรักกัน” (ไตรภูมิพระร่วง) นารีผลนี้เป็นที่ปรารถนาของเหล่านักสิทธิ์วิทยาธรต่างชิงกันเก็บไปเชยชม

ปกติวิทยาธรจะถือกิ่งไม้เป็นอาวุธ         ซึ่งกิ่งไม้นั้นจะกลายเป็นพระขรรค์ทันทีเมื่อปรารถนาจะให้เป็น   ผิวกายของวิทยาธรมีทั้งสีเหลือง สีขาว สีดำ ฯลฯ    บางตนมีหน้าตางดงาม     แต่บางตนก็มีหน้าตาเหี่ยวย่น   หนวดเครารุงรังไม่น่าดูเนื่องจากผู้ที่จะสำเร็จปรอทเป็นบุคคลหลายจำพวก    แม้เมื่อได้รับการชุบให้เป็นวิทยาธรแล้วก็ยังไม่ทิ้งเค้าของชาติกำเนิดเดิม

ภาพจากสมุดภาพวัดหัวกระบือ เล่ม ๑ ของคุณ วาโยรัตนะ

นักสิทธิ์วิทยาธรในสมุดภาพวัดหัวกระบือเล่มนี้มีทั้งหมด ๓ คู่ (๖ภาพ) ทุกภาพมีหน้าตาแปลก ๆ กันไป แต่ไม่ครบ ๑๒ เชื้อชาติอย่างที่โบราณเรียกว่าวิทยาธร ๑๒ ภาษา ทุกตนประนมมือถือช่อดอกไม้บูชาพระพุทธคุณ ในภาพนี้วิทยาธรเทิดมือทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะแบบ “อุตตมางคศิโรตม์” เฟื่องช่อดอกไม้ที่อ่อนโน้มลงมาให้ความรู้สึกถึงศรัทธาอันบริสุทธิ์

ป็นอันว่าครบถ้วนกระบวนความทั้ง ๓ ตอนของสมุดภาพวัดหัวกระบือ เล่ม ๑ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านผู้อ่านและท่านผู้ชม คงจะได้รับรู้ถึงอรรถรสของสุนทรียภาพแห่งความงาม ในงานจิตรกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายแล้วในระดับหนึ่ง ในโอกาสต่อ ๆ ไปผมจะได้พยายามค้นคว้าเสาะหาข้อมูล ที่เป็นประโยชน์ในการศึกษาผลงานศิลปะของไทยเราแขนงต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมาอีก ซึ่งจะส่งผลให้เห็นถึงวิวัฒนาการจากอดีตมาสู่ปัจจุบันได้อย่างชัดเจนขึ้น หากแม้นว่าท่านผู้อ่าน หรือท่านผู้ชม จะมีข้อเสนอแนะประการใดและได้กรุณาให้คำติชมต่อเรื่องที่นำเสนอมานี้ ผมยินดีน้อมรับทุก ๆ ความคิดเห็นเพื่อที่จะได้นำมาปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ครับ...

จากสมุดภาพวัดหัวกระบือเล่มนี้ มีลักษณะเป็นสมุดไทยขาว เขียนด้วยหมึกดำ ตัวอักษรขอม ภาษาบาลี เรื่อง พระพุทธคุณคัมภีร์ สถานที่เก็บรักษาคือ วัดหัวกระบือ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร

สรุปว่าวิทยาธร : คือ พวกที่ทรงความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ มีศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการคือ

1.        ยุทธศาสตร์ วิชานักรบ

2.        รัฐศาสตร์ วิชาการปกครอง
3.        นิติศาสตร์ วิชากฎหมายและจารีตประเพณีต่างๆ
4.        วาณิชยศาสตร์ วิชาการค้า
5.        อักษรศาสตร์ วิชาหนังสือ
6.        นิรุกติศาสตร์ วิชารู้ภาษาของตนแตกฉานดี และรู้ภาษาของชนชาติที่ติดต่อกัน
7.        คณิตศาสตร์ วิชาคำนวณ
8.        โชติยศาสตร์ วิชาดูดวงดาวต่างๆ คือรู้จักว่าดวงดาวนั้นๆ ตั้งอยู่ทางทิศนั้นๆ และประจำเมืองนั้นๆ และรู้จักสีแสงของดวงดาวต่างๆ อันบอกลางดีและลางร้ายในกาลบางครั้ง
9.        ภูมิศาสตร์ วิชารู้พื้นที่ต่างๆ หรือรู้จักแผนที่ของประเทศต่างๆ
10.     โหราศาสตร์ วิชาโหร คือรู้พยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ ได้ และรู้ทายดวงชาตาราศีของคนได้ด้วย
11.     เวชศาสตร์ วิชาหมอยา
12.     สัตวศาสตร์ วิชารู้ลักษณะของสัตว์และเสียงสัตว์ว่าร้ายหรือดี
13.     เหตุศาสตร์ วิชารู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งผลว่าร้ายหรือดี
14.     โยคศาสตร์ ยันตรศึกษา คือรู้จักความเป็นช่างกล
15.     ศาสนศาสตร์ วิชารู้เรื่องศาสนา คือรู้จักประวัติความเป็นมาแห่งศาสนาทุกๆ ศาสนาที่มหาชนนิยม เพื่อปฏิบัติไม่ขัดแก่สังคมใดๆ และรู้ข้อสอนในศาสนานั้นๆ ด้วย
16.     มายาศาสตร์ วิชารู้กลอุบาย หรือรู้ตำรับพิชัยสงคราม
17.     คันธรรพศาสตร์ วิชาคนธรรพ์คือวิชาร้องรำ(ละคอน) ที่เรียกชื่อว่า "นาฏยศาสตร์" และวิชาดนตรีปี่พาทย์ ที่เรียกชื่อว่า "ดุริยางคศาสตร์"
18.     ฉันทศาสตร์ วิชาประพันธ์ คือแต่งหนังสือได้ ทั้งที่เป็นร้อยกรอง(บทกลอน) และร้อยแก้ว(ความเรียง)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://janthawoot.exteen.com/

นักสิทธิ์  ตามคติของอินเดียนั้น นักสิทธิ์และวิทยาธรจัดอยู่ในจำพวกเดียวกัน คือ เป็นผู้สำเร็จวิชาหรือเป็นผู้ทรงวิชาทางเวทมนตร์ สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ สิ่งที่โปรดปรานของพวกนักสิทธิ์วิทยาธรคือ “ผู้หญิง” จึงมักพากันไปแย่งปลิดลูกมักกะลีผล หรือ นารีผล จนถึงกับวิวาทกัน

ตามความใน “มหาภารตะ” และ “รามายณะ” กล่าวว่า  พวกนักสิทธิ์เป็นชาวอุตตรกุรุทวีป เป็นกึ่งมนุษย์กึ่งเทพ  เป็นผู้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ และไม่มีแก่เฒ่า เพราะได้กินน้ำของลูกไม้ทิพย์ชนิดหนึ่งเรียกว่า  ลูกชมพู (ลูกหว้า)

พวกนักสิทธิ์มีอายุยืน มีแต่ความสุขสนุกสนาน เมื่อตายจะมีนกวิเศษเรียกว่า นกภารุณฑ์ มานำไปไว้ในถ้ำ  แผ่นดินของพวกนักสิทธิ์นี้อยู่ในแดนโลกมนุษย์ทางเหนือ  พ้นเขตที่พระอาทิตย์และพระจันทร์จะส่องไปถึง

พวกมนุษย์ไปไม่ถึง เพราะล่วงล้ำเข้าไปไม่ได้  ถ้ามนุษย์สามารถไปถึงฝั่งแม่น้ำได้ และน้ำในแม่น้ำถูกตัวใครก็จะกลายเป็นหินไปทันที  ริมฝั่งแม่น้ำมีต้นอ้อ (กิจกะ) ขึ้นอยู่ทั้งสองฟาก  ซึ่งพวกนักสิทธิ์ใช้เป็นยานพาหนะสำหรับข้ามไปมา

วิทยาธร คือ ผู้มีวิชากายสิทธิ์ ; เทพบุตรพวกหนึ่งที่มีฐานะต่ำกว่าเทวดา มีหน้าที่เล่นดนตรีบนสวรรค์ (บ. ,พก. /๒๕๒๕ / ๕๔๕.)

วิทยาธรผู้ชาย มีฤทธิ์ด้วยเวทมนต์และมีพระขรรค์วิเศษ ซึ่งเพียงกวัดแกว่งก็สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้  แต่วิทยาธรผู้หญิง ต้องสวมปีกหางที่ประดิษฐ์ขึ้น จึงจะบินไปได้เหมือนนก มิฉะนั้นจะต้องใช้มนตร์เรียกพระพายให้พัดตัวลอยไปในอากาศ  แต่ผู้หญิงนิยมใช้ปีกหางที่ประดิษฐ์ขึ้นมากกว่ามนตร์ เพราะมนตร์เสื่อมง่าย

วิทยาธร มีชื่อเรียกได้อีกหลายชื่อ คือ วิชาธร พิทยาธร เพทยาธร หรือ เทพยาธร  แต่ที่นิยมเรียกกันมาก คือ วิชาธร วิทยาธร  เพศหญิงเป็นวิชาธรี วิทยาธรี

โดยชมรมพระพิฆเณศ गणेश ณ.โคราช

ไม่มีความคิดเห็น: