ผมเคยฝันว่าเดินขึ้นสวรรค์ สุดลูกหูลูกตา |
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งฝันว่า ได้เดินทางขึ้น เมืองสวรรค์ คือคนที่
ไปด้วยกันนะเขาพูดกัน โดยมีคนเดินทางกันไปมากๆๆเลย เป็นบันไดขึ้นไป ผมไปกับเมียและลูกขณะนั้นลูกชายผมอายุประมาณ 4 ขวบ เป็นบันไดสีออกขาวๆกว้างพอสมควร (เหมือนในรูปซ้ายมือเป๊ะ แต่รูปนี้ผมเอาจาก เวปไซด์ใครไม่รู้ ใช้ phooto shop แต่งขึ้นมาใหม่) โดยที่บันไดค่อยๆทอดยาวขึ้นไปบนท้องฟ้ายาวมากๆๆๆ ลักษณะคล้ายๆคอนกรีต ขาวๆเก่าๆหน่อย ไม่มีต้นไม้หรือหญ้าขึ้นข้างทาง มีแต่เมฆหรือควันขาวๆเดินขึ้นไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เจอพระหนุ่มรูปหนึ่งรูปร่างผอมสันทัด ไม่ยอมให้ลูกชายผมขึ้นไปด้วย ผมก็ไม่ยอมจะเอาไปให้ได้ พระองค์นั้นก็ไม่ยอมเถียงกันผลักกันไปกันมาตกใจตื่นพ้น เลยไม่รู้ว่าสวรรค์จะเป็นยังไง
สำหรับเรื่องไปเมืองสวรรค์นี้ พ่อผมเคยเเล่าให้ผมฟังเมื่อครั้งผมยังเด็ก ว่าท่านเคยฝันว่าไปมาจริงๆไปเห็นเจดีย์จุฬามณีมาด้วยท่านบอกว่าสวยงามมากๆ จนติดตาท่านเชื่อของท่านเต็ม 100ว่ามีอยู่จริง ไปดูเรื่องสวรรค์ที่ผู้รู้บอกไว้ คนบอกคนแรกก็ไม่รู้ว่าใคร บอกไว้แต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีบันทึก มีอยู่จริงเท็จประการใดน่าจะเป็นเรื่องอจินไตยจริงๆ :
เทวดา ๖ ชั้น
ชั้นจาตุมหาราชิกา ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
๑.จาตุมหาราชิกา
นับห่างจากแผ่นดินที่เราอยู่ ขึ้นไปเบื้องบนได้ 46,000 โยชน์ ก็จะถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ตั้งอยู่บนยอดเขายุคันธร ทางทิศใต้เป็นเขาสิเนรุราช มีเมืองสวรรค์สำหรับเทวดาอยู่ 4 เมือง มีกำแพงล้อมรอบ ประดับประดาด้วยแก้ว 7 ประการ บานประตูทำด้วยแก้ว มีปราสาทอยู่เหนือประตูทุกด้าน ภายในเป็นแผ่นดินทองคำ แวววาวงดงาม แก้วที่ประดับพื้นเมือง เหยียบลงไปก็อ่อนนุ่มยุบลงเล็กน้อย แล้วก็เต็มขึ้นมาเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังมีสระน้ำ ใสยิ่งกว่าแก้ว มีดอกบัว 5 ชนิดบานอยู่ มีกลิ่นหอมมาก มีดอกไม้และต้นไม้ที่งามเลิศ มีผลไม้อร่อยยิ่งนัก ต้นไม้นี้ออกดอก ออกผลตลอดปีไม่รู้วาย
ทิศตะวันออก
ทางทิศตะวันตก
เทวดาที่เป็นใหญ่ ทรงนามว่า "ท้าววิรูปักษ์มหาราช" ปกครองเหล่าครุฑและนาค รวมทั้งเหล่า เทวดาทั้งหลาย ในบริเวณกำแพงจักรวาล ด้านทิศตะวันตก
ทางทิศใต้
เทวดาผู้เป็นใหญ่ ทรงนามว่า "ท้าววิรุฬหกมหาราช" ปกครองเหล่ายักษ์ ที่ชื่อว่า "กุมภุณฑ์" รวมทั้งเหล่าเทวดาทั้งหมด ในบริเวณกำแพงจักรวาล ด้านทิศใต้
ทางทิศเหนือ
เทวดาผู้เป็นใหญ่ทรงพระนามว่า "ท้าวไพศรพณ์มหาราช" ปกครองเหล่ายักษ์ รวมทั้งเทวยดาทั้งหมด ในบริเวณกำแพงจักรวาล ด้านทิศเหนือ
เทวดาชั้นนี้มีอายุยืนถึง 500 ปีทิพย์ ถ้าเปรียบเทียบกับมนุษย์เราได้ 9 ล้านปี มนุษย์ผู้ใดทำบุญไว้ดี ก็จะเกิดเป็นเทพยดา มีปราสาทแก้ว เงินทอง และสมบัติทิพย์มากมาย ถ้าเทวดาเกิดในที่ชายผ้าพับ ของเทวดาองค์ใด ก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกสาว ของเทวดาองค์นั้น ถ้าเทวดาเกิดเหนือที่นอน ก็นับเป็นเมียเทวดา ผู้เป็นเจ้าของวิมาน ถ้าเทวดาเกิดที่เชิงฐานบัลลังก์ ของเทวดา ก็มีฐานะเป็นสาวใช้ของเทวดานั้น ถ้าเทวดาใดทำบุญไว้น้อย ได้ไปเกิดที่ประตูประสาท หรือภายในกำแพงของเทวดาองค์ใด ก็จะมีฐานะเป็นข้ารับใช้ ของเทวดาองค์นั้น
เทวดาเมื่อไปเกิดในแดนสวรรค์นั้น มีร่างกายโตใหญ่ขึ้นทันที อีกครู่หนึ่งต่อมา ก็มีเครื่องประดับสวยงาม มีวัยเป็นหนุ่มเป็นสาวอายุ 16 และคงสภาพเช่นนี้ตลอดไป เทวดาจะมีร่างกายสะอาด บริสุทธิ์ปราศจากมลทิน ภายในกายปราศจากกลิ่นเหม็น แม้เพียงเล็กน้อย เทวดาทั้งหลายรู้จักเนรมิตกาย ให้ใหญ่โตและเล็ก ตามความประสงค์ได้ อาหารของเทวดาคือ อาหารทิพย์ การเจ็บป่วย จะไม่บังเกิดแก่เทวดาเลย มีแต่ความสุขใจตลอดเวลา
๒.ชั้นดาวดึงส์
อยู่เหนือสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาขึ้นไป ตั้งอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ เป็นที่อยู่ของพระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้งหลาย ตัวเมืองกว้างขวาง ใหญ่โตมากและด้านยาวถึง 8 ล้านวา มีปราสาทแก้ว ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว มีประตู 1,000 ประตู ทุกประตูมียอดปราสาท ทำด้วยทองประดับด้วยแก้ว 7 ประการ เวลาเปิดปิดกระตู จะมีเสียงดังไพเราะราวกับดนตรี กลางนครดาวดึงส์ปราสาทชื่อ "ไพชยนต์ปราสาท" งดงามมากสุดจะพรรณา เป็นที่ประทับของพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่
ทางทิศตะวันออก ของนครดาวดึงส์ มีสวนทิพย์ชื่อ "นันทวัน" มีสมบัติทิพย์ และไม้ผลไม้ดอกมากมาย เป็นสถานที่เล่นสนุกสนาน สำหรับเทวดาในชั้นนี้ ด้านทิศใต้ของนครดาวดึงส์ มีสวนอุทยานใหญ่ชื่อ "ผารุสกวัน" ต้นไม้อยู่ในสวนนี้ มีลักษณะอ่อนค้อม ราวกับมีผู้ดัดไว้ ทางทิศตะวันตกของนครดาวดึงส์ มีอุทยานใหญ่อีกแห่งหนึ่ง เป็นที่เล่นสนุกสนานถูกใจเทวดาทั้งหลาย ชื่อว่า "จิตรลดา" ต้นไม้และเถาวัลย์ในสวนนี้ สวยงามราวกับมีผู้แต่งประดับไว้ ทางทิศเหนือของนครดาวดึงส์ มีอุทยานใหญ่ชื่อ "มิสสกวัน"
ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของนครดาวดึงส์ มีสวนใหญ่ชื่อ "มหาพน" เป็นสวนสนุกเพลิดเพลิน กำแพงล้อมรอบเป็นทองคำ มีปราสาทแก้วอยู่เหนือประตูทุกแห่ง ปราสาททองคำ 1,000 หลัง
ประดับด้วยแก้ว 7 ประการ มีสระแก้วงดงามมาก ใต้พื้นสระมีแท่นแก้ว อยู่ในรถไพชยนต์ แท่นแก้วมีกลดแก้วกางอยู่ กว้างหนึ่งโยชน์ หัวรถไพชยนต์มีม้าแก้ว 2,000 ตัว มีสร้อยมุกดาห้อยประดับ พร้อมทั้งมาลัยดอกไม้ทิพย์ แล้วแก้วทองห้อยประดับอยู่มากมาย อีกทั้งมีสระไบแก้ว และกระพรวนทอง มีรัศมีงดงาม เวลาลมพัดจะได้ยินเสียงดังก้อง ราวเสียงพิณพาทย์
คลิปโลกธาตุน่าดู ทำได้สวยงามดีครับ
ที่เขาพระสุเมรุนั้น มีช้างตัวหนึ่งชื่อ "ไอยราพต" ช้างตัวนี้ไม่ใช่สัตว์เดรัจาฉาน เพราะในเมืองสวรรค์ ไม่มีสัตว์เดรัจฉานอยู่เลย มีเทวดาองค์หนึ่งชื่อ "เอราวัณเทวบุตร" ยามเมื่อพระอินทร์เสด็จไปเล่นที่ใดก็ตาม เอราวัณเทวบุตรก็จะเนรมิตรตัว เป็นช้างเผือกเชือกใหญ่สูง หนึ่งล้านสองแสนวา มีเศียร 33 เศียร มีเศียรเล็กๆ อีก 2 เศียร ใหญ่ที่สุดตรงกลางชื่อ "สุทัศน์" เป็นที่ประทับของพระอินทร์ มีปราสาทตั้งอยู่ตรงกลาง มีพรวนทองคำห้อยประดับกวัดแกว่งไปมา เศียรข้างทั้ง 33 เศียรนั้น แต่ละเศียรมีงา 7 งา งาแต่ละอันมีสระ 7 สระ แต่ละสระมีกอบัว 7 กอ บัวแต่ละกอมี 7 ดอก ดอกบัวแต่ละดอกมี 7 กลีบ แต่ละกลีบมีนางฟ้ายืนรำ 7 คน นางฟ้าแต่ละคนมีสาวใช้ 7 นาง เมื่อใดที่พระอินทร์เสด็จประทับเหนือแท่นแก้ว ในหัวช้างเอราวัณนั้น มเหสีทั้ง 4 องค์ของพระอินทร์ ต้องเสด็จตามไปเฝ้าอยู่เสมอ ได้แก่ นางสุธัมมา นางสุชาดา นางสุนันทา และนางสุจิตรา นอกจากนี้ ยังมีนางฟ้าที่เป็นมเหสีอีก 92 องค์ และมีเทพธิดาที่บรรเลงดนตรี ถวายพระอินทร์อีกมากมาย เสียงดนตรีที่ปรากฏบนสวรรค์ ไพเราะเพราะพริ้งยิ่งนัก และมีความมหัศจรรย์มาก เครื่องดนตรีทุกชนิด ไม่ว่าพิณ กลอง สังข์ บัณเฑาะว์ ปี่ สามารถดังขึ้นมาเองได้ หากมีผู้บรรเลงดนตรีชนิดใดขึ้นมา เครื่องดนตรีชนิดเดียวกันนั้น อีกหกหมื่นชิ้นก็จะบรรเลงได้เอง
ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของนครดาวดึงส์นี้ มีพระเจดีย์องค์หนึ่งชื่อ "พระจุฬามณีเจดีย์" รุ่งเรืองงามประดับด้วยแก้วอินทนิล ตั้งแต่กลางยอดเจดีย์ ไปจนถึงยอดเป็นทอง ประดับด้วยแก้ว 7 ประการ สูง 80,000 วา มีกำแพงล้อมรอบ มีธงปฎากและธงชัย เทวดาทั้งหลาย ก็ถือเครื่องดีดสีตีเป่าต่างๆ มาบรรเลงบูชาถวายพระเจดีย์ทุกวัน มิได้ขาด พระอินทร์เสด็จไปนมัสการพระเจดีย์ พร้อมด้วยหมู่เทพยดา และนางฟ้าทั้งหลาย ทรงนำข้างตอกดอกไม้ ธูปเทียน ของหอมและชวาลาทั้งหลาย ถวายแก่องค์พระเจดีย์มิได้ขาด
นอกเมืองดาวดึงส์นี้ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีอุทยานชื่อ "บุณฑริกวัน" มีกำแพงล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน มีปราสาทแก้วอยู่เหนือประตูทุกๆ ประตู มีต้นทองหลางใหญ่ชื่อ "ปาริชาติ กัลปพฤกษ์" ใต้ต้นไม้นี้มีแท่นศิลาแก้วสีแดงเข้ม อ่อนนุ่มราวกันฟูกและหมอน ใกล้ต้นปาริชาตินั้น มีศาลาใหญ่ชื่อ "สุธรรมาเทวสภาคยศาลา" งามยิ่งกว่าศาลาอื่นๆ พื้นศาลาเป็นแก้ว 7 ประการ มีกำแพงล้อมรอบ มีดอกไม้ชนิดหนึ่งชื่อ "อาสาพตี" มีกลิ่นหอมมาก ดอกไม้นี้บานช้ามาก เวลา 1 พันปีจึงจะบาน เมื่อดอกบานทั่วทุกกิ่งก้านแล้ว จะมีแสงรุ่งเรืองมาก ที่ศาลานั้นมีราชอาสน์ทิพย์ของพระอินทร์ อีกทั้งที่นั่งของเทวดาทั้ง 32 องค์ ที่เคยได้กระทำบุญร่วมกับพระอินทร์ ในปางก่อน และยังมีที่นั่งของเทวดาทั้งหลาย เรียงกันตามลำดับ
พระอินทร์เสด็จไปในสุธรรมาเทวสภาคยศาลา เพื่อให้เทวดาทั้งหลาย มาชุมนุนกันในที่นั้น เมื่อใดเทวดาทั้งหลาย ต้องการจะฟังธรรม ก็จะมีพรหมองค์หนึ่งชื่อ "สนังกุมาร" ลงมาจากพรหมโลก เนรมิตตนเป็นคนธรรพ์ชื่อ "ปัญจสิงขร" ปัญจสิงขรคนธรรพ์ จะขึ้นนั่งเหนือธรรมาสน์เพื่อเทศนาธรรม หากว่าพรหมสนังกุมาร ไม่มาเทศนาธรรมให้เทวดาทั้งหลายฟัง บางครั้งเทวดาในสวรรค์ ที่เป็นผู้รู้ธรรมก็จะ
ได้รับเชิญ ให้ขึ้นเทศนาธรรมในที่นั้น ในบางครั้งพระอินทร์ ก็ทรงขึ้นธรรมาสน์เทศนาธรรมเอง เมื่อใดพระอินทร์ทรงเทศนาธรรม ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ก็จะพาบริวารไปเฝ้าทั้ง 4 ทิศ และหมู่คนธรรพ์ ก็จะนำเครื่องดนตีทั้งหลาย มาบรรเลงร่ายรำกัน อยู่ที่ปลายเขากำแพงจจักรวาลทั้ง 4 ด้าน
ยังมีปราสาทแก้ว ปราสาททองอีกมากมาย อันเป็นวิมานของเทวดาทั้งหลาย อยู่ในอากาศสูงเทียมเท่าเขาพระสุเมรุ เทวดาทั้งหลายนี้มีอายุยืนถึง 1,000 ปีทิพย์ หรือ 36 ล้านปี ในเมืองมนุษย์ สมบัติและยศศักดิ์ทั้งหลายของพระอินทร์ และเหล่าเทวดาที่ได้มานั้น เพราะได้กระทำบุญกุศลธรรมมาแต่ก่อน ผู้ใดปรารถนาจะได้ไปเกิดในเมืองสวรรค์ อย่าได้ประมาทลืมตน ควรเร่งขวนขวายทำบุญกุศล ให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ดูแลบิดามารดา ผู้เฒ่าผู้แก่ ครูอาจารย์ และสมณพราหม์ผู้ทรงศีล ก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนี้
๓.ชั้นยามา
นับจากดาวดึงส์สวรรค์ขึ้นไป 84,000 โยชน์ ก็จะถึงสวรรค์ชั้นยามา เทวดาที่อยู่ในสวรรค์ชั้นนี้ จะมีปราสาทแก้ว ปราสาททองเป็นวิมาน มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีสวนอุทยานแก้ว และมีสระโบกขรณี เทวดาทั้งหลาย ที่หน้าตารุ่งเรืองงดงามยิ่งนัก กายสูง 8,000 วา "พระสุยามเทวราช" เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นนี้ ในชั้นฟ้านี้ไม่มีแสงอาทิตย์เลย เพราะอยู่สูงกว่าพระอาทิตย์มากนัก เทวดาทั้งหลายมองเห็นได้ด้วย แสงรัศมีจากแก้วทั้งหลาย และรัศมีจากตัวเทวดานั่นเอง ส่วนจะรู้เช้าหรือค่ำได้ ก็อาศัยดูจากดอกไม้ทิพย์ ถ้าเห็นดอกไม้ทิพย์บาน จึงรู้ว่ารุ่งเช้า ถ้าเห็นดอกไม้นั่นหุบ จึงรู้ว่าเป็นยามกลางคืน อายุเทวดาในชั้นนี้ยืนถึง 2,000 ปีทิพย์ หรือ หนึ่งร้อยสี่สิบสี่ล้านปี ในเมืองมนุษย์
๔.ชั้นดุสิต
นับจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไปอีก 18,000 โยชน์ จึงจะถึงสวรรค์ชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นนี้มีวิมานเป็นปราสาทแก้ว และปราสาททอง มีกำแพงแก้วล้อมรอบ ไม่ว่าจะเป็นความกว้าง ความสูง ความงาม มีมากกว่าปราสาทของเทวดาทั้งหลาย ในสวรรค์ชั้นยามาทั้งสิ้น มีสระและสวนเช่นในสวรรค์ชั้นฟ้าทั้งหลาย เทวดาผู้เป็นใหญ่ชั้นนี้คือ "พระสันตุสิตเทพยราช" เทวดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ รู้บุญรู้ธรรม แม้แต่พระโพธิสัตว์ ผู้สร้างสมบารมี ก่อนจะเสด็จลงมาเป็นพระพุทธเจ้า ก็สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นนี้บนสวรรค์ชั้นนี้มีเทพเจ้าสำคัญๆ ได้แก่ สิริมหามายาเทพเจ้า ก็คือพระนางสิริมหามายา ซึ่งเป็นพุทธมารดา เมื่อประสูติพระพุทธเจ้าได้ 7 วันก็สวรรคต
แล้วมาเกิดเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงกระทำยมกปาฏิหารย์ทรมาน เดียรถีย์นิครนถ์เสร็จแล้ว ได้รำลึกถึงพระมารดาจึงได้เสด็จขึ้นมาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ประทับเหนือแท่นบัณฑุกัมพลใต้ต้นปาริชาติ ฝ่ายพระอินทร์พอทราบข่าวก็ได้ป่าวประกาศให้เทวดาทั้งหลายไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธองค์ทอดพระเนตรเทวดาเหล่านั้นแล้วไม่เห็นพระชนนีก็ได้ตรัสถามพระอินทร์ พระอินทร์จึงทรงทราบว่าพระพุทธองค์คงมีพระประสงค์จะเทศนาโปรดพุทธมารดาให้บรรลุพระอริมรรคอริยผล จึงเสด็จไปทูลเชิญสิริมหามายาเทพบุตรลงมายังดาวดึงส์ พระพุทธองค์ได้เทศนาพระสัตตปกรณาภิธรรมทั้งเจ็ดพระคัมภีร์ เสร็จแล้วสิริมหามายาเทพบุตรก็ได้สำเร็จพระโสดาบัตติผล)พระโพธิสัตว์บนสวรรค์ชั้นดุสิตนี้เป็นที่ประทับของพระโพธิสัตว์ที่รอคอยโอกาสที่จะเสด็จลงมาบนโลก
พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็เคยประทับอยู่ก่อนที่จะมาจุติลงบนโลกมนุษย์ เมื่อทรงประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตพระองค์นามว่า พระเสตุเกตุเทพบุตรและได้จุติบนโลกเมื่อเหล่าเทวดาไปทูลอาราธนา พระศรีอาริยเมตไตรย พระโพธิสัตว์องค์สุดท้ายในภัทรกัป ขณะนี้ประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตรอเวลาที่จะจุติมาบนโลก เพื่อจะตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า มีคำทำนายว่าจะมาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีพระนามว่า อชิต (ผู้ที่ไม่พ่ายแพ้ )
พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็เคยประทับอยู่ก่อนที่จะมาจุติลงบนโลกมนุษย์ เมื่อทรงประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตพระองค์นามว่า พระเสตุเกตุเทพบุตรและได้จุติบนโลกเมื่อเหล่าเทวดาไปทูลอาราธนา พระศรีอาริยเมตไตรย พระโพธิสัตว์องค์สุดท้ายในภัทรกัป ขณะนี้ประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตรอเวลาที่จะจุติมาบนโลก เพื่อจะตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า มีคำทำนายว่าจะมาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีพระนามว่า อชิต (ผู้ที่ไม่พ่ายแพ้ )
ขณะนี้พระศรีอาริยเมตไตรย ผู้จะเสด็จลงมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในภัทรกัป ก็สถิตอยู่ที่สวรรค์ชั้นนี้ และเทศนาธรรมให้เทวดาทั้งหลายฟัง อยู่ทุกเมื่อมิได้ขาด อายุของเทวดาในชั้นนี้ มีอายุยืนถึง 4,000 ปีทิพย์ หรือ ห้าร้อยเจ็ดสิบหกล้านปี ในเมืองมนุษย์
๕.ชั้นนิมานรดี
นับจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป 336,000 โยชน์ ก็ถึงสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ซึ่งมีปราสาทแก้วปราสาททอง มีกำแพงแก้ว กำแพงทอง มีแผ่นดินเป็นทองราบเรียบ และมีสระน้ำสวนแก้ว เหมือนสวรรค์ชั้นดุสิตทุกประการ แต่งามขึ้นไปอีก นิมมานรดีภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นที่เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าที่มีความยินดีด้วยกามคุณที่ตนเองนิรมิตขึ้น สวรรค์ชั้นนี้มีสมเด็จพระนิมมิตเทวราชเป็นผู้ปกครอง บนสวรรค์ชั้นนี้มีปราสาท มีสระ และสำราญทั้งหลายของเทวดา ประณีตงดงามเท่าสวรรค์ชั้นดุสิต เทวดาในสวรรค์ชั้นนี้ถ้ามีปรารถนาที่จะได้สิ่งใดก็สามารถที่จะนิรมิตเองได้ทุกสิ่ง เทวดาชั้นนี้มีอายุยืนได้ 8,000 ปีทิพย์ หรือ สองพันสามร้อยสี่ล้านปี ในเมืองมนุษย์
๖.ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
หนือขึ้นไปจากสวรรค์ ชั้นนิมมานรดี 672,000 โยชน์ ก็จะถึงสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี สวรรค์ชั้นนี้ประเสริฐด้วยสุขสมบัติ มากยิ่งไปกว่าสวรรค์ชั้นต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว หากว่าปรารถนาจะได้ สรรพทิพย์อาหารใดๆ ก็จะมีเทวดาองค์อื่นๆ มาเนรมิตให้ดั่งใจปรารถนา เทวดาในชั้นนี้สูงถึง 64,000 วา เทพยดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นนี้ชื่อว่า "พระปรนิมมิตวสวัตตีเทวราช" เป็นใหญ่เหนือเทวดาทั้งหลายฝ่ายหนึ่ง และ "พระยามาราธิราช" เป็นใหญ่ในหมู่มารทั้งหลายฝ่ายหนึ่ง ในชั้นนี้จึงมีผู้เป็นใหญ่ 2 องค์ ไม่เคยไปหากันเลย สวรรค์ทุกชั้นมีอาณาเขต จดขอบแดนจักรวาล อายุของเทวดา ในสวรรค์ชั้นนี้ยืนได้ 16,000 ปีทิพย์ หรือ แปดพันสองร้อยสิบหกล้านปี ในเมืองมนุษย์
เทวดาทั้งหลายจะสิ้นอายุ จากเมืองฟ้านั้นเป็นไปได้ 4 ประการ คือ
1. อายุขยะ สิ้นชีวิตตามอายุในสวรรค์ชั้นนั้น
2. บุญญขยะ สิ้นชีวิตก่อนถึงกำหนดอายุในสวรรค์ชั้นนั้น
3. อาหารขยะ สิ้นชีวิตเพราะสนุกจนลืมกินอาหาร
4. โกรธขยะ สิ้นชีวิตเพราะความโกรธ เมื่อเทพยดาโกรธ หัวใจจะกลายเป็นไฟไหม้ตนเอง
เทวดาทั้งหลาย แม้ว่าเสวยอาหารแล้ว ก็จะไม่มีลามกอาจม เหมือนที่มนุษย์เรามีเลย เมื่อเวลาที่เทวดาจุติจากสวรรค์นั้น ร่างกายก็จะหายไปเลย ถ้าเทวดาผู้มีบุญนั้น ก่อนจะจุติ 7 วัน จะเห็นนิมิต 5 ประการ คือ
1. เห็นดอกไม้ในวิมานของตนเหี่ยว และไม่หอม
2. ผ้าที่ทรงดูหม่นหมอง
3. อยู่ไม่เป็นสุข มีเหงื่อไคลออกจากรักแร้
4. อาสนะร้อนและแข็งกระด้าง
5. กายของเทพยดานั้นเหี่ยวแห้ง เศร้าหมอง ไม่มีรัศมี
แม้ว่าเทวดาทั้งหลาย จะมีความสุขสมบัติปานใดก็ดี ก็ยังหมดสิ้นจากความสุข และสมบัติต่างๆ ลงได้ ฉะนั้นมนุษย์เราทั้งหลาย จะยึดมั่นในสมบัติ หรืออายุของตนได้อย่างไร เหตุฉะนี้พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายก็ดี จึงไม่ปรารถนาในสุขสมบัติ ในสังสารวัฏนี้ ท่านจึงเสด็จเข้าสู่นิพพานสมบัติ เพราะเหตุนี้เอง การจะเกิดมาได้สุขสมบัติ ในเทวโลกก็ดี มนุษย์โลกก็ดี ก็เพราะได้กระทำบุญมาก่อน รวมทั้งเหตุ 3 ประการ คือ อโลโภเหตุ (ไม่โลภอยากได้ทรัพย์สินของผู้อื่น) อโทโสเหตุ
(ไม่โกรธแค้นกล่าวโทษ หรือริษยาผู้อื่น) อโมโหเหตุ (ไม่หลง ไม่กระทำบาป ทำแต่บุญ) เหตุทั้ง 3 ประการนี้จะทำให้มียศศักดิ์ และสุขสมบัติ ได้กล่าวสวรรค์ในฉกามาพจรภูมิ โดยสังเขปแต่เพียงเท่านี้
ตำนานเมืองสวรรค์วัดเขาไกรลาส
ตำนานเมืองสวรรค์วัดเขาไกรลาส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น