คนธรรพ์ดีดดพิณ |
คนธรรพ์ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายว่า เป็นชาวสวรรค์พวกหนึ่ง เป็นบริวารท้าวธตรฐ มีความชํานาญในวิชาดนตรีและขับร้อง คนธรรพ์ มีแต่เพศชาย คู่กับ อัปสระ หรืออัปสร ซึ่งเป็นเพศหญิงล้วน และเป็นชาวสวรรค์เช่นกัน คนธรรพ์มีกำเนิดต่างจากกับอัปสรซึ่งเกิดเมื่อครั้งกวนเกษียรสมุทร ส่วนกำเนิดคนธรรพ์นั้น มีแต่ตำนานพระพุทธศาสนาที่ว่าเกิดจากต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม
ในหมู่คนธรรพ์แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ คนธรรพ์ชั้นสูง มีวิมาน อยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เช่น ปัญจสิขเทพบุตร มีเทพธิดาประจำอยู่ในวิมาน, คนธรรพ์ชั้นกลาง เกิดอยู่ในป่าหิมพานต์ มีวิมานอยู่ในต้นไม้ และเป็นบริวารของคนธรรพ์ชั้นสูง และคนธรรพ์ชั้นล่างอยู่บนพื้นมนุษย์ สิงอยู่ในต้นไม้จำพวก ไม้หอม เช่น นางตะเคียน นางตานี เป็นต้น ส่วนคน ธรรพ์ที่เป็นหัวหน้าของเหล่าคนธรรพ์ เรียกว่า ประคนธรรพ์ หรือประคนธรรพ หรือประโคนธรรพ์ หรือประโคนธรรพ
ในวงการดนตรีไทย ยกย่องพระประคนธรรพว่าคือครูตะโพน และตะโพนทุกๆ ใบคือตัวแทนของท่าน ที่อาจมีสาเหตุเกี่ยวเนื่องมาจากพระประคนธรรพเป็นประธานควบคุมการบรรเลงเพลงสาธุการ ซึ่งมีเรื่องที่เล่าว่า
เก็บเล็กผสมน้อยเรื่องคนธรรพ์
เมื่อแรกที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ท้าวผกาพรหมได้ท้าประลองฤทธิ์ด้วย โดยให้ผลัดกันซ่อนตัวแล้วให้อีกฝ่ายค้นหา ท้าวผกาพรหมเป็นฝ่ายซ่อนก่อน เนรมิตกายเป็นละอองธุลีแล้วหลบลงไปซ่อนอยู่ในก้นสมุทรที่ดำมืด แต่ก็ไม่อาจหลบพ้นข่ายพระญานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ครั้นถึงคราวที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นฝ่ายซ่อนบ้าง ทรงเนรมิตพระวรกายให้ย่อเล็กลงเท่าละอองธุลีเช่นเดียวกัน แต่เสด็จขึ้นไปประทับซ่อนอยู่ในมุ่นมวยผม บนเศียรของท้าวผกาพรหมซึ่ง ใช้ทิพยเนตรมองค้นหาจนตลอด ทั่วทั้งไตรภพก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้ ต้องยอมแพ้ พระพุทธเจ้าจึงแสดงพระองค์ให้รู้ว่าประทับอยู่บนมวยผมของท้าวผกาพรหมนั่นเอง
ท้าวผกาพรหมจึงอัญเชิญ ให้เสด็จลงมาจากมุ่นมวยผม ทูลอยู่หลายครั้ง ก็ยังทรงนิ่งเฉยอยู่ จน เมื่อเหล่าคนธรรพ์พากันประโคมบรรเลงเพลงสาธุการขึ้น จึงได้เสด็จลงมา ดังนั้น ในเวลาต่อมาเพลงสาธุการจึงกลายเป็นเพลงที่ใช้ประโคมบรรเลงในพิธีเพื่ออัญเชิญองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเฉพาะ และเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่เริ่มบรรเลงเพลงสาธุการก่อนเครื่องดนตรีชนิดอื่นก็คือตะโพน นักดนตรีไทยจึงถือว่าตะโพนเป็นเครื่องดนตรีศักดิ์สิทธิ์ เป็นตัวแทนของพระประคนธรรพที่บรรเลงประโคมเพลงสาธุการ
ในเรื่องโลกธาตุทางจีนสายพุทธก็มีตำนานโลกธาตุ คล้ายๆกับของไทย แต่ไม่ทราบว่ารับอิทธิพลมาจากอินเดียด้วยหรือเปล่า มีเรื่องราวเกี่ยวกับคนธรรพ์อยู่ด้วย ค้นหาเรื่องราวได้นิดๆหน่อย มีรูปปั้นด้วยผมเจอจากเวปไซด์หนึ่งตามลิงค์ข้างล่างครับ
โลกธาตุตามคติจีนก็มีคนธรรพ์ครับ ภาพจากไซด์ http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=edat&topic=606 |
ท้าวธตรัฐมหาราช หรือ ทิก๊กเทียนอ๋อง |
หรือ ทิก๊กเทียนอ๋อง
เจ้าแห่งคนธรรพ์ ปกครองทิศบูรพา (ตะวันออก)ประจำฤดูร้อน ทรงถือ พิณ เป็นราชาแห่งฝูงคนธรรพ์เป็นผู้ดีดพิณถวายเตือนพระสติพระโพธิสัตว์ในคราวบำเพ็ญทุกขกิริยา ให้หันมาตั้งมั่นในมัชฌิมาปฏิปทา
ซึ่งในคติเบตท้าวธตรฐเป็นเทพเจ้าแห่งความร่าเริง เพราะมีของวิเศษเป็นพิณที่ดีด และเพลงที่เล่นนั้นเป็นเพลงแห่งความสุขกล่อมปวงประชา .....
ในภาพยนต์จีนที่โด่งดังเรื่อง ๘ เทพอสูรมังกรฟ้า ก็มีคนธรรพ์ เป็น ๑ ในเทพฯเหล่านั้น คนธรรพ์ คือ ต้วนอี้-ผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร เพียงหลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เหมือนกับซีจุ๊-หลวงจีนที่ทำผิดวินัยสงฆ์โดยไม่ตั้งใจ ต่อมาได้เป็นราชบุตรเขยของอาณาจักรซี่เซี่ย
|
จะเห็นว่าในคติพุทธ - พราหมณ์ นั้น จะมีเรื่องของคนธรรพ์บันทึกไว้ทั่วทุกภูมิภาคทุกชนชาติ
|
ประวัติคนธรรพ์
วรรณคดีอีกเรื่องที่เล่าถึงคนธรรพ์คือเรื่อง กากี ซึ่งได้เค้าเรื่องมาจากกากาติชาดก มี ๓ สำนวน คือ บทเห่กล่อมพระบรรทม ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศ บทมโหรีเรื่องกากี ของเจ้า พระยาพระคลัง และบทเห่กล่อมบรรทมเรื่องกากี ของสุนทรภู่ เรื่องกากีมีตัวละครเอกตัวหนึ่งเป็นคนธรรพ์ ซึ่งเก่งทางด้านดนตรีและการขับร้อง รับใช้ท้าวพรหมทัต แปลงตัวเป็นไรแทรกขนพญาครุฑไปยังวิมานฉิมพลี และได้เป็นชู้คนหนึ่งของนางกากี
คนธรรพ์ที่มนุษย์ทั้งหลายรู้จักกันดีก็คือ ปัญจสิขร ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการดีดพิณ
เมื่อครั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จกลับจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากที่ทรงแสดงธรรมโปรดพระมารดาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระอินทร์จึงเนรมิตบันไดทองคำถวายและมีปัญจสิขรผู้นี้เป็นผู้ดีดพิณขับร้องถวายพระพรนำเสด็จลงมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงและสำเนียงอันไพเราะหนักหนา เป็นที่โจทก์ขานกันมาตราบจนกระทั่งทุกวันนี้
ภาพจาก...http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=thammakittakon&date=31-07-2009&group=20&gblog=9
ส่วนคำว่า คนธรรพวิวาห์ หมายถึง การได้เสียเป็นผัวเมียกันเองโดยไม่แต่งงาน โดยปรกติเมื่อคนธรรพ์รักชอบนางใดก็จะอยู่ด้วยกันโดยไม่จัดพิธีแต่งงาน จึงเกิดแบบอย่างที่เรียกว่า คนธรรพวิวาห์ คือได้เสียกันเอง คนวรรณะกษัตริย์ก็แต่งงานแบบคนธรรพวิวาห์โดยไม่ถือว่าผิดธรรมเนียม บางท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่า คนธรรพศาสตร์ คนธรรพศาสตร์หมายถึงวิชาดนตรีและขับร้อง และใพจนานุกรมศัพท์วรรณกรรมไทย อธิบายว่า เนื่องจากคนธรรพ์เชี่ยวชาญทางด้านดนตรีและการขับร้องจึงเรียกศาสตร์ด้านนี้ว่าคันธรรพศาสตร์ ส่วนวิชาของคนธรรพ์ที่เรียกว่า คันธรรพเวท นั้น เป็นภาคผนวกของสามเวท ซึ่งเป็น ๑ ในพระเวททั้ง ๔ อันเป็นตำราศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู วิชาคันธรรพพระเวทประกอบด้วยเรื่องเกี่ยวกับดนตรี เพลง ละคร และการร่ายรำ.
เรื่องเล่าจากหลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ จ.กระบ๊่ เรื่องคนธรรพ์
จากไซด์นี้ http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=15476
ถ้ำคนธรรพ์เป็นถ้ำที่ความมหัศจรรย์ ตอนที่พระอาจารย์จำเนียรได้ไปสำรวจในคราวแรก ปากถ้ำลอดเข้าไปได้ แต่มันเป็นแอ่งน้ำย้อยลึกลงไป เมื่อเอาไฟฉายส่องเข้าไปก็เห็นหินย้อยสวยงามมาก วันนั้นที่ปากถ้ำ พระอาจารย์จำเนียรได้พบผู้ชายนุ่งกางเกงตัวเดียวไม่ใส่เสื้อ ร่างสันทัด ผิวคล้ำ ตาคม
ท่าทางบ๊องๆ ทีแรกคิดว่าเป็นชายสติแตก “ท่านมาทำไม เสียงร้องถามของชายคนนั้น” “เข้ามาสำรวจที่นี่โยมอยู่ไหน” “อยู่ที่นี่แหละ” เขาตอบพลางชี้มือเข้าไปในป่า แล้วถามขึ้นอีก” “ท่านอยากเข้าไปดูสมบัติโบราณในถ้ำนี้ไหม”
สมัยที่มีการสร้าง พระบรมธาตุมหาเจดีย์ ที่นครศรีธรรมราช ผู้คนได้เอาพระพุทธรูปได้เอาพระพุทธรูปเงินทอง เพชรนิลจินดาจำนวนมากใส่เรือมาหลายลำ ขณะเดินเรือในทะเลเจอพายุใหญ่ไม่สามารถเดินเรือต่อไปได้ ได้แวะเข้าไปจอดที่อ่าวลูกธนูและขนเอาสมบัติทั้งหมดซ้อนในนี้ มหาสมบัติโบราณได้ถูกซ้อนไว้ตามหลืบหินด้านบน กาลเวลาทำให้หินย้อยลงมาปิดบังมหาสมบัติเอาไว้ ส่วนข้างล่างก็มีบ้างที่หินงอกทับถมไว้ หากเอาหินงอกหินย้อยออกจะพบมหาสมบัติของโบราณ
“ท่านขึ้นหลังผมสิ ผมจะพาไปดูสมบัติ” แต่พระอาจารย์จำเนียรปฏิเสธ “เป็นพระสงฆ์ขี่หลังโยมได้รึ ไม่เอาหรอก น่าเกลียด” “เจ้าคนนี้สงสัยสติไม่ดีแน่ ท่าทางไม่น่าไว้ใจ สงสัยเป็นพวกค้นหาสมบัติตามถ้ำ แต่คงกลัวปู่โสมเฝ้าทรัพย์ จึงคิดอาศัยบารมีพระแน่ๆเลย”
หลายวันต่อมา พระอาจารย์จำเนียรได้มาถ้ำเสืออีก เพื่อสำรวจป่าเขาสำเนาไพร่ย่านนั้นให้ทั่วถึง ตรงที่เป็นทางขึ้นสูงๆ ก็ช่วยๆกันเอาเชือกมาผูกไม้ทำบันไดขึ้นไปชั่วคราว พอขึ้นไปบนปากถ้ำนั้น (ตอนนั้นยังไม่ได้ชื่อว่าถ้ำคนธรรพ์)ก็พบผู้ชายผู้นั้นอีก
“เอ๊ะ เจ้าคนนี้ทำไมมายืนตรงนี้อีก หรือจะหาหนทางเขาไปลักสมบัติโบราณในถ้ำ พระอาจารย์จำเนียรนึกในใจด้วยความแปลกใจ” หลังจากที่บอกเขาว่า บ้านเขาอยู่ในป่าแถวๆนี้ และย้อนมาดูอะไรๆแถวนี้อยู่เสมอ เขาก็ยังชวนพระอาจารย์จำเนียรเข้าไปเยี่ยมชมสมบัติโบราณในถ้ำคนธรรพ์อีกพระอาจารย์จำเนียรและลูกศิษย์ยังไม่กล้าเข้าไปดูเพราะเกรงว่าในซอกหลืบหรือรูถ้ำอาจจะมีงูเหลือม งูพิษร้าย ตลอดจนเสือโคร่ง เสือดาว หากเจอเข้าอย่างจังอาจจะเป็นอันตรายได้ ขณะที่ยืนคุยกับชายลึกลับอยู่นี้แสงแดดแจ่มจ้าเห็นหน้าตาชัดเจนว่า เป็นคนจริงๆ ไม่ใช่ภาพลวงตา พูดจากันรู้เรื่องทุกถ้อยคำ
พระอาจารย์จำเนียรได้บอกชายคนนี้ว่า “ถ้าถ้ำนี้มีสมบัติของคนโบราณ ถ้าปล่อยให้เปิดปากไว้อย่างนี้ คงมีสักวันหนึ่งที่จะถูกคนโลภพากันมาค้นหาเอามหาสมบัติโบราณเอาไปกินหมด เอายังงี้แล้วกัน ขอร้องช่วยเอาไม้มาทำเป็นประตูถ้ำ ปิดปากถ้ำชั่วคราวก่อนเอากุญแจมาใส่ให้ด้วย ค่ากุญแจค่อยมาเอาภายหลัง ชายท่าทางบ๊องๆลึกลับตอบว่า “ไม่ต้องหรอกครับ ถ้ำนี้มีคนธรรพ์เฝ้าปกป้องรักษาอยู่แล้ว เป็นหน้าที่ของพวกเขาเอง” ได้ฟังคำตอบแล้ว พระอาจารย์จำเนียรก็นึกในใจว่า “อย่าเข้าไปวุ่นวายเรื่องนี้เลย เจ้าหมอนี่ท่าทางไม่เต็มบาท” แล้วก็เดินเลี่ยงไปสำรวจทางอื่น
ต่อมาราวสองเดือน พระอาจารย์จำเนียรได้ร้อนใจ กลัวว่าจะมีใครมาขัดขวางหรืออิจฉาริษยา แอบมาปลูกสร้างถาวรวัตถุตัดหน้าไว้หรือเปล่า จึงรีบปีนป่ายขึ้นภูเขาไปก่อนใคร โดยใช้บันไดชั่วคราวที่ได้ทำไว้ เมื่อไปถึงถ้ำคนธรรพ์ พระอาจารย์จำเนียรต้องสะดุ้ง เพราะได้เจอกับเจ้าคนท่าทางบ๊องๆ ไม่เต็มบาทยืนอยู่ที่เดิมที่ปากถ้ำ นุ่งกางเกงตัวเก่าอยู่”
“ถ้าไม่ใช่คนต้องเป็นผี” พระอาจารย์จำเนียรได้คิดพิสูจน์ “เป็นคนหรือเป็นผีกันแน่ ถ้าเป็นผีต้องมีแต่ภาพ เป็นมายาลวงตา ขณะเดียวกันก็สำรวจรูปร่าง ก็เหมือนปักษ์ใต้ทั่วๆไป เหมือนกับรู้ชายคนนั้นถอยหลังหนีขณะที่ท่านจำเนียรยื่นมือจะจับแขน “ทางถ้ำปิดเรียบร้อยแล้วครับ” “ปิดยังไง” ถามพลางก็เดินเข้าหาคนๆนั้นถอยกรูดๆแล้วก็ตอบว่า “พวกคนธรรพ์เอาหินมาปิดปากถ้ำไว้ครับ” เมื่อเอาไฟฉายส่องดูชัดๆ ก็เห็นเป็นสีขาวๆ คล้ายปูนโบกปิด ถ้ำมันยังเปียกๆ อยู่เป็นหินไม่ใช่ปูน ไม่มีทราย ไม่มีปูนซีเมนต์ เป็นหินล้วนๆ เอามาโบกปิดปากถ้ำไว้อย่างอัศจรรย์ “หินอะไรถึงเหลวเอามาอุดปากถ้ำไว้ได้” ถามพลางก้าวเข้าหาเจ้าคนลึกลับ “เป็นหินแบบเดียวกับหินย้อยลงมาเป็นหินงอกในถ้ำอย่างนั้นแหละ”เจ้าหมอนั่นตอบพลางถอยหลังพลาง เขาถอยจนไปติดแอ่งน้ำที่ไหลมาจากซอกภูเขา ซึ่งมีต้นไม้รกชัฏ เขาพลิ้วตัวแอบหลบแอ่งน้ำราวกับมีนัยน์ตาหลังแล้ววูบเข้าหาต้นไม้พระอาจารย์จำเนียรเห็นผิดท่าก็กระโดดตามหมายจะคว้าไว้ อ้าว! หายวับไปเสียแล้ว ราวกับล่องหน
คนธรรพ์ นี้ทางภาคอื่นจะเรียกว่าพวกลับแล หรือ พวกบังมด เป็นคนพวกหนึ่ง ถือศีลเคร่งครัด มีสัจจะเคร่งครัด พูดอะไรต้องทำตามแบบนั้น อำนาจศีล อำนาจสัจจะ ทำให้คนธรรพ์มีความสามารถพิเศษพิสดารเก่งกว่ามนุษย์ธรรมดา เช่น กำบังตัวหรือหายตัวไปได้ในพริบตา ครับนี่คือเรื่องราวของคนธรรพ์ ที่พระอาจารย์จำเนียรเล่าให้ฟัง ถ้ำเสือยังมีสิ่งลี้ลับอีกเยอะ..
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ประสบการณ์ลี้ลับตอน ถ้ำคนธรรพ์
คนธรรพ์ที่มนุษย์ทั้งหลายรู้จักกันดีก็คือ ปัญจสิขร ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการดีดพิณ
เมื่อครั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จกลับจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากที่ทรงแสดงธรรมโปรดพระมารดาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระอินทร์จึงเนรมิตบันไดทองคำถวายและมีปัญจสิขรผู้นี้เป็นผู้ดีดพิณขับร้องถวายพระพรนำเสด็จลงมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงและสำเนียงอันไพเราะหนักหนา เป็นที่โจทก์ขานกันมาตราบจนกระทั่งทุกวันนี้
ภาพจาก...http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=thammakittakon&date=31-07-2009&group=20&gblog=9
ส่วนคำว่า คนธรรพวิวาห์ หมายถึง การได้เสียเป็นผัวเมียกันเองโดยไม่แต่งงาน โดยปรกติเมื่อคนธรรพ์รักชอบนางใดก็จะอยู่ด้วยกันโดยไม่จัดพิธีแต่งงาน จึงเกิดแบบอย่างที่เรียกว่า คนธรรพวิวาห์ คือได้เสียกันเอง คนวรรณะกษัตริย์ก็แต่งงานแบบคนธรรพวิวาห์โดยไม่ถือว่าผิดธรรมเนียม บางท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่า คนธรรพศาสตร์ คนธรรพศาสตร์หมายถึงวิชาดนตรีและขับร้อง และใพจนานุกรมศัพท์วรรณกรรมไทย อธิบายว่า เนื่องจากคนธรรพ์เชี่ยวชาญทางด้านดนตรีและการขับร้องจึงเรียกศาสตร์ด้านนี้ว่าคันธรรพศาสตร์ ส่วนวิชาของคนธรรพ์ที่เรียกว่า คันธรรพเวท นั้น เป็นภาคผนวกของสามเวท ซึ่งเป็น ๑ ในพระเวททั้ง ๔ อันเป็นตำราศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู วิชาคันธรรพพระเวทประกอบด้วยเรื่องเกี่ยวกับดนตรี เพลง ละคร และการร่ายรำ.
เรื่องเล่าจากหลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ จ.กระบ๊่ เรื่องคนธรรพ์
จากไซด์นี้ http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=15476
ถ้ำคนธรรพ์เป็นถ้ำที่ความมหัศจรรย์ ตอนที่พระอาจารย์จำเนียรได้ไปสำรวจในคราวแรก ปากถ้ำลอดเข้าไปได้ แต่มันเป็นแอ่งน้ำย้อยลึกลงไป เมื่อเอาไฟฉายส่องเข้าไปก็เห็นหินย้อยสวยงามมาก วันนั้นที่ปากถ้ำ พระอาจารย์จำเนียรได้พบผู้ชายนุ่งกางเกงตัวเดียวไม่ใส่เสื้อ ร่างสันทัด ผิวคล้ำ ตาคม
ท่าทางบ๊องๆ ทีแรกคิดว่าเป็นชายสติแตก “ท่านมาทำไม เสียงร้องถามของชายคนนั้น” “เข้ามาสำรวจที่นี่โยมอยู่ไหน” “อยู่ที่นี่แหละ” เขาตอบพลางชี้มือเข้าไปในป่า แล้วถามขึ้นอีก” “ท่านอยากเข้าไปดูสมบัติโบราณในถ้ำนี้ไหม”
สมัยที่มีการสร้าง พระบรมธาตุมหาเจดีย์ ที่นครศรีธรรมราช ผู้คนได้เอาพระพุทธรูปได้เอาพระพุทธรูปเงินทอง เพชรนิลจินดาจำนวนมากใส่เรือมาหลายลำ ขณะเดินเรือในทะเลเจอพายุใหญ่ไม่สามารถเดินเรือต่อไปได้ ได้แวะเข้าไปจอดที่อ่าวลูกธนูและขนเอาสมบัติทั้งหมดซ้อนในนี้ มหาสมบัติโบราณได้ถูกซ้อนไว้ตามหลืบหินด้านบน กาลเวลาทำให้หินย้อยลงมาปิดบังมหาสมบัติเอาไว้ ส่วนข้างล่างก็มีบ้างที่หินงอกทับถมไว้ หากเอาหินงอกหินย้อยออกจะพบมหาสมบัติของโบราณ
“ท่านขึ้นหลังผมสิ ผมจะพาไปดูสมบัติ” แต่พระอาจารย์จำเนียรปฏิเสธ “เป็นพระสงฆ์ขี่หลังโยมได้รึ ไม่เอาหรอก น่าเกลียด” “เจ้าคนนี้สงสัยสติไม่ดีแน่ ท่าทางไม่น่าไว้ใจ สงสัยเป็นพวกค้นหาสมบัติตามถ้ำ แต่คงกลัวปู่โสมเฝ้าทรัพย์ จึงคิดอาศัยบารมีพระแน่ๆเลย”
หลายวันต่อมา พระอาจารย์จำเนียรได้มาถ้ำเสืออีก เพื่อสำรวจป่าเขาสำเนาไพร่ย่านนั้นให้ทั่วถึง ตรงที่เป็นทางขึ้นสูงๆ ก็ช่วยๆกันเอาเชือกมาผูกไม้ทำบันไดขึ้นไปชั่วคราว พอขึ้นไปบนปากถ้ำนั้น (ตอนนั้นยังไม่ได้ชื่อว่าถ้ำคนธรรพ์)ก็พบผู้ชายผู้นั้นอีก
“เอ๊ะ เจ้าคนนี้ทำไมมายืนตรงนี้อีก หรือจะหาหนทางเขาไปลักสมบัติโบราณในถ้ำ พระอาจารย์จำเนียรนึกในใจด้วยความแปลกใจ” หลังจากที่บอกเขาว่า บ้านเขาอยู่ในป่าแถวๆนี้ และย้อนมาดูอะไรๆแถวนี้อยู่เสมอ เขาก็ยังชวนพระอาจารย์จำเนียรเข้าไปเยี่ยมชมสมบัติโบราณในถ้ำคนธรรพ์อีกพระอาจารย์จำเนียรและลูกศิษย์ยังไม่กล้าเข้าไปดูเพราะเกรงว่าในซอกหลืบหรือรูถ้ำอาจจะมีงูเหลือม งูพิษร้าย ตลอดจนเสือโคร่ง เสือดาว หากเจอเข้าอย่างจังอาจจะเป็นอันตรายได้ ขณะที่ยืนคุยกับชายลึกลับอยู่นี้แสงแดดแจ่มจ้าเห็นหน้าตาชัดเจนว่า เป็นคนจริงๆ ไม่ใช่ภาพลวงตา พูดจากันรู้เรื่องทุกถ้อยคำ
พระอาจารย์จำเนียรได้บอกชายคนนี้ว่า “ถ้าถ้ำนี้มีสมบัติของคนโบราณ ถ้าปล่อยให้เปิดปากไว้อย่างนี้ คงมีสักวันหนึ่งที่จะถูกคนโลภพากันมาค้นหาเอามหาสมบัติโบราณเอาไปกินหมด เอายังงี้แล้วกัน ขอร้องช่วยเอาไม้มาทำเป็นประตูถ้ำ ปิดปากถ้ำชั่วคราวก่อนเอากุญแจมาใส่ให้ด้วย ค่ากุญแจค่อยมาเอาภายหลัง ชายท่าทางบ๊องๆลึกลับตอบว่า “ไม่ต้องหรอกครับ ถ้ำนี้มีคนธรรพ์เฝ้าปกป้องรักษาอยู่แล้ว เป็นหน้าที่ของพวกเขาเอง” ได้ฟังคำตอบแล้ว พระอาจารย์จำเนียรก็นึกในใจว่า “อย่าเข้าไปวุ่นวายเรื่องนี้เลย เจ้าหมอนี่ท่าทางไม่เต็มบาท” แล้วก็เดินเลี่ยงไปสำรวจทางอื่น
ต่อมาราวสองเดือน พระอาจารย์จำเนียรได้ร้อนใจ กลัวว่าจะมีใครมาขัดขวางหรืออิจฉาริษยา แอบมาปลูกสร้างถาวรวัตถุตัดหน้าไว้หรือเปล่า จึงรีบปีนป่ายขึ้นภูเขาไปก่อนใคร โดยใช้บันไดชั่วคราวที่ได้ทำไว้ เมื่อไปถึงถ้ำคนธรรพ์ พระอาจารย์จำเนียรต้องสะดุ้ง เพราะได้เจอกับเจ้าคนท่าทางบ๊องๆ ไม่เต็มบาทยืนอยู่ที่เดิมที่ปากถ้ำ นุ่งกางเกงตัวเก่าอยู่”
“ถ้าไม่ใช่คนต้องเป็นผี” พระอาจารย์จำเนียรได้คิดพิสูจน์ “เป็นคนหรือเป็นผีกันแน่ ถ้าเป็นผีต้องมีแต่ภาพ เป็นมายาลวงตา ขณะเดียวกันก็สำรวจรูปร่าง ก็เหมือนปักษ์ใต้ทั่วๆไป เหมือนกับรู้ชายคนนั้นถอยหลังหนีขณะที่ท่านจำเนียรยื่นมือจะจับแขน “ทางถ้ำปิดเรียบร้อยแล้วครับ” “ปิดยังไง” ถามพลางก็เดินเข้าหาคนๆนั้นถอยกรูดๆแล้วก็ตอบว่า “พวกคนธรรพ์เอาหินมาปิดปากถ้ำไว้ครับ” เมื่อเอาไฟฉายส่องดูชัดๆ ก็เห็นเป็นสีขาวๆ คล้ายปูนโบกปิด ถ้ำมันยังเปียกๆ อยู่เป็นหินไม่ใช่ปูน ไม่มีทราย ไม่มีปูนซีเมนต์ เป็นหินล้วนๆ เอามาโบกปิดปากถ้ำไว้อย่างอัศจรรย์ “หินอะไรถึงเหลวเอามาอุดปากถ้ำไว้ได้” ถามพลางก้าวเข้าหาเจ้าคนลึกลับ “เป็นหินแบบเดียวกับหินย้อยลงมาเป็นหินงอกในถ้ำอย่างนั้นแหละ”เจ้าหมอนั่นตอบพลางถอยหลังพลาง เขาถอยจนไปติดแอ่งน้ำที่ไหลมาจากซอกภูเขา ซึ่งมีต้นไม้รกชัฏ เขาพลิ้วตัวแอบหลบแอ่งน้ำราวกับมีนัยน์ตาหลังแล้ววูบเข้าหาต้นไม้พระอาจารย์จำเนียรเห็นผิดท่าก็กระโดดตามหมายจะคว้าไว้ อ้าว! หายวับไปเสียแล้ว ราวกับล่องหน
คนธรรพ์ นี้ทางภาคอื่นจะเรียกว่าพวกลับแล หรือ พวกบังมด เป็นคนพวกหนึ่ง ถือศีลเคร่งครัด มีสัจจะเคร่งครัด พูดอะไรต้องทำตามแบบนั้น อำนาจศีล อำนาจสัจจะ ทำให้คนธรรพ์มีความสามารถพิเศษพิสดารเก่งกว่ามนุษย์ธรรมดา เช่น กำบังตัวหรือหายตัวไปได้ในพริบตา ครับนี่คือเรื่องราวของคนธรรพ์ ที่พระอาจารย์จำเนียรเล่าให้ฟัง ถ้ำเสือยังมีสิ่งลี้ลับอีกเยอะ..
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ประสบการณ์ลี้ลับตอน ถ้ำคนธรรพ์
1 ความคิดเห็น:
ขอบคุณที่บอกกล่าวเล่าขานครับ
แสดงความคิดเห็น