ดวงเมืองกรุงเทพฯ

การดูหมอตอนที่ ๓

ทำไมต้องดวงเมืองกรุงเทพฯ   เพราะผมชอบโหราศาสตร์ไทยแนวโลกธาตุ   ของอจ. ส.แสงตะวัน   ครับ   เห็นท่านเขียนว่า  การศึกษาเรื่องดวง เรื่องโลก เรื่องโกธาตุให้เข้าใจ  ให้ทำความเข้าใจเรื่องดวงเมืองกรุงเทพฯให้ได้

เรื่องดวงเมืองที่อาจารณ์ ส.แสงตะวัน ที่ผมนับถือ ได้เขียนลงในหนังสือโหราเวศน์และที่อื่นๆ    ว่าเป็นสุดยอดของวิชาการวางฤกษ์ผู้ทีจะเรียนรู้เรื่องฤกษ์ต้องอ่านดวงเมืองกรุงเทพฯออกและต้องรู้จักลางฤกษ์  คือเมื่อวางฤกษ์นอกจากจะดูเวลานาฬิกาไม่ว่านาฬิกาแดดนาฬิกาสากลไม่ว่าจะเป็นท้องถิ่นหรือนาฬิกามาตรฐานที่ใช้ซีเซียมคล็อกแล้ว ต้องกำหนดฤกษ์จากเหตุการณ์จริงในขณะนั้นด้วยเช่นฤกษ์นี้กำหนดให้วาง วันศุกร์ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน๑๒ ปีกุน เวลานาฬิกา คือ ๐๖.๔๕ เวลาฤกษ์จริงๆ ต้องเป็นเวลาที่มีพระกับเด็กวัดเดินเข้ามาในบริเวณนี้แล้วเท่านั้น จึงวางฤกษ์ได้ ( ถ้าฤกษ์เรื่องไม่สำคัญมากนักก็ไม่เป็นไร) ข้อมูลที่ผมเอามาลงนี้ส่วนแรกได้จาก หนังสือของ อ.แสงตะวัน ส่วนอื่นลอกจากเวปไซด์อื่นๆ



ดวงเมืองกรุงเทพฯ
อาทิตย์ที่ ๒๑ เมษายน พศ.๒๓๒๕ เวลารุ่งแล้ว ๙ บาท
ตรงกับวันขึ้น ๑๐ ค่ำเดือน ๖ ปีขาล จศ. ๑๑๔๔  โหรเรียกกำแพงแก้ว ๓ ชั้น
         โดยใช้โหรจากอินเดีย ๙ คนเป็นผู้ให้ฤกษ์ เรียกว่า "เพชรฤกษ์มงคล "


กำแพงแก้ว ๓ ชั้นในดวงนี้ คือ
เกณท์ฤกษ์ ชั้นที่ ๑ พระ ๒ เป็นองค์พระฤกษ์ พระ ๖ เป็นองค์คู่ฤกษ์
เกณท์ฤกษ์ชั้นที่ ๒ พระ ๖ เป็นองค์พระฤกษ์ พระ ๔ เป็นองค์คู่ฤกษ์ 
เกณท์ฤกษ์ชั้นที่ ๓ พระ ๕ เป็นองค์พระฤกษ์ พระ ๖ เป็นองค์คู่ฤกษ์ 

เมื่อถึงเวลาวางฤกษ์คือรุ่งเช้า ๙ บาท(ใช้แสงแดดวัดเงา ได้ ๙ ฝ่าเท้า) เป็นช่วงที่มีเรือสำเภาส่งสินค้าจากเมืองจีนเข้ามาเทียบแล้วลูกเรือก็ขนกระทะเหล็กเดินผ่านเข้ามาในเขตุทำพิธีถือเป็นลางฤกษ์ ของเวลาจริงคือลางฤกษ์มาณพน้อยใส่หมวกเหล็ก (โดยปกติตอนผูกดวงฤกษ์ โหรที่เก่งจริงๆจะรู้ว่าในเวลานี้จะมีอะไรเกิดขึ้นในทำนองนี้) เจ้าหน้าที่จึงได้ลั่นฆ้องลงเสาหลักเมือง(ถ้าเป็นฝรั่งหรือทางตะวันตกเขาใช้การสั่นกระดิ่ง) เมื่อปล่อยเสาลงหลุมปรากฏว่ามีลูกงูสิงห์มาจากไหนก็ไม่รู้มาอยู่ที่ก้นหลุม ทางโหรถือเป็นเทพนิมิตร และได้ทำนายว่าราชวงศ์จะเจริญไปได้ ๑๕๐ ปีจะสูญสิ้น มีทางที่แก้ไขได้ทางเดียวคือการสร้างวัดไว้ในทิศใกล้จึงจะบรรเทาได้ ทางพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ จึงให้สร้างวัดพระแก้วขึ้น เป็นการแก้อาถรรพ์ เพื่อปกปักรักษาพระนคร และทางโหรได้แบ่งชะตาของดวงเมืองไว้ เป็น ๗ ยุคด้วยกันคือ

๑.ยุคมหากาฬ                ๒. ยุคบัณฑิตธรรม          ๓. ยุคจำแขนขาด        ๔. ยุคราชโจร
๕. ยุคนนทร้องทุกข์        ๖.ยุคทมิฬ                     ๗. ยุคถิ่นกาขาว

ตามตำราผมไม่พบคำอธิบายความไว้ แต่มาสมัยหลังเห็นมีคำทำนายต่อเติมตีความกันไปต่างๆนาๆตามภูมิปัญญาของแต่ละคนเราอย่าไปว่ากัน ดีแล้วที่มีคนช่วยกันคิด ทุกคนก็หวังดีแก่บ้านเมือง อันไหนจริงอันไหนเท็จผมมิอาจทราบได้เพราะเกิดไม่ทัน ท่านก็หาอ่านกันได้ตาม เน็ตและหนังสืือแจกแและหนังสือลูกโซ่ เห็นมีมาบ่อยๆเพราะพวกที่พิมม์แจกจะได้บุญ ใครไม่ทำจะมีอันเป็นไปผมก็เจอหลายหนแล้วไม่เคยได้พิมม์แจกเลย เลยขอเผยแพร่ต่อทางเวปไซด์ก็แล้วกันนะครับ


ภาพที่แสนสวยเหล่านี้หากท่านไปดูช่วงงานในหลวง ช่วงวันที่ 5 ธันวาคม ที่มีขบวนรถพาเหรดสวยๆตระกาลตายามค่ำคืน มีพลุสวยๆสูงเสียดฟ้า ประดับประดาไปด้วยฉากวัดวาอาราม และตึกยามค่ำคืน ข้าพเจ้ามองว่า เหมือนดั่งเมืองสวรรค์  ที่ข้าพเจ้าได้ไปดูมาแล้ว คืน 6 ธค. 2553  จากอาณาบริเวณผ่านฟ้า ถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สวยกว่าสมัยเมื่อปี 2526 เยอะ(ตอนนั้นอยู่วัดสุทัศน์ เดินมาดูง่าย)



-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดวงเมืองกรุงเทพฯที่ลอกมา

เก็บไว้ครับ กลัวหาย เพราะเวปไซด์ต้นขั้วถูกปิด
ส่วนนี้ได้จาก http://www.paisarn.com/believeother.html (เฉพาะตัวหนังสือลอกมาทั้งหมดไม่มีดัดแปลงแก้ไข เวปไซด์อาจปิดไปก่อนก็เป็นไปได้ครับ) เหตุที่คัดเอาไว้เพราะวันหนึ่งอาจหายไป

“พระโหรา กล่าวโศลกบูชาฤกษ์และพระมหาราชครูอ่านกระแสพระราชโองการตั้งพระมหานคร ขุนโหรเริ่มประกอบพิธีกล่าวอุทิศเทพสังหรณ์ 

อัญเชิญก้อนดินซึ่งพลีมาแต่ทิศทั้ง 4 แห่งพระนคร กระทำให้เป็นก้อนกลมดุจลูกนิมิตลงสู่ก้นหลุมเป็นลำดับกันไปเริ่มแต่ทิศบูรพา ทักษิณ ปัจฉิมและอุดร จากนั้นนำแผ่นศิลาเลขยันต์สำหรับรับรองหลักวางลงบนก้อนดินทั้ง 4 ก้อนนั้น ส่วนภายในก้นหลุมนั้นเล่าก็ได้ตกแต่งไว้เรียบร้อย กรุด้วยผ้าขาวสะอาดบริสุทธิ์ ดาษไปด้วยใบไม้อันเป็นมงคล 9 ประการ โปรยปรายแก้วนพรัตน์ไว้เรียงรายโดยรอบขอบปริมณฑลภายในก้นหลุมนั้น”

ขณะที่ได้พระฤกษ์ พระโหราย่ำฆ้องบอกกำหนดพระฤกษ์ ชีพราหมณ์เป่ามหาสังข์แกว่งบัณเฑาะว์ เจ้าพนักงานประโคมดุริยางค์แตรสังข์และพิณพาทย์ เจ้าหน้าที่ประจำยิงปืนใหญ่เป็นมหาพิชัยฤกษ์ เริ่มพระราชพิธีอัญเชิญเสาหลักเมืองลงสู่หลุม โดยวางไว้บนแผ่นศิลายันต์  ทันทีนั่นเอง ก็เกิดปรากฏการณ์เป็นมหัศจรรย์ขึ้น โดยปรากฏว่ามีงูตัวเล็กๆ 4 ตัว ปาฏิหาริย์ลงไปอยู่ในหลุมนั้น และก็บังเอิญบันดาลให้ทุกคนที่ไปร่วมชุมนุมประกอบพิธีอยู่ ณ ที่นั่น ได้เห็นงูในขณะที่เคลื่อนเสาหลักเมืองนั้นลงไปในหลุมเสียแล้ว 


ซึ่งเมื่อก่อนที่จะยกเสาลงสู่หลุมนั้น หาปรากฏว่ามีงู 4 ตัวดังกล่าวนั้นไม่ และก็หมดโอกาสที่จะแก้ไขประการใดๆ ได้ทั้งสิ้น เพราะเมื่อตอนที่เห็นงูนั้น เป็นขณะที่เสาได้เคลื่อนลงหลุมแล้ว จึงจำเป็นจะต้องปล่อยให้เลยตามเลยไป โดยปล่อยให้เสาลงไปในหลุมและกลบดินให้แน่น ทำให้งูทั้ 4 ตัวนั้น ต้องตายอยู่ภายในก้มหลุมนั่นเองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่ฝังเสาหลักเมืองนี้ ได้ยังพระวิตกให้แก่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นอันมาก ทรงเรียกประชุมเหล่าเสวกามาตย์ราชบัณฑิตปุโรหิตาจารย์ พระราชาคณะและบรรดาผู้รู้ทั้งปวงมาร่วมประชุมวิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นครั้งนี้ว่า จะเป็นมงคลนิมิตหรืออวมงคลนิมิต บรรดาผู้รู้ทั้งปวงต่างก็ให้ความเห็นสอดคล้องต้องกันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จัดว่าอยู่ในจำพวกอวมงคลนิมิต แต่ก็ไม่สามารถจะชี้ลงไปได้ว่า ผลจะปรากฏออกมาในทำนองใด นอกจากจะลงความเห็นว่างูเล็กทั้ง 4 นั่นแหละ จะเป็นมูลเหตุนำความอวมงคลให้แก่บ้านเมือง

แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นการบอกกล่าวของเทพยดาฟ้าดินขึ้นมาในระยะนั้น โดยเกิดฟ้าผ่าไฟไหม้พระที่นั่งอมรินทร์มหาปราสาท ทำให้ทรงพระราชวินิจฉัยออกมาว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์เมือง โดยที่เทพยดาบันดาลให้เกิดฟ้าผ่าจนไฟไหม้พระมหาปราสาท ตามธรรมดาต้องเสียเมืองก่อนจึงจะเสียพระมหาปราสาท คราวนี้ได้เสียพระมหาประสาทไปแล้วเท่ากับเสียเมืองไป เพราะเหตุที่ชะตากรุงเทพมหานครในระยะเริ่มตั้งแต่ฝังเสาหลักเมืองมานั้น ชะตาเมืองอยู่ในเกณฑ์ร้ายถึง 7 ปี 7 เดือน เป็นอันเสร็จสิ้พระเคราะห์เมืองไป และจะถาวรลำดับกษัตริย์ไป 150 ปี (เทพย์ สาริกบุตร “โหราศาสตร์ในวรรณคดี”)

คนไทยทุกคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ หรือเคยเดินทางมากรุงเทพฯ ก็คงจะได้พบได้เห็นศาลเจ้าพ่อหลักเมืองทีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นประธานในการทำพิธีฝังตามคัมภีร์ของคนไทยที่ชื่อว่า คัมภีร์พระนครฐาน แต่สำหรับคนธรรมดาสามัญทั่วไป หรือเฉพาะคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ นับจำนวนล้านๆ คน อาจจะไม่เคยทราบว่าการทำพิธีฝังเสาหลักเมืองในวันนั้น เป็นเรื่องไม่ธรรมดา
พิลึกพิลั่นและมีเหตุการณ์อันประหลาดมหัศจรรย์มากมายเพียงใด หรือคนโบราณเขาได้ทำกันอย่างไร และมีอะไรประกอบขึ้นมาบ้างก่อนที่จะมาเป็นศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ จึงสามารถทำให้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงทำนายทายทักออกมาได้ว่า นับตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2325 เป็นต้นไป ระบอบการปกครองของไทยจะต้องเปลี่ยนจากระบอบราชาธิปไตยไปเป็นประชาธิปไตยอย่างที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้

 และยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงในวันทำเสาหลักเมืองนั้น ทุกคนที่ร่วมชุมนุมทำพิธีเหล่านั้น ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ และบรรดาชีบานาสงฆ์ฐานันดรสูงสุดของประเทศ ได้เห็นเป็นประจักษ์พยานว่า มันมีสิ่งบอกเหตุว่าจะต้องเกิดขึ้น เพราะในหลุมลึกที่ฝังเสาหลักเมืองที่กรองก้นหลุมไว้ด้วยผ้าขาวและสรรพคา รูปหล่อเทวดาที่ปกปักรักษาบ้านเมืองถาอาคมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายนั้น เมื่อเวลานำเสาลงหลุมเสร็จและกำลังจะกลบด้วยดินตามปกตินั้น ทุกคนก็ได้เห็นว่ามีงูเล็ก 4 ตัวลงไปนอนเล่นอยู่ในหลุม โดยที่ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้ นอกจากถมให้ตายลงไป และงูตัวนั้น โบราณหรือกษัตริย์ของกรุงรัตนโกสินทร์ทรงทราบว่า มันบอก ถึงการสิ้นสุดของระบอบราชาธิปไตยของคนไทย ว่าการสิ้นสุดของระบอบนั้นจะเกิดจากการถือกำเนิดของเชื้อพระวงศ์ 4 พระองค์ของกรุงรัตนโกสินทร์

 และเหตุการณ์ก็เป็นจริงเพราะว่าจากวันนั้นมาถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นวันที่ครบ 150 ปี จากวันที่ฝังเสาหลักเมืองและการตายของงูทั้ง 5 ตัวนั้นเหมือนกับนัด ในระยะนั้น เจ้านาย 4 พระองค์เป็นผู้รับผิดชอบกิจการของบ้านเมือง ทั้งฝ่ายนอกฝ่ายในคือ (1) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (2) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิจ (3) กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน (4) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินทร ซึ่งทุกพระองค์ทรงมีพระราชสมภพในปีเดียวกันทั้ง 4 พระองค์คือ ปีมะเส็งซึ่งหมายถึง งูเล็กหรืองูทั้ง 4 ตัวที่ตายอยู่ในหลุมฝังเสาหลักเมืองวันนั้น


เทวดาที่ปกปักรักษาบ้านเมือง

ดวงชะตาเมืองที่จัดทำขึ้นวันนั้น มันมีอาถรรพ์และมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนไทยโบราณ และมันแสดงให้เห็นเป็นประการแรกที่พิสูจน์ได้

สมัยเจ้าฟ้าทั้ง 4 พระองค์ หรือคนโบราณรู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดหรือจะสิ้นอายุ 150 อายุพระนครตามที่พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงให้คำทำนายไว้นั้น ตามประเพณีไทยก็ต้องไปทำบุญแก้เคล็ดหรือสะเดาะเคราะห์ไว้ก่อน เพราะฉะนั้นเจ้าฟ้าทั้ง 4 พระองค์นี้ก็ได้ร่วมกันสร้างตึกขึ้นหลังหนึ่งที่เรียกว่า ตึกสี่มะเส็ง ที่บริเวณโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์หรือที่สถานเสาวภาทุกวันนี้ การที่จะคาดหมายว่าอะไรจะเกิดขึ้นอย่างไรของคนโบราณอย่างที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงทำนายไว้นั้น ความจริงไม่เพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นเท่านั้น แต่ตามประเพณีก็จะดูกันจากดวงชะตาเมือง ซึ่งโหรไทยหรือนักศึกษาโหราศาสตร์ไทยทุกคนก็จะรู้กันดีว่าเอาอะไรมาทำนายทายทักกันอย่างไร อย่างไรก็ตาม เรื่องของขนบประเพณีในการสร้างบ้านสร้างเมืองหรือหลักการสร้างบ้านสร้างเมืองตามพิธีนครฐานนั้น เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ร้อยแปดที่จะต้องการสองประการคือ

(1) จะต้องมีอาถรรพ์หรือคำสาปแช่งนานาประการที่จะป้องกันเสนียดจัญไรหรืออันตรายทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นแก่บ้านเมือง ผู้ใดที่ไม่หวังดีหรือได้กระทำความชั่วให้เกิดเหตุร้ายแก่บ้านเมืองจะต้องวินาศฉิบหายไป อริราชศัตรูหรือผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมืองที่กระทำการอันเป็นโทษต่อบ้านเมืองนั้น จงแพ้ภัยแก่ตัวเองและจะประสบความวินาศฉิบหายไป

 (2) ให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ไม่ให้ผู้คนอดอยากและได้รับเวรภัยใดๆ ให้ประสบแต่ความสมบูรณ์พูนสุขทั้งบ้านเมือง ทั้ง 4 มุมเมืองของกรุงเทพมหานครนั้น คนโบราณเล่ากันต่อไปว่าได้มีการฝังอาถรรพ์ไว้ทั้งทิศเหนือ ทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตก เพื่อป้องกันคนชั่วและคนที่มีความประสงค์ร้ายต่อบ้านเมืองอย่าได้มีโอกาสเข้ามาพ้นจากมุมที่ท่านฝังอาถรรพ์เหล่านั้นไว้เป็นอันขาดว่ากันว่าคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางคาถาอาคมหรือเครื่องลางของขลังแน่นขนาดไหนก็ตาม เพียงแต่เดินผ่านมุมเมืองทั้งสี่มุมใดมุมหนึ่งเข้ามา ท่านก็ว่าวิชาอาคมทั้งปวงก็จะเสื่อมหมด ไม่ว่าจะชื่อเณรแอหรืออาจารย์กู้และหลวงตาจันทร์ก็เถอะ ดีไม่ดีติดคุกเอาง่ายๆ ในชีวิตจะหมดสิริมงคลทำมาหากินไม่ขึ้นเอาทีเดียว

ที่มีการบอกกล่าวกันว่า ได้มีการฝังอาถรรพ์ไว้ทั้ง 4 มุมเมืองในวันนั้น ก็เป็นเพียงรับรู้และบอกเล่ากันมา แต่ความจริงที่ทำอย่างแน่นอนก็คือ การอัญเชิญท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 เข้ามาประกอบพิธีด้วย ท่านว่า “และให้ปลูกโรงศาลโรงพิธีขึ้นใกล้ๆ กับหลุมที่จะขุด เพื่อจะปักเสาหลักเมืองนั้น ตั้งศาลจตุโลกบาลทั้ง 4 ทิศขึ้น 4 ศาล” ซึ่งอาจจะเป็นการฝังอาถรรพ์ทั้ง 4 มุมเมืองที่บอกกล่าวกันมาก็ได้

เช่นเดียวกับเจ้าขุนมูลนายหรือผู้ปกครองบ้านเมืองที่คิดว่าตัวเองคือพระเจ้าที่อยากจะทำอะไรตามใจตัวเองก็ทำได้นั้น ก็ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ นอกจากความวิบัติฉิบหายน้อยมากตามกรรมตามเวรของแต่ละคน ก็ได้พิสูจน์กันมาแล้วเป็นลำดับ เฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา 

พระเสื้อเมือง... เป็นเทพารักษ์หล่อสำริด ปิดทอง สูง ๙๓ ซม มีหน้าที่คุ้มครองป้องกันทั้งทางบก ทางน้ำ คุมกำลังไพร่พลแสนยากร รักษาบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข ปราศจากอริราชศัตรูมารุกราน 

พระทรงเมือง... เป็นเทพารักษ์หล่อสำริด ปิดทอง สูง ๘๘ ซม. มีหน้าที่รักษาการปกครอง และกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ดูแลทุกข์สุขของประชาชน ให้ร่มเย็นเป็นสุขสวัสดี

พระกาฬไชยศรี... เป็นเทพารักษ์หล่อสำริด ปิดทอง สูง ๘๖ ซม. เป็นบริวารพระยม มีหน้าที่นำวิญญาณของมนุษย์ผู้ทำบาปไปสู่ยมโลก

ตัวอย่างคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งคนสำคัญๆ ล้วนแต่ดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยากันมาแล้วทั้งนั้น และเมื่อปฏิวัติแล้วก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ แล้วทุกคนก็แตกกระสานซ่านเซ็นกันไปเกือบทุกคน เท่านั้นยังไม่พอ ยังพยายามติดตามจองล้างจองผลาญกันอย่างไม่ลืมหูลืมตาเอาด้วย ไม่ว่าเป็นพระยาทรงสุรเดช พระยาศรสิทธิสงครามและคนอื่นๆ แม้แต่จอมพล ป. พิบูลสงครามเอง ทุกคนใช้ชีวิตสุดท้ายด้วยความทุกข์ยากและตายไม่ดีกันทั้งนั้น แม้แต่หลวงประดิษฐ์มนูธรรม แม้ว่าจะทำบุญกุศลและสร้างเกียรติยศให้แก่บ้านเมืองเพียงไร ก็ไม่มีโอกาสได้ตายอย่างรัฐบุรุษของชาติ แต่ตายนอกประเทศที่ตนเองกอบกู้มันเอาไว้ และที่ร้ายที่สุดก็คือ ความแตกแยกชนิดเอากาวอะไรทาก็ไม่ยอมติด นั่นคือความอาถรรพ์ของดวงชะตาเมือง

และรัฐบาลชุดนี้ที่ถือเอาฤกษ์วันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมานั้นเป็นหลัก สิ่งที่จะเกิดก่อนอื่นที่ไม่สามารถจะแก้ไขก็คือ ความแตกแยกที่จะต้องแตกกันขนาดต้องพังไปข้างหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยอะไร
ถึงแม้ว่ามีโอกาสได้ตั้งกระทรวงต่างๆ มาถลุงเงินประชาชนกันอย่างสนุกมือก็ตาม แต่ก็จะต้องระวังอาถรรพ์และคำสาปแช่งของโบราณนั้นไว้บ้างก็ดี เพราะเสาหลักเมืองยังอยู่ อาถรรพ์และเสียงสาปแช่งจะไม่ไปไหนเสีย ถ้าหากเกิดความสกปรกหรือผิดพลาดอะไรขึ้นมา เจอพิษงูเล็กชุดนี้แน่
ไม่เพียงแต่ตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเท่านั้น แต่คณะรัฐบาลทั้งชุด ทั้งคณะควรจะรู้เรื่องราวของอาถรรพ์เหล่านี้ไว้บ้าง อาจจะมีประโยชน์บ้างก็ได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่เคยไว้หน้าใครหรอก ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออยู่ในตำแหน่งขนาดไหน!

------------------------------------------------------------------------------------------------

บทวิเคราะห์เรื่องดวงเมืองของท่านต่างๆ
(ข้อความจาก http://board.palungjit.com/f178) หลังจากที่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษีได้มรณภาพลงเมื่อวันเสาร์แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๕ ตอนเที่ยงคืนเช้าวันรุ่งขึ้น นายอาญาราช ศิษย์ก้นกุฏิ ของเจ้าประคุณ 
สมเด็จ เข้าไปเก็บกวาดในกุฏิของท่าน ขณะทำความสะอาดกุฏิ นายอาญาราชได้พบเศษกระดาษชิ้นหนึ่งซุกอยู่ใต้เสื่อเป็นลายมือของเจ้าประคุณสมเด็จ เขียนสั้นๆ โดยสังเขป เป็นคำทำนายชะตาเมือง มีความว่า

" มหากาฬ พาลยักษ์ รักมิตร สนิทธรรม จำแขนขาด ราษฎร์จน ชนร้องทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นกาขาว ชาววิไล "

บทวิเคราะห์  (ไม่รู้ใครวิเคราะห์นะครับ )

๑. มหากาฬ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงปราบดาภิเษก คือปราบกบฎที่ก่อความเดือดร้อนให้บ้านเมือง และสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินมหาราช ที่ทรงถูกพวกกบฎจับกุมคุมขังและยึดอำนาจ ฐานวิกลจริต (กล่าวหาว่าเป็นบ้าเสียสติ)ด้วยการนำไปประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ และตั้งตนเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ในการนี้ทำให้ผู้ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าตาก และผู้ที่ไม่เห็นด้วย รวมไปถึงผู้ที่เสียผลประโยชน์ เกิดแข็งข้อ ไม่ยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี ไม่ยอมรับว่างั้นเถอะ 


จึงได้มีพระบรมราชโองการปราบพวกไม่เห็นด้วย หรือพวกกบฎต่อแผ่นดินใหม่ให้ราบคาบ มีการสังหารล้างโคตรกันทีเดียว ถึง ๘๒ ครัวเรือน มีการประกาศใช้กฎปราบกบถ กฎมณเทียรบาล และกฎอัยการศึก ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน ซึ่งเป็นเรื่องหวาดเสียว น่ากลัวมาก เพราะบ้านเมืองที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ (คือสร้างกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงใหม่) ยังระส่ำระสาย หาความเป็นปึกแผ่นมั่นคงไม่ได้ จึงต้องทำทุกอย่างด้วยความเฉียบขาด จึงเรียกยุคนี้ว่า "ยุคมหากาฬ" หรือ"ยุคดำมืด" เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่า "บ้านเมืองใหม่จะอยู่หรือจะไป" ยิ่งมีสงคราม ๙ ทัพ จากพวกคุณหม่องมาสั่นประสาทชาวบ้านด้วยแล้ว ใครเกิดยุคนี้ล่ะก็ ร้องได้คำเดียวว่า "กลัวแล้วจ้า" (เพราะคนไทยยังไม่หายเข็ดกลัวพม่ายังไม่เชื่อมั่นในตัวผู้นำและขุนนาง เพราะสร้างความเหลวแหลกไว้เยอะในตอนก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา)

๒. พาลยักษ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นยุคแห่งความวิบัติเคราะห์ร้าย ของผู้คนในแผ่นดิน เนื่องจากเกิดอหิวาตโรค (โรคห่า โรคท้องร่วง) ในปี พ.ศ. ๒๓๖๓ โรค ได้ระบาดไปทั่วเมือง มีผู้คนล้มตายลงวันละมากๆ เพราะการแพทย์ในสมัยนั้นยังไม่เจริญ ตามสุสานวัดสำคัญต่าง ๆ เช่น วัดสระเกศ , วัดบพิตรพิมุข เต็มไปด้วยซากศพผู้เสียชีวิต ในแม่น้ำลำคลองก็ยังมีซากศพลอยขึ้นอืดกันให้เกลื่อน เป็นที่อุจาดตาส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง น่าสะอิดสะเอียนเป็นยิ่งนัก ถนนหนทางมีแต่ความเงียบสงัดวังเวง ผู้คนต่างหลบซ่อนอยู่ภายในบ้าน บางครอบครัวก็อพยพหลบหนีโรคร้ายไปอยู่เสียหัวเมือง 

ในการนี้ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๒ ถึงกับรับสั่งให้ทำพระราชพิธียิงปืนใหญ่รอบกำแพง พระบรมมหาราชวัง ๑ คืน (เป็นความเชื่อที่ว่า โรคห่า เกิดจากการกระทำของยักษ์มาร ภูติผีปีศาจ จึงต้องมีพิธีการสวดมนต์ ปัดรังควาน ยิงปืนใหญ่ขับไล่ ให้มันตกใจกลัวจะได้หนีไป ทำคล้ายกับพิธีสวดภาณยักษ์ หรือสวดอาฎานาฎิยปริตร นั่นแหละครับ) ทรงให้อัญเชิญพระแก้วมรกตอันศักดิ์สิทธิ์ และพระบรมธาตุออกแห่แหน เป็นการขับไล่และปลอบขวัญพลเมือง ในที่สุดโรคร้ายก็สงบ แต่กว่าจะสงบราบคาบประมาณกันว่ามีผู้เสียชีวิตถึงสามหมื่นคนทีเดียว นับว่าไม่น้อยเลยครับในสมัยนั้น

๓. รักมิตร หรือ รักบัณฑิต ในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถมากในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการปกครอง การค้าขายกับต่างประเทศ (รัชกาลที่ ๒ ทรงสัพยอกท่านว่า"เจ้าสัว") ได้มีการเริ่มต้นเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศอันได้แก่ อังกฤษ, อเมริกา ฯลฯ โดยเริ่มต้นจากการค้านั่นเอง ดังนั้นจึงเป็นยุคที่ทรงโปรดปรานชุบเลี้ยงคนที่ตั้งใจทำราชการอย่างจริงจัง มากกว่าพวกประจบสอพลอ

๔. สนิทธรรม ในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า พระองค์ท่านทรงออกผนวชนานถึง ๒๗ พรรษา ตลอดรัชกาลที่ ๓ เลยก็ว่าได้ จะเรียกว่าบวชลี้ภัยการเมืองก็ได้ เพราะขนาดออกบวชแล้ว ยังไม่วายูกใส่ร้ายป้ายสี ว่าจะก่อการกบถเลยครับ(ดีนะครับที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๓ ท่านทรงมีน้ำพระทัยหนักแน่น เยือกเย็น ไม่หูเบา) ดังนั้นเมื่อพระองค์ท่านลาสิกขาขึ้นครองราชย์ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของข้าราชบริพารจึงทรงฝักใฝ่ใธรรม สนับสนุนการเผยแพร่จริยธรรม ตลอดจนการพระศาสนาต่างๆ พระองค์เองก็ทรงชุดขาวถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ฟังธรรมทุกวันธรรมสวณะจึงเรียกยุคนี้ว่า"ยุคสนิทธรรม"

๕. จำแขนขาด ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดเป็นยุคที่น่าเศร้าใจอีกยุคสมัยหนึ่ง เพราะเป็นสมัยที่พวกตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ mและฝรั่งเศส กำลังแข่งขันกรีฑาทัพเข้ายึดประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเซีย เป็นเมืองขึ้น หรือที่เรียกกันว่า "ยุคล่าอาณานิคม" เมืองสยามของไทยเรานั้น เป็นเมืองรักสงบ เปรียบเสมือนลูกแกะ ไม่มีเขี้ยวเล็บอะไรที่จะไปต่อกรกับชาติมหาอำนาจอย่างกับอังกฤษและฝรั่งเศส ประเทศเพื่อนบ้านรอบ ๆ ไทยเรา ก็โดนเขากวาดเรียบไปหมดแล้ว เหลือพี่ไทยอยู่เจ้าเดียวเท่านั้น ดังนั้นในสมัยนี้ ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส จึงบีบไทยทุกด้าน หาเรื่องทุกอย่าง ที่จะเป็นเหตุยกทัพบุกยึดประเทศให้ได้ 

แต่ด้วยพระปรีชาญาณแห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง พระองค์ได้ดำเนินวิเทศโยบายอย่างรัดกุม ทรงเสด็จประพาสยุโรป ถึง ๒ หน รวมไปถึงรัสเซียมหามิตรของไทยในสมัยนั้นด้วย นับว่าเป็นผลสำเร็จอย่างดีเยี่ยมเพราะไทยเราได้เพื่อนเอาไว้เป็นไม้กันหมา ถึงกระนั้นก็เถอะ ไทยเรายังต้องยอมเสียดินแดนส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ คือไม่ให้เกิดสงครามจนเราแพ้ต้องเสียเอกราช คือเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ร.ศ ๑๑๒ หรือ พ.ศ. ๒๔๓๖) แก่ฝรั่งเศส หลังจากที่ในปี พ.ศ๒๔๓๑ ได้เสียแคว้นสิบสองจุไทย ให้มันไปแล้ว (ขออนุญาตใช้คำว่ามัน เพราะพฤติกรรมเยี่ยงอันธพาล) 

ต่อมามันก็หาเรื่องอีก ได้ถอนทัพเรือไปยึดจันทบุรีเอาไว้ ไทยต้องยอมมันอีก โดยยกดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง และเมืองหลวงพระบาง ให้เจ้าเศษฝรั่งไปครอบครอง ให้ไปร้องไห้ไปล่ะครับ ให้จนกว่ามันจะพอใจหรือไม่สามารถหาเรื่องเราได้อีกแล้ว ต้องจำแขนขาดเพื่อรักษาชีวิต หรือผืนดินแผ่นใหญ่เอาไว้ให้ลูกหลานจนทุกวันนี้ (เรื่องของไอ้เศษฝรั่งนี่มันยังทำแสบ โดยวางแผนปลงพระชนม์รัชกาลที่ ๕ เมื่อคราวเสด็จประพาสบ้านเมืองของมันอย่างแยบยล เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามอ่านในตอน "คำพยากรณ์หลวงปู่เอี่ยม กับ ร.๕" ส่วนอังกฤษนั้น ค่อยยังชั่วน้อยหน่อย ไม่ถึงกับพาลหาเรื่องนัก โดยในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ ไทยเรายอมทำสัญญา ยกดินแดนหัวเมืองทางมาลายู คือ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส ให้อังกฤษ เพื่อแลกกับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต หรือ อำนาจศาลกงสุล

๖. ราษฏร์โจร (ราชโจร) ในสมัยรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุคที่ไทยเรามีการนิยมของนอก มีการฟุ้งเฟ้อ เอาอย่าง เลียนแบบ วัฒนธรรมตะวันตก โดยเฉพาะในหมู่ข้าราชบริพาร ขุนน้ำขุนนางในราชสำนัก มีการแต่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์กันมากเกินไป จนแทบจะไม่มีความหมาย เป็นยุคเริ่มต้นแห่งภัยพิบัติในด้านเศรษฐกิจที่จะตามมาในยุคต่อไป การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน ทำลายแผ่นดินทางอ้อม ในสมัยนี้มีผู้คิดปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเหมือนกัน แต่ทำไม่สำเร็จกลายเป็นกบฎไป (กบฎ รศ.๑๓๐)

๗. ชนร้องทุกข์ ในสมัยรัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดเป็นยุคที่ผู้คนพลเมืองต้องประสบกับภาวะ "ข้าวยากหมากแพง" ผู้คนอดอยาก แร้นแค้นด้วยสภาวะเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ และผลสืบเนื่องมาจากการฟุ้งเฟ้อในรัชกาลก่อน มีการปลดข้าราชการออกเพราะไม่มีเงินเบี้ยหวัด เงินปีให้ เป็นสมัยที่เริ่มให้ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงร้องทุกข์ แสดงความคิดเห็นจนกระทั่งมีการกระทำที่รุนแรงถึงขั้นปฏิวัติยึดอำนาจ ให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์ มาเป็นประชาธิปไตย จนในที่สุดพระองค์ต้องทรงสละราชสมบัติ และเสด็จไปสวรรคต ณ ต่างประเทศ

๘. ยุคทมิฬ ในสมัยรัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล จัดเป็นอีกยุคหนึ่งที่ประวัติศาสตร์ชาติไทยต้องจารึกไว้ไม่มีวันลืม เพราะองค์ในหลวงอันเป็นที่รักยิ่งของเรา ทรงถูกลอบปลงพระชนม์ ถึงแก่สวรรคต แม้จนกระทั่งปัจจุบันนี้ คดีก็ยังคลุมเครือ เป็นที่วิพากย์วิจารณ์ เป็นที่กินแหนงแคลงใจของคนทั่วไปถึงสาเหตุแห่งการลอบปลงพระชนม์ และผู้บงการ บ้านเมืองในยุคที่เริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ จัดเป็นยุคที่มีการแย่งชิงอำนาจ มีการปฏิวัติ รัฐประหาร เข่นฆ่าคนไทยด้วยกันเองจัดได้ว่าเป็น "ยุคทมิฬ" ยุคแห่งความเหี้ยมโหด ไร้ความปราณีและศีลธรรมอย่างแท้จริง

๙. ถิ่นตาขาว (ถิ่นกาขาว) ในยุคสมัยปัจจุบันแห่งองค์ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระภัทรมหาราชเจ้า มีชื่อเรียกยุคนี้ว่า "ถิ่นตาขาว" ซึ่งคงจะหมายถึงพวกฝรั่งตาน้ำข้าวละกระมัง เพราะเป็นยุคที่องค์พระประมุขของเรา พร้อมด้วยองค์พระราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะซีกโลกทางด้านตะวันตก นอกจากนั้นแล้วยังทรงต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากประเทศต่าง ๆ ที่มาเยือนอย่างมากมายเช่นกัน ฝรั่งตาน้ำข้าวเองก็ "อะเมซิ่งไทยแลนด์" ไม่น้อย พากันมาเที่ยวเยี่ยมเยียน ไอ้ที่ติดใจสาวไทย รสอาหารแบบไทยๆ บรรยากาศแบบไทยๆ ก็ตั้งรกรากอยู่เมืองไทยซะเลย กลายเป็นถิ่นฐานของพวกเขาไปซะแล้ว เหตุนี้กระมังจึงเรียกยุคนี้ว่า "ถิ่นตาขาว" และอีกคำหนึ่งที่เพี้ยนเสียงไปเป็น "กาขาว" ล่ะ หมายความว่าอย่างไรดี 

ตอนแรกนะผมนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ว่า "ตา" จะเป็น "กา" ไปได้อย่างไร แต่พอมาระยะ ๕-๖ ปีให้หลังมานี้ผมึง "บางอ้อ" ไม่ใช่พี่ไทยเลี้ยงอีกาสีขาวหรอกครับ เพราะกายังไงเสีย กาขนมันก็ดำวันยังค่ำ แต่ คนไทยเราไม่เจียมบอดี้ หรือไม่เจียมตนน่ะซิครับ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนสมัยรัชกาลที่ ๖ ไม่ผิดเพี้ยนเลยคือมีการนิยมของนอก มีการใช้จ่ายที่เกินตัว ฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิม อยากได้อะไรเป็นต้องได้ ขนาดลงทุนเป็นหนี้เป็นสินเขาดอกเบี้ยสูงขนาดไหนก็เอา เห็นผิดเป็นชอบ เห็นดำเป็นขาว เหมือนอีกาที่ขนดำก็อยากจะทำให้มันขาว คราวนี้แจ่มชัดหรือยังว่า ทำไมเมืองไทยถึงเป็น "ถิ่นกาขาว" หรือ"ถิ่นตาขาว" ไม่รู้ลองไปถามไอ้พวกฝรั่ง " IMF " ดู แล้วจะรู้ไปถึงก้นบี้งหัวใจ

๑๐. ชาวศิวิไลซ์ หมายถึงยุคที่ ๑๐ หรือรัชกาลที่ ๑๐ ซึ่งยังมาไม่ถึง มีผู้ตีความกันต่าง ๆ นานาเมื่อดูจากความหมายแล้ว คำนี้มาจากภาษาอังกฤษ หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง สงบสุขร่มเย็น ดังนั้นก็เป็นอันเชื่อขนมกินกันได้เลยว่า ในรัชสมัยต่อไป ประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเราจะต้องเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า มั่นคงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ประชาชนจะอยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข หน้าชื่นตาบานกันทุกถ้วนหน้า จริงเท็จประการใด กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์

จากที่มีการเล่าลือเป็นอัปมงคลว่าจะมีเพียง 10 รัชกาล พระท่านจึงเมตตาบอกต่อให้ชัดๆ อีก 2 รัชกาล

11.ไทยมหารัฐ คือยุคที่ประเทศไทยเข้าสู่ความรุ่งเรืองยิ่ง มีความเจริญทางเศรษฐกิจล้ำหน้าประเทศเพื่อนบ้านไปมาก จนทุกประเทศอยากเป็นมิตร บางเขตที่ติดต่อกันถึงกับขอมาผนวกด้วย

12.จักรพรรดิราช ด้วยพระบรมโพธิสมภารแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ปัจจุบันที่ทรงปูพื้นฐานไว้ เมื่อถึงยุคนี้ คุณาปการเหลือคณานับก็ประจักษ์ชัดแก่นานาอารยะประเทศ ถึงกับบังเกิดกระแสนิยมในระบอบกษัตริย์ บางประเทศที่สิ้นวงศ์กษัตริย์ไปแล้วก็ถึงกับมาขอพระบรมวงศ์ของไทยไปยกขึ้นเป็นกษัตริย์ของเขา พระราชประเพณีของไทยจะได้รับการถ่ายทอดและยึดถือเป็นแบบอย่าง พระมหากษัตริย์ต่างๆจึงถวายสักการะ เคารพบูชาพระมหากษัตริย์ของไทยด้วยความเป็นราชวงศ์ต้นแบบ และเป็นพระราชทายาทตรงแห่งพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าผู้ทรงทศพิธราชธรรมบริสุทธิ์อย่างไร้ข้อกังขา พระมหากษัตริย์ของไทยจึงทรงไว้ซึ่งพระราชศักดิ์สูงสุดในโลก ประดุจดังพระเจ้าจักรพรรดิรา

--------------------------------------------------------------------------------------------------

ถิ่น กาขาว
ควรจะหมายถึง ชาวจีน จำนวนมาก อพยพหนีภัยพรรคแดง
มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร มาประกอบอาชีพค้าขายจนมั่งคั่ง
และลูกจีนต่างก็รู้สึกรักในหลวง รักประเทศไทย

ถิ่น ตาขาว
ควรจะหมายถึง ยุคที่ชาวบ้านตาพร่ามัวเห็นคนพาล กลายเป็นฮีโร่ สนับสนุนให้มีอำนาจรัฐ กร่างจนสุจริตชนเกรงกลัวจนตาขาว
ชาวบ้านเห็นคนดีกลายเป็นผู้ร้าย ต่างพยายามรุมทำร้ายคนดี ขัดขวางคนดีไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสะดวก ทำให้บ้านเมืองไม่สงบ

เป็นสถานะการณ์ที่เกิดพร้อมกัน จึงเป็นยุคเดียวกัน
__________________
ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ ธรรมะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

กาขาว เปรียบดั่งเช่นผู้ปฎิบัติธรรม จะมีชีวิตอย่างเป็นสุขเพราะเข้าใจในพระธรรม เพราะความละอายเกรงกลัวต่อบาป จึงทำให้มีความเห็นถูกต้อง กาเป็นสัตว์มีขนสีดำ เหมือนมนุษย์เคยทำบาป ในเรื่องผิดศีลผิดธรรม เมื่อมารักษาศีล ปฎิบัติธรรม จึงทำให้กาดำเป็นกาขาว ตามพุทธทำนายนำมาจาก หนังสือธรรมะของแม่ชีทศพร เล่มล่าสุด เรื่องธรรมะค้าขายดีค่ะถ้าเป็นดั่งคำแปลนี้จริง เหตุการณ์นี้ก็ยังไม่เกิดตอนนี้?? เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต??
อ่านเล่นๆนะครับ
ปรีดี  ยืนยง----------------------------------------------------------------------------------------------------




1 ความคิดเห็น:

แมว กล่าวว่า...

กาขาว ก็คือกาที่ตัวดำๆไม่มีทางเป็นสีอื่นได้เป็นเจ้าถิ่น แล้วย้อมขนเป็นสีขาวเพื่อหลอกผู้คนให้หลงคิดว่าเป็นนกอื่นที่มีสีขาวบริสุทธิ์ น่าจะประมาณนี้นะคะ