โลกธาตุ

โลกธาตุ

โลกธาตุ เป็นเรื่องราวที่จะเน้นเรื่องสรรพชีวิต ทุกรูปแบบที่มีอยู่ทุกๆแห่งหนในจักรวาล มหาจักวาล จุลจักรวาล  โดยปกติ ที่เรียกว่าโลกเพราะต้องแตกสลาย    เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ท่านเจอบนโลกใบนี้ หรือโลกใบอื่น  วันหนึ่งโลกต้องแตกสลาย   สูญหายไปเป็นธรรมดา  อนึ่งธรรมดาของโลก มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วแตกสลายไป ตลอดนิจนิรันด์ดังนี้   โดยตถาคตบัญญัติโลกโดยย่อให้ศึกษาคือ กายยาววา หนาคืบ กว้างศอก เป็นศูนย์รวมของความรู้ทั้งหมด ทั้งปวง   (  ตีความเอาว่า หากเข้าใจตัวท่านเองทั้งหมด ทั้งสิ้น) ส่วนธาตุอีกอย่างที่ต่างออกไปคือ ธรรมธาตุ

ธรรมธาตุ 

ส่วนธรรมธาตุ นั้น มีความหมายตามที่ลอกมาคือ

ธรรมธาตุ   มาจากคำว่า   ธรรม กับ ธาตุ
ธรรม         มาจาก ธร+รมม(รัมมะ)
ธร             แปลว่าความทรงไว้ รมม แปลว่า สภาพ
ธรรม    จึงหมายถึง สภาพแห่งความทรงไว้ คือ ความจริง
ธาตุ      มาจาก ธา + ตุ
ธา        แปลว่าในความทรงไว้ ตุ แปลว่า ผู้
ธาตุ    จึงหมายถึง ผู้อยู่ในความทรงไว้ หรือความเป็น
ธรรมธาตุ   โดยพยัญชนะ จึงแปลว่า ผู้อยู่ในความทรงไว้ตามสภาพแห่งความทรงไว้
ธรรมธาตุ   โดยอรรถกถา จึงหมายถึง ผู้รู้ความจริงทั้งปวงดังนี้
ธรรมจำแนกได้ ๕ หมวดตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแล้วนั้นดังนี้

อันว่าด้วยเรื่องโลก ๑  --อันว่าด้วยชีวิต ๑  --- อันวาด้วยจิตใจ ๑    -อันว่าด้วยกลไกกรรม ๑  --- อันว่าด้วยความเป็นจริง ๑   ขอตั้งเรื่องราวของธรรมธาตุไว้แค่นี้เพราะเกินวิสัยเกินปัญญาของข้าพเจ้าจะรู้ได้ด้วยสมอง และมิจฉาทิฎฐิ

ความจริงของโลก เรื่องทางโลก

ความจริงของโลกคืออความไม่เที่ยง ที่ไม่เที่ยงเพราะเป็นโลก โลกย่อมมีกาล กาลคือจักร จักรคือกาลหมุน การหมุน คือวัฏสงสาร อะไรที่มันหมุน ที่หมุนคือมหาภูตรูป ดิน น้ำ ลม ไฟ  คือดวงดาว คืออากาศธาตุ และวิญญานธาตุ ที่ปรุงแต่งกันขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราว สมัยก่อนมี เทวดา คนธรรพ์ วิทยาธร รากษส นาค ครุฑ ฯลฯมากมาย

โลกธาตุแบบโบราณ จึงไม่มีให้เห็นในสมัยนี้นอกจากในหนัง   เด็กรุ่นหลังอาจหัวเราะว่างมงายไร้สาระ  เรื่องราวของชีวิตจึงมีแต่ในเอกภพ กาแลกซี่ มนุษย์ต่างดาว มนุษย์โลก ชาติฝรั่ง จีน นิโกร แขก ฯลฯ   หมีขาว นกเพนกวิน  รถยนต์ เรือยนต์ เตรื่องบิน ทีวี คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน  หุ่นยนต์ ฯลฯ มาแทนที่ เป็นยุควัตถุคือไม่มีจิตวิญญาน มีแต่สมองกล  สรรพวัตถุอันวิเศษถูกสร้างโดยมนุษย์ยุคใหม่  สมัยก่อนมีแต่เกวียน กับสิ่งมีชีวิตยุคเก่าๆหลายระดับ  ที่มนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้น  เกิดจากกุศลผลบุญกรรมที่ทำ ปรุงแต่งเป็นภพภูมิ ฯ ต่าง ในอนาคตวันข้างหน้าอีกหลายๆปี     โลกธาตุจะเปลี่ยนไปเป็นยังไงก็ไม่รู้ ใครมีฌานทัศนะข้ามกาลเวลา หรือมี ไทม์แมทชีน ก็ลองเข้าไปสำรวจดูครับ

ภาพจาก gmwebsi เอามาคลี่ให้กว้างออก

โลกธาตุแบบเก่า...  โลกธาตุทั้งหลายในคติของพุทธศาสนา(จูฬนีสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต) ล้วนมีจักรวาลมากมายนับไม่ถ้วนจึงเรียกว่าอนันตจักรวาลประกอบกันขึ้นมา โดยแต่ละจักรวาลมีอาณาเขตสิ้นสุดที่แน่นอนล้อมรอบด้วยภูเขาจักรวาลเป็นปริมณฑล และจักรวาลก็อยู่ชิดติดกันรวมเป็นกลุ่ม เรียกกลุ่มจักรวาลนี้ว่า โลกธาตุ ซึ่งต่างจากทางวิทยาศาสต์ปัจจุบันที่ คติทางศาสนา จะมีสัตว์โลกอยู่ทั่วไป คือมนุษย์ เทวดาฯ ดังนี้

จักรวาลหนึ่งมีองค์ประกอบดังนี้

ดวงจันทร์ ๑ ดวงอาทิตย์ ๑
ภูเขา ๗ ลูก (สัปตบรรบต)เรียงออกจากเขาพระสุเมรข้างในไปข้างนอกคือ ๑เขายุคนธร ๒เขาอิสินทร ๓. เขาการเวก ๔ เขาสุทัศน์ ๕.เขาเนมินทร ๖.เขาวินันตก ๗.เขาอัสกัน
โดยในแต่ละภูเขาจะมีมหาสมุทรชื่อสีทันดรมหาสมุทรขวางกั้นอยู่ และดินแดนมนุษย์อยู่นอกสุด เรียกว่ามนุษย์ภูมิ

อบายภูมิ ๔ คือโลกที่มีความเป็นอยู่เดือดร้อน ๔ แห่ง( คือ โลกนรก โลกเปรต อสุรกาย และดิรัจฉาน)อยู่ใต้ภูเขาตรีกูฏมหาบรรพต (ในรูปเรียกภูเขาสามเส้า
)

มนุษย์ภูมิมี๔ทวีป คือปุพเพวเทหทวีป ชมพูทวีป(โลกมนุษย์ตั้งอยู่บนชมพูทวีป) อปรโคยานทวีป อุตตรกุรุทวีป

เทวดาชั้นยามาภูมิ

เทวดา๗ชั้น ๑. เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ๒. ดาวดึงส์ ๓. ยามา ๔.ดุสิต ๕. นิมมานรดี ๖. ปรินิมมิตวสวัตตี

พรหมโลกชั้นต่างๆอีก ๑๖ชั้น ตั้งแต่ปฐมฌานภูมิ จนถึงอรูปพรหมภูมิ ทั้งหมดรวมเป็นหนึ่งจักรวาล

ดูแล้วเป็นการกล่าวเรื่องภูมิ ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องภพ อันหมายถึงที่อยู่ของสัตว์ แต่พระอาทิตย์พระจันทร์ ต้องโคจรรอบเขาพระสุเมรอยู่ พระอาทิตย์จึงไม่ใช่แกนจักรวาล แกนจักรวาลคือเขาพระสุเมร
โลกธาตุ คือ กลุ่มของจักรวาลหลายๆ จักรวาลรวมกัน โลกธาตุมีหลายขนาด การเรียกชื่อของโลกธาตุเป็นไปตามจำนวนของจักรวาล คือ
๑. สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ คือ โลกธาตุ(อย่างเล็ก)ประกอบด้วยพันจักรวาล
๒. ทวิสหัสสีมัชฌิมิกาโลกธาตุ คือ โลกธาตุ(อย่างกลาง)ประกอบด้วยล้านจักรวาล
๓. ติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ คือ โลกธาตุ(อย่างใหญ่)ประกอบด้วยแสนโกฏิจักรวาล

 จักรวาลในทางดาราศาสตร์
ในแง่คติทางวิทยาศาสตร์ หรือดาราศาสตร์       โลกและจักรวาลที่รวมกันหลายๆจักรวาลเป็นกาแลกซี่ หลายๆกาแลกซี่รวมเป็นเอกภพ      นักวิทยาศาสตร์พยายามตามหาชีวิตทุกชนิดที่มีอยู่ด้วยเทคโนโลยีทุกชนิด    ยกเว้นจะไม่ตามหาเทวดา พรหม อสูร เปรต อสุรกายฯ เพราะเป็นคติคนละอย่างกัน ทางวิทยาศาสตร์ถือว่าไม่มี    เพราะคติทางวิทยาศาสตร์ถือเอา ตา หู จมูก ลิ้น สำผัส(กาย) และ สมอง เท่านั้น เรืองใจไม่มี        แต่เรื่องใจเรื่องจิตเรื่องเจตสิกจะเป็นเรื่องในทางศาสนา คงไม่สามารถไปกันได้


มองโลกธาตุอีกมุม
เปรียบเทียบเอาเฉพาะในแง่รูปธรรมที่ปุถุชนพอจะเข้าใจได้      ถ้าเราพิจรณาดูร่างกายของเราให้เราอยู่นอกสุดเป็นมนุษย์ภูมิ    แล้วเราเดินเข้าไปดูข้างในๆที่ประกอบไปด้วยเซล     เซลในร่างกายของเราซึ่งก็คือจุลจักรวาล   ประกอบด้วยเซลประมาณ 1,000 ล้านๆเซล แต่ละเซลคือ ๑ จักรวาล    แต่ละจักรวาลมีพระพรหมมีเทวดารักษาอยู่คือระบบภูมิต้านทาน มีพวกเชื้อโรคเป็นมารเป็นอสูร         มีพวกพยาธิพวกปรสิตเป็นเปรตเป็นเดรัจฉานเป็นต้น     น่าจะพออธิบายเป็นอุปมาอุปมัยเข้ากับคติทางพุทธศาสนาที่ว่า      ตถาคตบัญญัติโลกโดยย่อทั้งหมดให้เหลือเพียง กาย ยาววา หนาศอก กว้างคืบเท่านั้น   หากเข้าใจได้หมด ก็สามารถเข้าใจโลกและจักรวาลได้ทั้งหมด
คิดแบบคนที่ใช้แต่มันสมองคิดนะครับ   เพราะไม่มีคุณธรรมระดับสูงที่จะก้าวล่วงลงสู่ญานทัศนะ ที่บรรดาท่านนักปราชญ์ได้บอกได้สอนไว้     เช่นหลวงปู่มั่น หลวงปู่ฤาษีลิงดำ หลวงปู่เทสน์ หลวงปู่ชา หลวงปู่ดุลย์ หลวงตามหาบัว     พระอจ.จรัลและอีกหลายเกจิอาจารณ์ในประเทศไทย     

แล้วก็อย่าลืมไปดู บทสวดพระคาถาชินบัญชรฉบับแปล ด้วยนะครับ  ท่านอาจจะเห็นอีกแง่มุมหหนึ่ง     เกี่ยวกับเรื่องจักรวาลก็ได้(ส่วนเรื่องเซล เมื่อสมัยผมบวชเมื่อหลายปีมาแล้ว




พระอจ.ที่สอนกัมมฐานเล่าให้ฟังว่าเวลาที่ท่านนั่งสมาธิท่านสามารถเห็นพวกเซลในร่างกายเราคุยกันหรือติดต่อสื่อสารกัน ท่านอจ.รูปนั้นตอนเมื่อ 2-3 ปีมานี้ท่านเป็นอัมพฤติหรือเบาหวานหรืออะไรสักอย่างนึงญาติมารับไปอยู่ไหนไม่รู้ เสียดายวัดบนภูเขาที่ท่านอุตสาห์พัตนา กลับเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็วเพราะขาดผู้สานต่อ ผมเลยไม่ได้ไปสอบถามปัญหาธรรมจากท่านอีก)สรุปคือผมอยากให้มองจากหลายมิติ ไม่ใช่มิติจากมนุษย์อย่างเดียว  สมมุติให้มนุษย์เป็นเพียงเชื้อไวรัสเล็กๆๆๆดู แล้วท่าลองสมมุติให้ตัวท่าเองตัโตเท่ากับกาแลกซี่ดู ท่านก็จะเห็นจักรวาลเป็นอีกแบบนึง
      
มาดูอีกคติหนึ่งเรื่องโลกธาตุ เป็นทฤษฎีโบราณที่มีมานานที่เราเคยเรียนมาตั้งแตชั้นประถมฯ คือเรื่องไตรภูมิพระร่วงหรือ ไตรภูมิกถา เป็นวรรณคดีทางพุทธศาสนาที่เก่าแก่และสำคัญเล่มหนึ่งของไทย มีอายุกว่า 600 ปี แต่งขึ้นโดยพญาลิไทย (พระมหาธรรมราชาที่ 1) พระมหากษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์พระร่วง เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีระกา ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ.1864(ปีเก่า) จ.ศ.683 ม.ศ.1243 นับเป็นปีที่ 6 ที่ขึ้นครองราชย์ ซึ่งสอดคล้องตาม บานแพนกเดิมว่า "เสวยราชสมบัติในเมืองสัชชนาไลยยอยู่ได้ ๖ เข้า"
ไปดูที่ต้นฉบับเดิมได้แต่อ่านแล้วเข้าใจยากหน่อยเพราะเป็นสำนวนสมัยก่อน..
http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87

โลกธาตุจากไตรภูมิพระร่วง.

ไตรภูมิพระร่วง คติจักรวาล และเขาพระสุเมรุ   
เรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลายในภูมิ 3 ภูมิ รวมทั้งความเชื่อในเรื่องคติจักรวาลและเขาพระสุเมรุ มีปรากฎอยู่อย่างกระจัดกระจายหลายแห่งในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เช่น คัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา และฎีกา ซึ่งนักปราชญ์หลายท่านได้รวบรวมแต่งขึ้น เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ทราบความเป็นไปตามคตินิยมทางพุทธศาสนา และเพื่อให้เกิดความเชื่อถือ เลื่อมใส และสังเวชใจ จะได้ละเว้นจากการทำบาป ประกอบแต่คุณงามความดี


                                   
                                        คลิปวิดีโอเรื่องโลกธาตุสวยๆ

เรื่องราวของไตรภูมิ คติจักรวาล และเขาพระสุเมรุ ได้กลายเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดและวิถีชีวิตของคนไทย และได้สะท้อนออกมาในวรรณกรรม ศิลปกรรมต่างๆ เช่น สถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม และประณีตศิลป์ จึงได้ทำให้ไตรภูมิ คติจักรวาล และเขาพระสุเมรุเป็นความรู้ในเบื้องต้นที่ควรศึกษาให้เข้าใจดูได้จากภาพเขียนตามโบสถ์ และวิหารทั่วไป

ไตรภูมิ แบ่งเป็น 3 ภูมิคือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ เป็นที่สัตว์ทั้งหลาย คือ มนุษย์ สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย เทวดา และพรหม จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิทั้ง 3 นี้ ตามกรรมดีและกรรมชั่วที่ได้สั่งสมไว้ ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้

กามภูมิ
เป็นภูมิที่ยังข้องเกี่ยวอยู่กับกามตัณหา ยังมีโลภะ โทสะ โมหะอยู่ แบ่งออกเป็น

ทุคติภูมิ  
หรืออบายภูมิ หมายถึง โลกที่ปราศจากความเจริญหรือความสุข ประกอบไปด้วย
นรกภูมิ ภูมิที่ปราศจากความสุขสบายโดยชิ้นเชิง
หรือนิรยภูมิ ภายในจักรวาลมีรกใหญ่ (มหานรก) อยู่ 8 ขุม แต่ละขุมจะมีนรกบริวารอีก 16 ขุม และยมโลกนรกอีก 320 ขุม นรกเหล่านี้อยู่ใต้ชมพูทรีปในระหว่างจักรวาล สัตว์ที่ไปเกิดในนรกเหล่านี้ จะได้รับการลงโทษในนรกแต่ละขุมต่างกันไป ตามความชั่วที่ได้กระทำไว้

มหานรกทั้ง 8 ขุม ได้แ
ก่

สัญชีพนรกสัญชีพนรก ต้องทุกขทรมานถึง 500 ปีทิพย์ คือ 9 ล้านปีมนุษย์ = 1 วัน 1 คืน ของนรกขุมนี้ 4,500 ล้านปีมนุษย์

กาฬสุตตนรก 1,000ปีทิพย์ 3โกฏฏ์6 ล้านปี 36 ล้านปีมนุษย์ = 1 วัน 1 คืน ของนรกขุมนี้ 36,000 ล้านปีมนุษย์

สังฆาฏนรก 2,000ปีทิพย์ 14 โกฏฏ์ 4ล้านปี 145 ล้านปีมนุษย์ = 1 วัน 1 คืน ของนรกขุมนี้ 290,000 ล้านปีมนุษย์

โรรุวะนรก 4,000ปีทิพย์ 23โกฏฏ์ 4 ล้านปี 234 ล้านปีมนุษย์ = 1 วัน 1 คืน ของนรกขุมนี้ 936,000 ล้านปีมนุษย์

มหาโรรุวะนรก 8,000ปีทิพย์ 921 โกฏฏ์ 6 ล้านปี 9,216 ล้านปีมนุษย์ = 1 วัน 1 คืน ของนรกขุมนี้ 73,728,000 ล้านปีมนุษย์

ตาปนรก 16,000ปีทิพย์ 184 โกฏฏ์ 216 ล้านปี 184,212 ล้านปีมนุษย์ = 1 วัน 1 คืน ของนรกขุมนี้ 2,947,392,000 ล้านปีมนุษย์


มหาตาปนรก ครึ่งอันตรกัปป์

มหาอเวจีนรก 1 อันตรกัปป์ (นรกอเวจี) เป็นนรกขุมใหญ่ มีกำแพงเหล็กที่ลุกเป็นไฟล้อมรอบ ภายในมีเปลวไฟเผาไหม้ทั้งกลางวันและกลางคืน สัตว์นรกในขุมนี้มีมาก จึงอยู่กันอย่างแออัดยัดเยียด ผู้ที่มาเกิดในนี้ได้ทำอนันตริยกรรม (กรรมหนัก) 5 ประการ อันได้แก่
1. ฆ่าหรือใช้ให้คนอื่นฆ่ามารดา
2. ฆ่าหรือใช้ให้คนอื่นฆ่าบิดา
3. ฆ่าหรือใช้ให้คนอื่นฆ่าพระอรหันต์
4. ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต
5. ยุยงให้สงฆ์แตกกัน

ตัวอย่างเช่น ในสมัยพุทธกาลพระเทวฑัตได้ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต ต่อมาถูกธรณีสูบลงไปอยู่ในนรกอเวจี จึงเกิดสำนวนว่า "ตกนรกใต้เทวฑัต" นรกบริวารของนรกใหญ่เรียกว่า นรกบ่าว มีชื่อรวมว่า อุสสุทนรก ล้อมรอบด้วยนรกใหญ่ขุมละ 16 รวมเป็น 128 ขุม มีชื่อทั้ง 16 ขุม เช่น โลหสิมพลีนรก (สัตว์ทั้งหลายที่ลงมารับกรรมในนรกนี้ เพราะได้ทำชู้กับผัวหรือเมียของคนอื่น ซึ่งมีป่าไม้งิ้วที่มีหนามเป็นเหล็กแดงลุกเป็นไฟ ยมบาลลงโทษโดยเอาหอก หลาว แทงให้ไต่ขึ้นลง) และรอบนอกของนรกบ่าว มีนรกเล็ก (ยมโลกนรก) อีก 320 ขุม

นอกจากนี้ยังมีนรกขุมใหญ่อีกขุมที่ตั้งอยู่นอกจักรวาล ชื่อ โลกันตนรก สถานที่ตั้งของนรกขุมนี้อยู่ตรงช่องระหว่าง 3 จักรวาลที่มาชิดกัน ภายในขุมนรกนี้มืดมิดทั้งวันทั้งคืน เพราะแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ และแสงดาวส่งไปไม่ถึง นอกจากว่าจะมีเหตุการณ์สำคัญๆ ในพุทธประวัติ เช่น พระพุทธองค์ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ก็จะเกิดแสงสว่างแวบขึ้นวาบเดียวเหมือนสายฟ้าแลบ สัตว์นรกในนี้จะมีตัวใหญ่ มีเล็บมือ เล็บเท้ายาว เอาไว้เกาะกำแพงจักรวาลห้อยตัวเหมือนค้างคาวอยู่ในความมืด และด้วยความหิวโหย เมื่อขยับมือไปถูกมือซึ่งกันและกัน ก็จะกัดกินเพราะคิดว่าเป็นอาหาร เกิดการต่อสู้กันจนตกลงไปในน้ำกรดเย็น ทำให้ร่างกายเปื่อยไปจนตาย แล้วกลับเป็นตัวขึ้นมาปีนขึ้นไปห้อยโหนอีกจนกว่าจะหมดกรรม ผู้ที่ตกนรกขุมนี้ได้เคยทำร้ายพ่อ แม่ สมณพราหมณ์ ผู้ตั้งอยู่ในธรรมและฆ่าสัตว์ทุกวัน (ภาพของนรกมักจะปรากฎอยู่ในจิตรกรรมฝาผนังภายในโบสถ์และวิหาร)


                                       คลิปเกี่ยวเนื่องกับโลกธาตุ

ดิรัจฉานภูมิ

เป็นภูมิของสัตว์ที่มีความยินดีในเหตุ 3 คือ การกิน การนอน และการประกอบเมถุน สัตว์ในภูมินี้ไม่ว่าจะมี 2 เท้า 4 เท้า หรือไม่มีเท้า เวลาเคลื่อนที่ไปจะคว่ำอกลงเบื้องต่ำ ไม่เดินตัวตรงอย่างมนุษย์ ในภูมินี้มีสัตว์อยู่หลายชนิด เช่น ครุฑ นาค ราชสีห์ ช้าง ม้า วัว ควาย เป็ด ไก่ ห่าน นก สัตว์ทะเล เช่น ปลา เป็นต้น

• ครุฑ อาศัยอยู่เชิงเขาพระสุเมรุ บริเวณสระใหญ่ที่ชื่อสิมพลีสระ มีป่างิ้วล้อมรอบ มีพญาครุฑ เป็นใหญ่แห่งครุฑทั้งหลาย ครุฑมักจะฉุดนาคขึ้นมาบนบริโภค

• นาค อาศัยอยู่ในนาคพิภพที่เชิงเขาพระสุเมรุ มีพญานาคเป็นใหญ่ในหมู่นาคทั้งปว

• ราชสีห์ มี 4 ชนิด คือ ติณราชสีห์ (ติณสีหะ) กาฬราชสีห์ (กาฬสีหะ) ปัณฑราชสีห์ (ปัณฑุรสีหะ) เกสรราชสีห์ (ไกรสรสีหะ) ในบรรดาราชสีห์งดงามของสัตว์ 4 เท้าทั้งมวล ช้างมีอยู่ 10 จำพวก ได้แก่ กาฬวกะ คุงเคยยะ ปัณฑระ ตัมพะ ปิงคละ คันธะ มังคละ เหมะ อุโบสถ ฉัททันต์

• ปลา มีปลาตัวใหญ่ 7 ตัว ชื่อ ติมิ ติงมิงคล ติมิรปิงคล อานนท์ ติมิมทะ อัชณนาโรหะ มหาติมิระ

เปรตภูมิ
เป็นดินแดนที่ผู้มีความโลภมาก ถูกลงโทษทัณฑ์ให้ได้ทรมาน ในภูมินี้จะต่างตรงที่ว่าไม่มีผู้ที่คอยลงโทษเพราะเหล่าเปรตจะยื้อแย้งกัดกินกันเอง ด้วยวิสัยตนที่ชอบเบียนเบียนผู้อื่นอยู่แล้วในตอนเป็นมนุษ เปรตมีมากมายหลายประเภท การที่จะไปเกิดเป็นเปรตชนิดใดก็ขึ้นอยู่กับอกุศลกรรมที่ทำไว้ เช่น ตอนที่เป็นมนุษย์รับจ้างฆ่าคน เมื่อตายไปเกิดเป็นเปรตรูปร่างใหญ่โต ไม่มีศีรษะ มีปากและตาอยู่ที่อก มีฝูงแร้งกาบินมาจิกกินอวัยวะ บางคนตอนเป็นมนุษย์พิพากษาตัดสินความด้วยความไม่เป็นธรรม และรับสินบนให้คนผิดเป็นถูก ตายไปจะมีรูปร่างน่าทุเรศ เป็นเปรตเพศชาย มีอัณฑะใหญ่เท่าหม้อเท่าไห เวลาเดินต้องแบกลูกอัณฑะพาดบ่าแล้วเดิน เปรตบางพวกมีวิมานอยู่ราวเทวดา และมีอาภรณ์ประดับอย่างงดงาม แต่อดอยาก จนต้องเอาเนื้อหนังของตนมาเป็นอาหาร เมื่อตอนเป็นมนุษย์เป็นเจ้าเมืองที่ปกครองโดยไม่เป็นธรรม ไม่ทำบุญทำทาน และกอบโกยเอาสมบัติส่วนรวมมาเป็นส่วนตน เป็นต้น สถานที่อยู่ของเปรตมีทั้งในนรกและนอกกรุงราชคฤห์

อสูรกายภูมิ คือ ภูมิเป็นที่อยู่ของเหล่าสัตว์อันปราศจากความแช่มชื่นรื่นเริง
อสุรกายภูมิ แบ่งออกเป็น ๓ พวกใหญ่ ๆ คือ
๑. เทวอสุรา ได้แก่ อสุรกายที่เป็น เทวดา
๒. เปติอสุรา ได้แก่ อสุรกายที่เป็นพวก เปรต
๓. นิรยอสุรา ได้แก่ อสุรกายที่เป็นสัตว์นรก
เทวอสุรกาย คือ อสุรกายจำพวกเทวดา บางพวกก็พอจะมีความสุขอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีความสุข

*เทวอสุรกาย มีอยู่ ๖ พวกด้วยกัน คือ
๑. เวปจิตติอสุรกาย
๒. ราหุอสุรกาย
๓. สุพลิอสุรกาย
๔. ปหารอสุรกาย
๕. สัมพรตีอสุรกาย
อสุรกาย ๕ พวกนี้ อยู่ใต้ภูเขาสิเนรุ เป็นศัตรูกับเทวดาชั้นดาวดึงส์ มีเรื่องเล่าว่า เดิมเคยอยู่บนชั้นดาวดึงส์ สมัยเมื่อมาฆะมานพ และบริวาร ๓๒ คน ขึ้นไปเกิดเป็นพระอินทร์พร้อมกับบริวาร ๓๒ คน(รวมกันเป็น ๓๓ ดาวดึงส์ แปลว่า ๓๓) ได้มีการฉลองกันเป็นการใหญ่ เมื่ออสุรกาย ๕ พวกนี้เมาสุราได้ที่ จึงถูกพวกพระอินทร์และบริวาร โยนลงจากยอดเขาสิเนรุ มาอยู่ใต้เขาสิเนรุจนกระทั่งทุกวันนี้ ทำให้อสุรกาย ๕ พวกนี้ แค้นเทวดาชั้นดาวดึงส์มาก และได้เคยยกพวกขึ้นเขาสิเนรุ ไปตีกับเทวดาชั้นดาวดึงส์หลายครั้ง บางครั้งก็ชนะบางครั้งก็แพ้ ซึ่งมีเรื่องเล่ายาวพอสมควร
๖. วินิปาติกอสุรกาย
เป็นพวกที่มีรูปร่างเล็ก มีอำนาจน้อยกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ อาศัยอยู่ในมนุษยโลกนี้ จะอยู่ตามป่า ตามเขา ตามต้นไม้ และตามศาลที่เขาปลูกไว้ เป็นบริวารของภุมมัฏฐเทวดา จัดสงเคราะห์เข้าในพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา

สุคติภูมิ
ฉกามาพจรภูมิ ๖(เทวภูมิ ) ดูเรื่องเทวดา
เทวภูมิ 6 ภูมิ คือ ภูมิเป็นที่อยู่ของกายทิพย์ ผู้เพลิดเพลินสนุกสนานไปด้วยเบญจพิธกามคุณารมณ์
1.จาตุมหาราชิกาภูมิ 500ปีทิพย์ 9ล้านปีมนุษย์
2.ตาวติงสาห์ภูมิ 1,000ปีทิพย์ 3โกฏฏ์6ล้านปี 36ล้านปีมนุษย์
3.ยามาภูมิ 2,000ปีทิพย์ 14โกฏฏ์4ล้านปี 144ล้านปีมนุษย์
4.ดุสิตาภูมิ 4,000ปีทิพย์ 57โกฏฏ์6ล้านปี 576ล้านปีมนุษย์
5.นิมารตีภูมิ 8,000ปีทิพย์ 230โกฏฏ์4ล้านปี 2,304ล้านปีมนุษย์
6.ปรนิมมิตวสวัสตีภูมิ 16,000ปีทิพย์ 921โกฏฏ์6ล้านปี 9,216ล้านปีมนุษย์

พรหมภูมิ มีอยู่ ๒๐ชั้น โดนเป็นรูปพรหม ๑๖ ชั้น อรูปพรหม ๔ ชั้น
พรหมโลก
ปฐมฌานภูมิ
1.พรหมปาริสัชชาภูมิ ผู้ได้สำเร็จปฐมฌานขั้นปริตตะคือขั้นสามัญ อายุขัย 1ใน3 แห่งมหากัป
2.พรหมปุโรหิตาภูมิ ผู้ได้สำเร็จปฐมฌานขั้นมัชฌิมะคือขั้นกลาง อายุขัย กึ่งมหากัป
3.มหาพรหมาภูมิ ผู้ได้สำเร็จปฐมฌานขั้นปณีตะคือขั้นสูงสุด อายุขัย 1 มหากัป

ทุติยฌานภูมิ
4.ปริตตาภาภูมิ ผู้ได้สำเร็จทุติยฌานขั้นปริตตะคือขั้นสามัญ อายุขัย 2 มหากัป
5.อัปปมาณาภาภูมิ ผู้ได้สำเร็จทุติยฌานขั้นมัชฌิมะคือขั้นกลาง อายุขัย 4 มหากัป
6.อาภัสสราภูมิ ผู้ได้สำเร็จทุติยฌานขั้นปณีตะคือขั้นสูงสุด อายุขัย 8 มหากัป

ตติยฌานภูมิ
7.ปริตตสุภาภูมิ ผู้ได้สำเร็จตติยฌานขั้นปริตตะคือขั้นสามัญ อายุขัย 16 มหากัป
8.อัปปมาณสุภาภูมิ ผู้ได้สำเร็จตติยฌานขั้นมัชฌิมะคือขั้นกลาง อายุขัย 32 มหากัป
9.สุภกิณหาภูมิ ผู้ได้สำเร็จตติยฌานขั้นปณีตะคือขั้นสูงสุด อายุขัย 64 มหากัป

จตุตถฌานภูมิ
10.เวหัปผลาภูมิ ผู้ได้สำเร็จจตุตถฌาน อายุขัย 500 มหากัป
11.อสัญญสัตตาภูมิ ผู้ได้สำเร็จจตุตถฌาน อายุขัย 500 มหากัป

สุทธาวาสพรหมภูมิ
12.อวิหาสุทธาวาสพรหมภูมิ สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลผู้มี สัทธินทรีย์ อายุขัย 1000 มหากัป
13.อตัปปาสุทธาวาสพรหมภูมิ สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลผู้มี วิริยินทรีย์ อายุขัย 2000 มหากัป
14.สุทัสสาสุทธาวาสพรหมภูมิ สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลผู้มี สตินทรีย์ อายุขัย 4000 มหากัป
15.สุทัสสีสุธาวาสพรหมภูมิ สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลผู้มี สมาธินทรีย์ อายุขัย 8000 มหากัป
16.อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมิ สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลผู้มี ปัญญินทรีย์ อายุขัย 16000 มหากัป

อรูปพรหม
1.อากาสานัญจายตนภูมิ อายุขัย 20,000 มหากัป
2.วิญญาณัญจายตนภูมิ อายุขัย 40,000 มหากัป
3.อากิญจัญญายตนภูมิ อายุขัย 60,000 มหากัป
4.เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ อายุขัย 80,000 มหากัป

มนุสภูมิ   
หรือโลกมนุษย์ เป็นที่ๆหลายภพหลายภูมิส่งคนของตนมาทดสอบตัวเอง เรียกว่าจะบรรลุมรรคผลเป็นพระพุทธเจ้าก็ภพนี้ จะตกอเวจีมหานรกก็ภพนี้ ดังนั้นในภพนี้ัจึงเป็นศูนย์รวมหรือตัวแทนของสัตว์ทั้งหลาย (คำว่าสัตว์ในคติทางศาสนาใช่ว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน คำว่าสัตว์นี้ความหมายกว้างมาก ถ้าเป็นสัตว์ที่มีโพธิ์ เรียกว่าโพธิสัตว์)มักจะมีทั้งสุขและทุกปนกัน
ภูมินี้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ผู้มีใจสูง มีความกล้าหาญในการประกอบกรรม ทั้งที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรมได้มากกว่าสัตว์ในภูิมิอื่นๆ

มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ

1. คนนรก คือ พวกประพฤติตนทุจริต เป็นพวกมิจฉาชีพ ทำแต่กรรมชั่ว ขโมย ปล้น ฆ่า ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี

2. คนเปรต เป็นคนยากเข็ญใจ รูปไม่งาม ทำมาหากินไม่ขึ้น ไม่มีลาภยศ เพราะมีวิบากกรรมในอดีต

3. คนเดรัจฉาน เป็นพวกที่มีโมหจริต ไม่คิดถึงบาปบุญคุณโทษ ไม่มีความรักความยำเกรงในพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ญาติพี่น้อง

4. คนมนุษย์ เป็นพวกที่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประพฤติอยู่ในความดี มีศีลธรรม

นอกจากนี้ยังแบ่งประเภทของมนุษย์ไปตามทวีปที่อาศัยอยู่ ดังนี้
• ชมพููทวีป อยู่ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ เป็นทวีปที่คนเราอาศัยอยู่ คนในทวีปนี้มีใบหน้ากลม

• บุพพวิเทหะทวีป
อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุ คนในทวีปนี้มีใบหน้ากลม

• อุตตรกุรุทวีป
อยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ คนในทวีปนี้มีใบหน้าเป็นสี่เหลี่ยม

• อมรโคยานทวีป
อยู่ทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุ คนในทวีปนี้มีใบหน้าเป็นครึ่งวงกลม

2 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

โลกธาตมี2คือโลกนอกกะโลกตัวเรา1โลกภายนอกม่มีใครสร้างม่ใช่ร่างพระเจ้า..ประกอบด้วยธาตุและพลังเรียกว่าสสาร มีดวงจิตเป้นผุ้รับผุ้ใช้พลังงานหมุนเวียนแปรผัน..ทุกอย่างในโลกธาตุภายนอกนี้ยุในบังคลบัญชาของดวงจิตทุกดวง..เรียกคือความต้องการก้ใช่..การปรุงแต่งก่ใช่เมื่อมีความต้องการสิ่งใดสิ่งเหล่านั้นจักเกิด..ตั้งยุเพื่อให้ดวงจิตใช้ประโยชนและดับไปสิ่งนั้นใช้ประโยชนมิได้..และจักเกืดหมุนเวียนแบบนี้ตลอดไปตราบใดมีความอยากก้จาเกิดแบบนนี้...2โลกธาตุตัวเราประกอบธาตุมาประชุมมีใจของเรานี้บังคับให้เกิดขึ้นตั้งยุดับไป ธาตขันในกายนี้ม่มีใจม่มีวิญญานทุกอย่างที่เกิดความรุ้สึกในทางต่างๆนั้นเพราะ ใจเราเข้ายึดเข้าไปปรุงแต่ง..เชลลม่มีพูดคุยมีแต่ทำหน้าที่ตามสังขารเราต้องการเพราะเหตุที่เราม่มีสติม่กำหนดรุ้ตามความเป้นจริงจึงม่เข้าใจการทำหน้าที่ของธาตุนั้น ....เมื่อใจของเราหมดเชื้อแห่งการปรุงแต่ง ถึงแม้ว่าโลกธาตุจามียุ..มันก่เหมือนม่มียุเช่นกัน. เอาแคนี้พอนะ..เรื่องโลกธาตุมันมียุก้จริง..รุ้มากไปก่มีประโยชนน้อยแต่กิเลสมันกลับเยอะขึ้น สุ้รุ้ใจเราเองม่ได้..รุ้ใจกืเลสหมดในที่สุด.เร่ืองโลกนอกเรยม่อยากรุ้เรยหมดปัญหา...โลกธาตุมียุเท่าใด..นิพพานธาตุมียุเท่ากัน..เข้าใจนะคับ..เชื่อว่าพระเจ้ามีจริงก้ต้องยุในวัฎฎะตราบนั้น..หาความเป่นไทแก่ตัวเองม่ได้เรย..

bananabrn กล่าวว่า...

สาธุ