นักวิชาการเสวนาเรื่องวันโลกแตก

เสวนาวันโลกแตก
วันที่19 ธ.ค.2555 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา 11.00 น. ที่ห้องสกายรูม ชั้น 17 โรงแรมใบหยก สกาย มีการจัดเสวนาหัวข้อ "อิทธิพลของดวงดาวต่อโลกมนุษย์...และมนุษย์โลกในปี พ.ศ.2556" ซึ่งเนื้อหาการเสวนาเกี่ยวกับกระแสวันที่ 21 ธ.ค. อาทิ พายุสุริยะ สภาพอากาศที่จะเกิดขึ้น คำนายวันโลกแตก


โดยผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายอารี สวัสดี นายกสมาคมดาราศาสตร์ไทยและกรรมการบริหาร สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ผศ.ดร.ว่าที่ร้อยตรีเจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคุปต์ อุปนายกสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีศึกษาไทย เป็นผู้ดำเนินรายการเสวนา

ผศ.ดร.ว่าที่ร้อยตรีเจษฎา กล่าวว่า ในประเทศไทยเรื่องวันสิ้นโลก 21 ธ.ค.2012 ที่มีดอกเตอร์คนไทยคนหนึ่ง ทำงานวิศวกรด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานในองค์การนาซา ให้สัมภาษณ์หลายครั้งว่า พายุสุริยะเป็นต้นเหตุของภัยพิบัติไม่ว่าจะเป็นเรื่องแผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุและภัยพิบัติอื่นๆที่เกิดขึ้นทั่วโลก แต่นาซาก็ออกมายืนยันว่า เป็นเรื่องปกติที่ดวงอาทิตย์จะมีการปะทุอยู่เรื่อยๆ แทบทุกเดือนและส่งรังสีคอสมิกออกมา ซึ่งไม่เคยมีหลักฐานว่าจะส่งผลกระทบต่อภัยธรรมชาติ และไม่ได้มีอันตรายต่อโลก


"ส่วนเหตุการณ์แผ่นดินไหวมันเกิดทุกวัน ถ้าจะทำนายก็ทำนายถูก แต่ตัวขององค์การนาซาแถลงการณ์ออกมาว่าเรื่องนี้ไมสามารถเป็นไปได้เลย เรื่องทั้งหมดไม่จริงเป็นแค่หนังทั้งนั้น และเรื่องที่อยู่ในอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องที่ไม่จริง แต่งขึ้นทั้งนั้น เรื่องที่ว่าจะมีการหนาวขึ้นเป็นแค่เรื่องของฤดูกาลทั้งนั้น"ผศ.ดร.ว่าที่ร้อยตรีเจษฎา กล่าว
ผศ.ดร.ว่าที่ร้อยตรีเจษฎา กล่าวต่อว่า ขณะที่การพยากรณ์ของชนผ่ามายาก็ไม่ได้พยากรณ์วันสิ้นโลก เพราะเป็นเพียงการครบรอบวงปฏิทินเท่านั้น นอกจากนี้ในเรื่องดาวนิบิรุเป็นเรื่องนิยายของชาวต่างชาติ ฝ่ายดาราศาสตร์ก็ระบุว่าหากจะมีดาววิ่งพุ่งเข้ามาชนโลกไม่สามารถทำได้ และถ้าจะวิ่งเข้ามาชนโลกต้องเห็นตั้งนานแล้ว ส่วนเรื่องการพลิกกลับของขั้วโลกก็มีการนำไปผูกกับเรื่องการกลับขั้วของแม่เหล็กโลก

ซึ่งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อ 8 แสนปีที่แล้ว แต่ถ้าเกิดขึ้นจริงก็ไม่มีอะไรที่น่ากลัว เพราะไม่มีผลอะไรกับโลก

"ในเชิงดาราศาสตร์พูดบ่อยเรื่องดาวเคราะห์เรียงตัว ในช่วงปีนี้ไม่มีการเรียงตัวของดวงดาว ซึ่งการที่ดาวเคราะห์เรียงตัวไม่ใช่เรื่องแปลกประมาณทุก 57 ปี แต่เรื่องของโลกไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งเรื่องของพายุสุริยะที่เกิดขึ้นรุนแรงดังนั้นเรื่องของคำทำนายเรื่องวันสิ้นโลกมีทุกปีในเราตื่นเต้นเรื่อยๆ ปีน่าคงได้มีโอกาสเสวนากันอีก"ผศ.ดร.ว่าที่ร้อยตรีเจษฎา กล่าว

ด้านนายอารี (นายกสมาคมดาราศาสตร์) กล่าวว่า มนุษยชาติก็คือโฮโมซาเปี้ยน ข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตรที่ยาวนานของอียิปต์ ปรากฏว่าก็คือแผนที่ดาวปกติ ขณะนี้ข้อมูลมีจำนวนมาก การคำนวณดาวขณะนี้มีความแน่นอน แต่ความรู้ในสมัยก่อนไม่ได้เท่าปัจจุบัน อย่างดาวนิบิรุ การทำนายที่เกิดขึ้นเพราะเป็นเรื่องของหนังสือที่ออกมาวางขายก่อนวันปีใหม่ทุกปี ผู้ที่รู้ไม่จริงก็อยากจะพูด ส่วนคนรู้จริงก็ไม่อยากจะพูด ดังนั้นสบายใจได้ว่าวันที่ 21 ธ.ค.นี้ เป็นการเข้าฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ขณะที่พายุสุริยะมีที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงเป็นครั้งคราว และเป็นการคาดการณ์ที่ไม่แน่นอน

     ผศ.ดร.ว่าที่ร้อยตรีเจษฎา เด่นดวงบริพันธ์
"ไม่ต้องตื่นเต้น และอย่าตื่นตูม เขาเล่นตัวเลขถึงได้มีการกำหนดให้วันที่ 21-12-12 เพราะเลขสวย จะเล่นตามจำนวนของเดือนแต่ละเดือน และวันที่ 21 ธ.ค.ที่แน่นอนเลยคือจะหนาวเต็มที่จนถึงสงกรานต์ก็จะเป็นร้อนตามปกติของฤดูกาลเท่านั้น"นายอารี กล่าว
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สปริงนิวส์
ดร.อาจอง เปิดเผยอีกว่า จากการที่ได้พูดคุย
กับชนเผ่ามายาในเม็กซิโก เรื่องการสิ้นสุดของปฏิทิน 5,200 ปี ของชนเผ่ามายา ซึ่งชาวมายาเองก็ยืนยันว่า วันที่ 21 ธันวาคม ไม่ใช่วันสิ้นโลกแต่อย่างใด แต่กลียุคจะจบสิ้น โลกจะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคใหม่ ซึ่งเป็นยุคแห่งความสุข แต่ปัญหาก็คือว่า กลียุคที่ว่านี้จะจบลงอย่างไรก็ไม่มีใครทราบได้

ขณะที่ ดร.สมชาย ใบม่วง รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ได้กล่าวถึง "อนาคตของอุตุฯ ไทยกับการเตือนภัยธรรมชาติ" ว่า หน้าที่ของกรมอุตุนิยมวิทยา คือแจ้งเตือนให้ทุกคนทราบถึงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น แต่ในขณะนี้ปัญหาที่มีก็คือเรื่องงบประมาณ ที่ทางรัฐบาลไม่ได้จัดสรรให้กรมอุตุฯ เลยแม้แต่บาทเดียว จึงทำให้กรมอุตุฯ พยากรณ์ได้ตามแค่เครื่องมือที่อยู่เท่านั้น ซึ่งพยากรณ์ได้แค่ระดับจังหวัด

ดร.สมชาย กล่าวต่อว่า เทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถระบุได้ถึงระดับตำบล และบอกได้แม่นยำในระยะ 7-10 เดือน และถ้าให้มีความถูกต้องมาก็ต้องใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราพยายามเสนอรัฐบาล เพื่อจะได้เตือนภัยแก่ประชาชนในยามที่มีภัยพิบัติ ทั้งนี้ หากรัฐบาลจะเจียดเงินจาก 1.44 ล้านบาท ที่เป็นเยียวยาน้ำท่วม สัก 0.11 เปอร์เซ็นต์ ก็จะสามารถพัฒนาระบบพยากรณ์อากาศได้ดียิ่งขึ้น และความเสียหายก็จะลดลง ประชาชนก็จะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล

 ส่วนทางด้าน รศ.ดร.ปัญญา จารุศิริ  ได้กล่าวถึง "14 รอยเลื่อน สัญญาณอันตรายที่คนไทยควรรู้" ว่า เป็นที่ทราบดีว่าหลายส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวได้มาก และในประเทศไทย รอยเลื่อนที่ควรจับตามองมากที่สุดในขณะนี้ ก็คือ รอยเลื่อนแม่จัน ซึ่งนับวันจะมีพลังรุนแรงและมีเส้นรุกรานมากขึ้น

แต่ทั้งนี้ ในปี 2550 และ 2553 ที่ผ่านมา ประเทศไทยเกิดแผ่นดินไหวมาแล้ว ทั้ง 6.3 ริกเตอร์ และ 7 ริกเตอร์ ซึ่งหากเกิดในลักษณะนี้บ่อย ๆ ก็เป็นการปลดปล่อย ทำให้ไม่เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ตามมาอย่างแน่นอน แต่หากถามว่าโลกจะแตกหรือไม่ ตนตอบได้เลยว่า ถึงแม้ประเทศไทยมีภัยพิบัติต่าง ๆ มีโอกาสจะเกิดภัยพิบัติมหาศาล แต่โลกจะไม่แตกอย่างแน่นอน

 ขณะเดียวกัน ด้าน ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ได้กล่าวถึงเรื่องโลกแตกว่า เรื่องโลกแตกหรือไม่นั้น อยู่ที่วิจารณญาณและความเชื่อ แต่หน้าที่ของนักวิชาการทั้งหลายคือให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อเตรียมรับมือกับภัยพิบัติต่าง ๆ แต่เรื่องที่สำคัญมากกว่า "โลกแตก" นั่นก็คือเรื่องน้ำท่วม ที่ตนบอกได้เลยว่าอีก 8-9 ปี น้ำท่วม กทม. แน่ แต่ไม่มีคนสนใจ เพราะมัวทะเลาะกันในเรื่องการเมืองอยู่ ซึ่งเราก็เคยแนะนำให้สร้างเขื่อน ป้องกันไม่ให้น้ำทะเลเข้ามา แต่ก็ยังเฉย ไม่สนใจ

ด้าน  ดร.กัญจิรา กาญจนเกตุ ประธานศูนย์พัฒนาศักยภาพมนุษย์ ฉายา "นอสตราดามุสหญิงเมืองไทย" ได้กล่าวถึงสถานการณ์ภัยพิบัติว่า ในปีหน้าระหว่างวันที่ 18 มกราคม - 25 กุมภาพันธ์ จะเกิดภัยธรรมชาติในเรื่องของลมพายุที่ค่อนข้างรุนแรง และไฟไหม้ โดยเฉพาะทางใต้อาจจะเจอลมมรสุมประมาณ 2 ลูก ส่วนในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนมิถุนายน อาจจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นในประเทศไทย นอกจากนี้ ตนยังห่วงเรื่องภัยแล้ง และน้ำท่วม ซึ่งปัจจุบันมีหลายพื้นที่ฝนตกไม่ถูกต้องตามฤดูกาล

ส่วนกระแสเรื่องวันสิ้นโลกนั้น ดร.กัญจิรา กล่าวว่า ในอดีตก็เคยเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้มาแล้ว แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ยังไม่ทันสมัยมนุษย์เลยอาจไม่รับรู้ แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาไปมาก ทำให้มนุษย์รู้เหตุกา


ไม่มีความคิดเห็น: