จะเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น เห็นมีคำทำนายมาเยอะมาก จากเรื่องโน้นเรื่องนี้ มีเรื่องหนึ่งที่เน้นมากคือวันนี้ตรงกับปฏิทินชาวมายาว่าเป็นวันสิ้นโลก ผมเองก็ไม่เคยใช้ปฏทินนี้ ใช้อย่างดีก็ปฏิทินโหราศาสตร์ของ อจ.ทองเจือ อ่างแก้ว ซึ่งท่านก็เรียนจากคำภีร์สุริยาตร์ไทย แต่เรื่องปฏิทินโลกแตกของชาวมายาไม่เคยดู แต่ฝรั่งได้เอามาทำเป็นภาพยนต์แล้วเอามาเผยแพร่คนเลยรู้จักและตื่นเต้นกันไปใหญ่ (ทั้งๆที่ปฏิทินในโลกนี้มีเยอะแต่ไม่มีใครรู้จัก) เผื่อโลกแตกจริงขึ้นมาก็ได้ตายกันหมด ถ้าโลกไม่แตกแล้วค่อยมาเล่นกันต่อ ไม่รู้จะไปขุดอะไรมาเล่นอีก นะครับ
ชาวมายาคือใคร อยู่ที่ไหน
อาณาจักรมายา เป็นอาณาจักรโบราณในอเมริกากลาง มีพื้นที่บริเวณประเทศเม็กซิโกคาบเกี่ยวกับเบลีซและกัวเตมาลา มีความรุ่งเรืองช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ. 1502 มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นครวากา ปัจจุบันคือ เอลเปรู มีอายุร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมเตโอตีอัวกาน (Teotihuacán)
อาณาจักรมายาปกครองด้วยระบบกษัตริย์ เรียกว่า คูฮุลอะฮอว์ (K'uhul ajaw) หรือ เทวกษัตริย์
ชาวมายาใช้อักษรภาพในการบันทึก มีความสามารถทางดาราศาสตร์ จนสามารถทำนายเวลาเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาได้ล่วงหน้าเป็นเวลานาน รู้จักทำปฏิทินใช้ รู้จักประดิษฐ์เลขศูนย์ใช้ในวิชาคณิตศาสตร์ รู้จักค้าขายเกลือ หยก และเครื่องปั้นดินเผา แต่ชาวมายาไม่รู้จักใช้ล้อและไม่รู้จักการถลุงแร่ ซึ่งแสดงว่าชาวมายาดำรงชีวิตเหมือนมนุษย์หินที่รู้จักใช้เพียงไม้ กระดูกสัตว์ หินปูน และหินทรายในการสร้างเมือง
เทพเจ้าชาวมายา
ชาวมายานับถือเทพเจ้ามาก และมีเทพเจ้ามากมาย ทั้งสุริยเทพ วสันตเทพ และมรณเทพ เทพเจ้าเหล่านี้ทรงโปรดปรานการเสวยเลือด ดังนั้นจึงมีพิธีบูชายัญด้วยชีวิตของหญิงพรหมจารี(บริสุทธิ์)เพื่อถวายเทพ
พีระมิดของชาวมายา
พีระมิดของชาวมายา มีความสูงกว่า 150 ฟุต บนยอดพีระมิดจะแบนราบแตกต่างไปจากของอียิปต์ที่ปลายแหลม ประกอบด้วยบันไดทางขึ้น 4 ด้าน บันไดด้านละ 91 ขั้น รวมกับยกพื้นที่ฐานของพีระมิดอีกนับรวมเป็นได้ 365 ครบหนึ่งปี ถือเป็นปฏิทินถาวรอย่างหนึ่งของชาวมายา หนึ่งปีของชาวมายามี 13 เดือน และฤดูกาลอีก 4 ฤดู
ปฏิทินชาวมายา
ชาว มายันไม่ได้เขียนชัดเจนว่า วันที่ 21 ธันวา 2012 จะเป็นวันสิ้นสุดของโลก มีผู้คนจำนวนมากเชื่อว่า มันคือวันที่โลกจะเปลี่ยนแปลงจากยุคหนึ่งเป็นอีกยุคหนึ่ง และเรามีหน้าที่ที่จะต้องเตรียมรับมือกับวันนั้นให้ได้ เพื่อความอยู่รอดจากการเปลี่ยนแปลง และหลังจากวันนั้น โลกของเราจะมีสันติสุขอย่างแท้จริง
ปฏิทินของชาวมายันโดยคร่าว ๆ
จาก ปฏิทินของชาวมายัน เรากำลังอยู่ในช่วงปลายของ 1 วันแห่งระบบจักรวาล หรือ End of a Galactic Day ซึ่งระยะเวลา 1 วัน แห่งระบบจักรวาลนั้นยาวนานถึง 25,625 ปี และแบ่งได้เป็น 5 ช่วง ช่วงละ 5,125 ปี และขณะนี้เราอยู่ในช่วงปลายของช่วงที่ 5 แล้ว ชาวมายันบอกว่า นับจากปี 1999 เราจะมีเวลา 13 ปีที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติและจิตสำนึกของการอยู่บนโลกใบนี้เพื่อที่จะรอดจาก การทำลายล้าง และในขณะเดียวกัน ก็ก้าวสู่เส้นทางที่จิตสำนึกใหม่ปูให้กับการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
ตามศาสตร์ของชาวมายัน ทุกๆ 5,125 ปี ดวงอาทิตย์จะเกิดปรากฏการณ์บางอย่างที่สัมพันธ์กับศูนย์กลางทางช้างเผือกอัน กว้างใหญ่ และจากปรากฏการณ์นั้นเอง ดวงอาทิตย์จะได้รับ “ประกายไฟ” (Spark of light) ซึ่งทำให้ดวงอาทิตย์ส่องแสงและส่งผ่านความร้อนรุนแรงมากขึ้น เกิดเป็นปรากฎการณ์ผีไฟ อย่างที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “Solar Flares” และยังทำให้ขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์เปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลต่อมายังโลก เกิดการสับเปลี่ยนขั้วโลก และทำให้เกิดหายนะทางธรรมชาติตามมามากมาย ปรากฏการณ์เหล่านี้ ชาวมายันเชื่อว่าเป็นเพียงกระบวนการทางธรรมชาติกระบวนการหนึ่งที่จะเกิดขึ้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งมนุษย์ช่วยกันทำให้โลกร้อนยิ่งๆขึ้นแล้ว สิ่งเหล่านี้คงจะทำให้พลังของ “ผีไฟ” เพิ่มขึ้น ซึ่งชนเผ่ามายาเชื่อว่า 2012 เป็นปีที่ “ผีไฟ” จะมีพลังอำนาจขึ้นสูงสุด สามารถควบคุมพลังของจักรวาลได้ สุดท้าย “ผีไฟ” ก็จะใช้พลังความร้อนของดวงอาทิตย์ สร้างพลังพายุสุริยะและเผาทำลายโลกนี้ให้แหลกไป
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เล่ากันต่อๆมา ต้องคอยดูกันไปว่าอีกไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้ “ผีไฟ” จะเปลี่ยนโลกหรือไม่?เปรียบเหมือนการหายใจของคน และจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงหรือหยุดไป เหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 4 ครั้ง (4 รอบแรกของปรากฏการณ์จากดวงอาทิตย์) และจะเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 5 เมื่อครบ 5,125 ปี ซึ่งก็คือวันที่ 21 ธันวาคม 2012 นั่นเอง
เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASAได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเปิดเผยว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคงแต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์ แต่จากการศึกษาร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งกับกลุ่มนักธรณีฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์พบว่า ทั้งโลกและดวงอาทิตย์จะสิ้นสุดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี ค.ศ. 2012 โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012
-------------------------------------------------------------------------------------
พอวันเวลาผ่านไปเรื่องปฏิทินวันสิ้นโลกก็เริ่มไขว้เขวครับ
(จาก http://www.manager.co.th/science/viewnews.aspx? NewsID=9550000080642(2กรกฎาคม2555))
พบอักษรชาวมายาชี้ “วันสิ้นสุด” ของปฏิทินมายามีอยู่จริง และเป็นเอกสารฉบับที่สองที่เราพบว่าระบุวันดังกล่าว แต่นักวิจัยชี้แจงว่า ความเชื่อของชาวมายาโบราณต่างจากความเชื่อของคนยุคนี้ เพราะวันดังกล่าวไม่ได้ชี้ถึงวันสิ้นสุดของโลก
ทั้งนี้ ไลฟ์ไซน์อธิบายไว้ว่าปฏิทินรอบยาว (Long Count calendar) ของชาวมายานั้นแบ่งเป็นบักตุน (bak'tuns) หรือรอบ 144,000 วัน ที่เริ่มจากวันสร้างโลก (creation date) ของชาวมายา และวันเหมายัน (winter solstice) ซึ่งตรงกับวันที่ 21 ธ.ค. ของปี 2012 คือวันของรอบบักตุนที่ 13 ซึ่งชาวมายากำหนดให้เป็นการครบรอบการสร้างโลก
หากแต่คนยุคใหม่กลับเชื่อว่าวันดังกล่าวคือวันสิ้นโลก ทั้งที่มีหลักฐานอ้างอิงทางโบราณคดีเพียงชิ้นเดียวที่ระบุถึงปี 2012 นี้ นั่นคือข้อความที่จารึกบนอนุสาวรีย์ ณ เมืองทอร์ทูกัวโร (Tortuguero) เม็กซิโก ที่มีอายุย้อนไปประมาณปีคริสตศักราช 669
ล่าสุดนักวิจัยเพิ่งขุดพบหลักฐานชิ้นที่สองจากการสำรวจซากปรักหักพังในเมืองลา โคโรนา (La Corona) ของกัวเตมาลา ซึ่งบนก้อนหินบันไดทางเดินที่มีการแกะสลักอักขระโบราณนั้น นักโบราณคดีได้เห็นภาพการฉลองถึงการเสด็จมาเยือนของกษัตริย์ ยักนูม ยิชแอก คาห์ก (Yuknoom Yich'aak K'ahk) แห่งเมืองกาลักมุล (Calakmul) ซึ่งเป็นผู้ปกครองของชาวมายาที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคนั้น
พระองค์ยังทรงเป็นที่รู้จักในอีกชื่อว่า “จากัวร์ พาว์” (Jaguar Paw) และนักประวัติศาสตร์มีข้อสันนิษฐานมานานแล้วว่ากษัตริย์จากัวร์ พาว์นั้นสิ้นพระชนม์หรือทรงถูกจับในการสู้รบจากการโจมตีของอาณาจักรทิกอล (Kingdom of Tikal) ปีคริสตศักราช 695 แต่อักขระที่จารึกไว้นั้นชี้ว่าพวกเขาสันนิษฐานผิด
ในความเป็นจริงพระองค์เสด็จเยือนลาโคโรนาในปีคริสตศักราช 696 ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจเป็นความพยายามในการพยุงความจงรักภักดีของหมู่ประชากรที่รับรู้ความพ่ายแพ้ของพระองค์ในการสู้รบก่อนหน้านั้น 4 ปี และในช่วงหนึ่งของการประพาสต้นพระองค์ทรงเรียกขานพระองค์เองว่า “พระเจ้ากาตุนที่ 13” (13 k'atun lord) ดังปรากฎในอักขระที่เพิ่งค้นพบ
สิ่งที่อักขระนี้บอกแก่เราคือช่วงเวลาแห่งวิกฤต ซึ่งชาวมายาโบราณใช้ปฏิทินของพวกเขาเพื่อสานความต่อเนื่องและความยั่งยืนมากกว่า ณจะเป็นการทำนายวันโลกาวินาศ” คานูโตกล่าว
ที่เมืองลา โคโรนานั้นเป็นแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีที่ถูกลักลอบขโมยของมากที่แห่งหนึ่ง และเพิ่งได้รับการสำรวจโดยทีมนักโบราณคดียุคใหม่ได้ประมาณ 15 ปีเท่านั้น โดยคานูโตยังมี โทมัส บาร์เรนทอส คิว (Tomas Barrientos Q.) จากมหาวิทยาลัย เดล วาลล์ เดอ กัวเตมาลา (Universidad del Valle de Guatemala) ร่วมทีมขุดสำรวจ
ทีมวิจัยได้ขุดพบหินบันไดขั้นแรกเมื่อปี 2010 ใกล้ๆ กับสิ่งก่อสร้างที่ถูกทำลายอย่างหนักจากนักขโมยโบราณวัตถุ หัวขโมยพลาดบันได12 ขั้นนี้ไป แต่ก็เหลือตัวอย่างหินในปราสาทดั้งเดิมไว้เพียงเล็กน้อย ทีมวิจัยยังพบหินอีก 10 ก้อนจากขั้นบันไดที่ถูกหัวขโมยเคลื่อนย้ายแต่ถูกทิ้งไว้ โดยสรุปทีมวิจัยพบหิน 22 ก้อนที่มีอักขระโบราณ 264 ตัว ซึ่งบ่งชี้ถึงประวัติศาสตร์ด้านการเมืองของลา โคโรนา และส่งผลให้โบราณวัตถุเหล่านี้เป็นอักษรมายาโบราณที่ยาวที่สุดในกัวเตมาลา
[ เรื่องโลกแตก ไม่แตกในทัศนของผม เป็นเรื่องที่ไม่ควรกังวล และคิดว่าคงไม่มีใครรู้จริง อ่าน ดู และฟัง อย่างมี สติ ติดตามข่าสารอยู่ตลอดน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า เตรียมความพร้อมไว้เสมอ ไฟฉาย เทียนไข ตะเกียง น้ำดื่ม ด่างทับทิม ยาที่จำเป็นสำหรับตัวเอง ฯ ]
Bananaranode
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น