ปรีดี ยืนยง อีเลคฯรุ่น 15
ต้นฉบับเดิมจาก http://eng.rmutsv.ac.th/en/Menu15/15th_Elec/sompon.htm
เอกสารประกอบการอบรม : สมาธิและพลังบำบัดเพื่อสุขภาพ
แก่...คณะทัวร์ระโนด 95 วันที่ 18 ตุลาคม 2545
35 ปี อิเล็กเทคโน สงขลา วันที่ 26 ตุลาคม 2545
อาจารย์สมพล สุวรรณ
พลังธรรมชาติบำบัด
ภาพจากบล็อกเก่า 108dee.blogspot.com |
หลักการของธรรมชาติบำบัดมี 3 ประการคือ กินอาหารให้ถูกต้องและเหมาะสมตามแต่ระยะของสุขภาพ
ล้างพิษจากร่างกาย ใจ และจิตวิญญาณปรับกายและใจสู่ดุลยภาพ
สรุประบบบำบัดในเชิงปฏิกิริยาที่สำคัญ ๆ มีดังนี้
1. การบำบัดเป็นสมรรถนะที่ติดตัวมากับสิ่งมีชีวิต นับตั้งแต่เกิดโดยถาวร ดีเอ็นเอ มีข้อมูลทุกอย่างที่ จำเป็นในการผลิตเอนไซม์ เพื่อซ่อมแซมตัวเอง
2. ระบบบำบัดดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง และพร้อมเสมอที่จะถูกเรียกใช้งาน
3.ระบบบำบัดมีความสามารถเชิงวินิจฉัย มันสามารถประเมินถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นเองได้
4. ระบบบำบัดสามารถกำจัดการก่อรูปที่ผิดปกติทิ้งเองได้ และก่อรูปโครงสร้างปกติขึ้นทดแทน
การเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ระบบบำบัด
1. กินอาหารให้ถูกส่วนและเพียงพอและไม่เหลือเป็นขยะในร่างกาย
2. ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
3. ทำให้ระบบหายใจดีขึ้น
4. หลีกเลี่ยงสารพิษหรือมลพิษต่าง ๆ
5. วางระดับจิตใจ อารมณ์ให้ราบเรียบ ไม่เครียด
หลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างพลังบำบัดซึ่งนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดี
1. ดื่มน้ำ 5แก้ว ก่อนอาหารเช้าและดื่มตลอดวันจนกว่าปัสสาวะใส
2 ฝึกลมปราณในท่าบู๊ตึ้ง เช้า 10 รอบ เย็น 10 รอบ
3 ฝึกเป่าลมหายใจแล้วปิดปาก ตลอดวันพยายามทำให้มากครั้งที่สุด
4 ฝึกลมปราณในเคล็ด ลึก กลั้น เกร็ง ให้มากที่สุดตลอดวัน
5 หลีกเลี่ยงการรับประทานน้ำตาลทรายและขนมหวาน
6 แกว่งแขนตอนเช้า 300 ครั้ง และตอนเย็น 300 ครั้ง
7 นวดเท้าตอนเช้า(ตามหลัก 4 ข้อ) 10 นาที และนวดเท้าตอนเย็น 10 นาทีอย่านวดขณะอิ่มและหลังเที่ยงคืน เพื่อกระตุ้นอวัยวะภายใน
8 นวดมือตลอดวัน เพื่อกระตุ้นอวัยวะภายใน อย่านวขณอิ่ม
9 นวดหูตลอดวัน เพื่อกระตุ้นอวัยวะภายใน
10 ตบทั่วตัวอาจจะด้วยมือหรือผ้าชุบน้ำให้หมาด เพื่อเร่งกระแสโลหิตให้ไหลเวียนดีขึ้น
11 ทานผลไม้ที่ย่อยง่ายชนิดเดียว เช่น กล้วย มะละกอ ตลอด 24 ชม. จาก 7โมงเข้าถึง 7โมงเช้าอีกวัน 15วัน ต่อครั้ง เพื่อล้างระบบย่อย
12 สวนทวารด้วยน้ำกาแฟ 3 วัน ต่อครั้งเพื่อปลดปล่อยสารพิษ
13 ทุกมื้อของอาหารพยายามให้มีผักหรือผลไม้ 30% ของทุกมื้อ
14 ดื่มน้ำปัสสาวะของตัวเองทุกเช้าประมาณครึ่งแก้ว และควรจะเป็นปัสสาวะแรกของเช้านั้น
15 ออกกำลังกายตอนเช้า โดยวิธีต่าง ๆ ตามถนัดให้ได้ประมาณ 30 นาที เพื่อขับสารพิษออกทางเหงื่อ และเพื่อสร้างพลังกล้ามเนื้อและบริหารโครงกระดูก
16 ฝึกวางอารมณ์ให้ราบเรียบ ไม่เครียด ฝึกมองโลกในแง่ดี
17. นอนให้หัวต่ำกว่าเท้าวันละ 10-20
นาที เพื่อให้เลือดมาเลี้ยงสมองและ กระตุ้นต่อมพิทูอิทารี่และเป็นการชล อความแก่
18. อมเกลือก่อนนอนและตอนเช้า ควรจะเป็นเกลือเม็ด เพื่อให้ฟันทน
19. ควรมีชาสมุนไพรดื่มหมุนเวียนทุกวัน เช่น ตะไคร้ ขิง ข่า ไมยลาภ ส้มแขก ใบหม่อน กระชาย ดอกคำฝอย ฯลฯ
20. บริหารโครงกระดูกโดยใช้แป้นหมุนหรือรำกระบอ
21. ควรเดินเท้าเปล่าบ้าง
22. ให้ระลึกเสมอว่ามนุษย์เราเป็นสัตว์กินพืช เพราะพืชจะไปกระตุ้นให้บักเตเรียประจำถิ่นในลำไส้ของเราทำงานในทางสร้างสรรสุขภาพที่ดีให้แก่เรา
23. สร้างสรรค์สุขภาพที่ดีให้แกเรา
24. ถ้าชอบดื่มเบียร์ ก็ให้ดื่มเบียร์ขวดเขียว
25. ต้องหาหนังสือเหล่านี้อ่านให้ได้ เรื่อง ชาติภาพ ข้ามภพ ข้ามเวลามาหารัก ชีวิตระหว่างภพ เพื่อพัฒนาจิตใจและจิตวิญญาณ
26. เตะส้นเท้าให้ถึงก้นข้างละ 30 ครั้ง
27. บริหารข้อต่าง ๆ ทุกวัน เช่น ข้อมือ ข้อศอก ข้อไหล่ ข้อเข่า ข้อเท้า
28. ชั่งน้ำหนักของตัวเองทุกวันเพื่อประเมินสุขภาพและปริมาณขยะในร่างกายให้ระลึกเสมอว่ากินอาหารเข้าไปเท่าไหร่ต้องใช้ให้หมด
29. เน้นสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค อย่าเน้นรักษาโรค
30. ฝึกโยคะ ฝึกไทเก็ก ฝึกรำมวยจีน ฝึกรำกระบอง ให้เน้นที่ลมหายใจ
31. ฝึกเดินและวิ่งแบบลมปราณ ตอนเช้า โดยให้เป่าลมหายใจให้ยาวแล้วสูดให้ลึกไปตลอดเวลาจะไม่เหนื่อย
32. ใช้สันฝ่ามือถูหางคิ้วทุกวันหลังอาบน้ำเพื่อลดตีนกา
33. สูตรผักประจำวัน ตะไคร้ ขิง กระเทียม หั่นให้ละเอียด โรยบนอาหารทุกมื้อ อาจจะเพิ่มผักปลอดสารพิษตามชอบ
34. หาโอกาสฝึกลมปราณใต้ต้นไม้บ้าง
35. ค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับสุขภาพบ้าง เช่น หนังสือชีวจิตของ ดร.สาทิส พลังบำบัดของนายแพทย์แอนดรูไวล์ และธรรมชาติบำบัดของนายแพทย์บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล 36. ฝึกอัดจักระทั้ง 7 เพื่อให้พลังจากภายนอกเข้าสู่กายละเอียด
38. อาบน้ำ โดยใช้ใยบวบถูตัว
39. การทำให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น โดยใช้หลักการความแตกต่างของอุณหภูมิ เช่น ล้างหน้า ตอนเช้า ล้างเท้าก่อนนอน เท้าแช่น้ำอุ่น อาบน้ำแบบรดท่อน ถูมือให้ร้อย ผ้าเย็นเช็ดหน้า 40. ฝึกการนวดตัวเองทั่วตัว เพื่อเร่งให้กระแสโลหิตไหลดีขึ้น
41. การล้างพิษแบบชาวบ้าน โดยใช้ใบชุมเห็ดดื่มแทนชา 15 วัน/ครั้ง
42. การฝึกลมปราณให้กับเด็กทารกและเด็กอ่อน
43. ร้องเพลงหรือสวดมนต์เพราะคนที่เครียดร้องเพลงไม่ได้
44. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด และช้า ๆ เพื่อประหยัดพลังงาน และจะได้ไม่รับประทานอาหารเกินความจำเป็น
45. ให้ทานบอระเพ็ดทุกวัน วันละ 2-3 ข้อนิ้ว อนุมูลอิสระและแหล่งที่มา อนุมูลอิสระ คือ สิ่งที่ร่างกายจะต้องขับออก เพื่อปลอดปล่อยภาระให้แก่ร่างกาย ทำให้พลังบำบัดมีประสิทธิภาพสูงขึ้น อนุมูลอิสระมีแหล่งที่มาได้ 2 ทาง คือ จาก ภายนอกและจากภายในร่างกายของเราเอง
อนุมูลอิสระจากภายนอก ที่เข้ามาสู่ร่างกาย
อาหารปิ้ง ย่าง ทอดจนเกรียมจัด
สารเคมีในอาหาร สารแต่งสี แต่งกลิ่น สารกันบูด
ยาที่กินเข้าไป
ยาฆ่าหญ้า ฆ่าแมลง
โลหะหนักและควันพิษ
กรดไขมันไม่อิ่มตัว ทำปฏิกิริยากับอ๊อกซิเจน กระบวนการหืนของน้ำมัน
กรดไขมันไม่อิ่มตัวถูกความร้อนจัด ๆ กรณีของการทอดอาหารในน้ำมันซ้ำ เช่น ปาท่องโก๋
เขม่า ควันไฟ ควันบุหรี่
รังสีเอกซ์ และรังสีแกมมา
สารเคมีบำบัดที่ทำปฏิกิริยากับเซลล์มะเร็งและเซลล์ร่างกาย
อนุมูลอิสระยังเกิดขึ้นภายในร่างกายของคนเรา
ทุกวินาทีที่เรากินอาหาร ย่อยอาหาร
การเผาผลาญอาหารเป็นพลังงาน
ทุกเวลาที่ออกกำลังกาย
เวลาที่เซลล์ร่างกายถูกคุกคามจากเชื้อโรค มีการอักเสบ
ความเร่งรัด เคร่งเครียด เป็นการเพิ่มอัตราการเผาผลาญ ยิ่งเพิ่มการสร้างอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระเหล่านี้ถือว่าเป็นสารพิษที่ร่างกายต้องการขับออก อาการเหล่านี้เช่น มึน ซึม ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย ไม่กระปรี้กระเปร่า ไม่มีเรี่ยวแรง คือ ภาวะที่ร่างกายเริ่มสะสมสารพิษ
การล้างพิษ แบบอด 1 วัน มี 4 ระดับ
ระดับที่ 1 ชั้นอนุบาล อดด้วยผลไม้
ใช้วิธีกินผลไม้ชนิดเดียวตลอดวัน ควรเลือกผลไม้ที่ไม่หวานจัด เช่น กล้วยน้ำว้า ฝรั่ง ส้ม ส้มโอ ชมพู่ มะม่วง แอบเปิ้ล สาลี่ แคนตาลูป แตงโม จะเลือกกินชนิดใดก็กินแต่ชนิดนั้นไปตลอดวันเท่าที่ร่างกายต้องการ
ระดับที่ 2 ชั้นประถม อดด้วยน้ำผลไม้
ดื่มแค่น้ำผลไม้ ชนิดเดียวตลอดวัน ผลไม้ที่เลือกอยู่ในกลุ่มเดียวกันกรณีแรก เพื่อจะได้ไม่ ต้องกินกาก
ระดับที่ 3 ชั้นมัธยม อดด้วยน้ำเปล่าดื่มน้ำเปล่าเท่าที่ร่างกายต้องการตลอดวันที่อด
ระดับที่ 4 ชั้นมหาวิทยาลัย อดโดยไม่กินไม่ดื่มให้ระลึกเสมอว่าแพทย์แผนปัจจุบันที่ปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพียงมิติเดียวของภาพรวมเท่านั้น และมีจุดอ่อนคือ ราคาแพง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เศรษฐกิจถดถอย บริการไม่ทั่วถึงไม่อาจใช้ได้ในวงกว้าง มีลักษณะที่ต้องพึ่งพิงไม่สิ้นสุด และแฝงไว้ด้วยลักษณะการแพทย์เชิงพาณิชย์ ขาดความเท่าเทียมกันในความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้และผู้รับบริการ
พลังบำบัด (Power therapy) ก็เป็นมิติหนึ่งของแพทย์ทางเลือก บิดาแห่งแพทย์ทางเลือกคือ ฮิปโปเครตีส กล่าวว่า “เราทุกคนมีแพทย์ประจำกาย เราเพียงแต่ส่งเสริมเขาสักหน่อย ก็รักษาโรคของเราได้”ฮิปโปเครตีส ได้กำหนดการบำบัดแบบธรรมชาติไว้ว่าต้องไม่ทำอันตราย
จงปล่อยให้พลังแห่งการบำบัดของธรรมชาติเป็นผู้เยียวยารักษาอาการให้เราตระหนักไว้เสมอว่า
ร่างกายเองต้องการมีสุขภาพที่ดีอยู่แล้ว ร่างกายนั้นเป็นองค์รวมเราไม่อาจแบ่งแยกร่างกายและจิตใจออกจากกันได้ ทุกคนมีศักยภาพแห่งพลังบำบัดธรรมชาติอยู่ในตัวแล้วทั้งนั้น
เราอาจจะกล่าวได้ว่า ถ้าโรคใดแพทย์แผนปัจจุบันไม่ถนัด ก็อย่าไปหาแพทย์แผนปัจจุบัน ถ้าโรคใดแพทย์ทางเลือกไม่ถนัด ก็อย่าไปหาแพทย์ทางเลือก
ยกตัวอย่างโรคร้ายไข้เจ็บ เพื่อพิจารณาว่าควรจะหาแพทย์ทางใด เช่น ภูมิแพ้ ความดันสูง โรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็งบางชนิด สิว ฝ้า ปวดเมื่อย ไม่มีเรี่ยวแรง หมดพลังทางเพศ หืด หอบ ปวดหัว ฯลฯ โรคเหล่านี้ควรจะเลือกไปหาแพทย์ทางเลือก ส่วนแผลที่ผิวร่างกายจากของมีคม หรือจากอุบัติเหตุ แพ้สารอาหารอย่างเฉียบพลัน อาการป่วยที่เกิดจากไวรัสจากภายนอกเข้ามาสู่ร่างกาย เช่น ไข้มาลาเรีย โรคเหล่านี้ควรจะเลือกไปหาแพทย์แผนปัจจุบัน
ด้วยความปรารถนาดี
สมพล สุวรรณ
0-1541-0111
จัดทำใหมโดย ปรีดี ยืนยง อีเลคฯ รุ่น 15 เทคโนสงขลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น