เทวอสูรสงคราม

เทวอสูรสงคราม ๒

พินิจฯ  ๑

จะเห็นว่าแรกเริ่มตำนาน    เทวดาที่มาใหม่นั้นผิดชัดๆ ผิดแบบไม่น่าให้อภัยคือเลวมาก   เจ้าของบ้านอุตสาห์เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีแล้วยังเนรคุณ ถีบเจ้าของบ้านจนตกเรือน แล้วยึดบ้านเฉยเลยเป็นใครๆก็แค้น แค้นที่ต้องชำระ

แต่นี่เป็นเพียงการผูกเรื่องของนักปราชญ์    ว่าความแค้น    ความพยาบาทเกิดขึ้นได้เพราะเหตุนี้ เรื่องหนึงแหละ   และให้อารมย์นี้เป็นอารมย์ร้าย เรียกว่าอสูร  อารมย์โกรธ แค้น พยาบาท

เทวดานั้นก็รู้ว่าผิด แต่ก็ได้ฝึกตนเองต่อ ไม่ให้โกรธไม่ให้แค้น    มีแต่จิตเมตตาฯ สูงๆขึ้นไปๆ จนถึงชั้นพรหมเบื้องบน  นี่คืออารมย์ดีๆอีกด้านนึงที่ตรงข้าม 

ส่วนเรื่องรูปเรื่องภพ   รูปนามจริงๆนั้นเป็นยังไงก็ให้ท่านผู้ฝึกถึงฌานได้แล้วเล่าดีกว่า      ตรงนี้แค่คิดแค่บอกให้รู้ว่าเหตุมันเป็นเช่นนี้ จึงได้มีเป็นเทวดา ๒ พวกคือ สุระกับอสุระ




ส่วนที่ท่านอื่นๆเขียนไว้ในอดีต     ฝั่งตะวันตสรุปจากเรื่องเทวอสูรสงครามในบทที่ ๑   แนวคิดเรื่องเทวาสุรสงคราม จากอดีตตำนาน     เค้าโครงเรื่องจะมีรากฐานที่มาจากการต่อสู้กันระหว่างชนพื้นเมือง (ทราวิท / อสูร) กับพวกอารยันที่อพยพเข้ามาใหม่   (เนวาสิกเทวบุตร กับมฆะมาณพจุติ)  คือพวกพระพระอินทร์ เดิมทีน่าจะเป็นวีรบุรุษนักรบของชาวอารยัน   ต่อมาได้รับการยกย่องนับถือจนกลายเป็นเทพเจ้าไปในที่สุด

ส่วนพวกอสูรน่าจะเป็นตัวแทนของชนพื้นเมือง ที่อาศัยอยู่ในถิ่นของตนมาก่อน และเป็นผู้พ่ายแพ้สงครามแล้วถูกเหยียดหยามให้เป็นพวกที่ไม่กล้าหรือขี้ขลาด (อสูร แปลว่าผู้ไม่กล้า) หรือเทพเจ้าฝ่ายชั่ว เป็นไปได้ว่า เมื่อเริ่มเรื่องการสู้รบกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์แล้ว ก็ได้รับการเล่าขานเป็นตำนานจนมีการปรุงแต่งให้กลายเป็นการรบกันระหว่างเทพฝ่ายดีกับเทพฝ่ายชั่ว  ดีชั่วก็แล้วแต่ใครอยู่ข้างไหน ข้างนั้นก็เป็นฝ่ายดี ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นฝ่ายชั่ว 

* เรื่องนี้คนเขียนน่าจะหรือต้องเป็นคนฝั่งอารยัน  เพราะว่าตัวเองต้องเป็นฝ่ายดีฝ่ายถูก  อสูรนั้นไม่ดีจึงต้องเป็นฝั่งตรงข้าม

พินิจ ฯ ๒
แนวคิดความเชื่อเรื่องสงครามระหว่างเทพ กับอสูร ในสมัยก่อนพุทธกาล หากสืบย้อนกลับไป นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า พวกอารยันและอิหร่านเป็นพวกเดียวกันและอพยพมาพร้อมกัน โดยที่พวกหนึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอินเดีย อีกพวกหนึ่งแยกไปทางอิหร่าน จะเห็นได้จากภาษาของทั้งสองพวกซึ่งมีความใกล้เคียงกันมาก เช่นคำว่า “อารยะ” หรือ “อารยัน” ที่พวกตั้งถิ่นฐานในอินเดียใช้เรียกตัวเอง กับคำว่า “อิหร่าน” ที่พวกเปอร์เซียโบราณเรียกตนเองก็เป็นคำมาจากรากศัพท์เดียวกัน

วรรณคดีโบราณของอิหร่านคือคัมภีร์อเวสตะ กับคัมภีร์คฤเวทของอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาของทั้ง 2 คัมภีร์มีลักษณะคล้ายคลึงกัน      ภาษาในคัมภีร์อเวสตะรูปที่เก่าที่สุดกับภาษาในคัมภีร์ฤคเวท        ทั้งในด้านรูปศัพท์และการสร้างประโยค   ชี้ให้เห็นได้ชัดว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด   ศัพท์จำนวนมากที่ใช้ในคัมภีร์ทั้งสองเป็นศัพท์ที่มาจากรากเดียวกัน   แต่การนับถือเทพเจ้าของชน 2 พวกนี้เป็นไปคนละแนว           คือชาวอารยันสายอิหร่าน จะนับถืออสุระ เป็นเทพเจ้าฝ่ายดี      เทวะ เป็นเทพเจ้าฝ่ายชั่ว      ส่วนพวกที่อพยพเข้ามาอินเดีย ถือว่า เทวะเป็นฝ่ายดี อสระ หรืออหุระ ซึ่งเป็นฝ่ายชั่ว   ฉะนั้นสงครามที่เกิดขึ้นบางทีอาจจะเกิดจากเผ่าอารยันสองพวกเองที่แย่งพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ก็ได้

พินิจฯ ๓

และยังมีบางส่วนจากตำนาน ของเผ่าอารยันกล่าวถึงพระอินทร์ว่าเป็นนจอมเทพฯฝ่ายเทวดาพระองค์ทรงเป็นเทพผู้มีสายฟ้าเป็นอาวุธ  ผู้พิชิตอมนุษย์แห่งความแห้งแล้งหรือความมืด    ปลดปล่อยสายน้ำให้เป็นอิสระ    และให้แสงสว่างแก่ฟ้าและดิน ทรงผู้ประทานฝนแก่ชาวอารยัน  เทวดาจึงหมายถึงผู้ทำให้ฝนตกด้วย หมายถึงพลังงานส่วนที่ทำให้เกิดฝนด้วย



และเคยอ่านตำนานการแห่นางแมวขอฝนทางภาคอิสานอ้างถึงว่า มีผู้รู้กล่าวไว้ว่า น้ำฝนนั้นเป็นน้ำของเทวดา ดังมีศัพท์บาลีว่า เทโว ซึ่งแปลว่า น้ำฝน เป็นเอกลักษณ์ของความดี ความบริสุทธิ์ ที่จะมาชำระสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ อย่าง หมอกควัน  ละอองเขม่าน้ำมัน และสิ่งต่างๆที่ห่อหุ้มโลกทำให้เป็นภัยแก่มนุษย์ และผู้ที่จะล้างอากาศได้ทำให้ละอองพิษพวกนั้นตกลงดิน 
ทำให้อากาศสะอาดคือ "เทโว" หรือ "ฝน" นั่นเอง ดังจะเห็นได้จากเมื่อฝนหยุดตกใหม่ๆ อากาศจะสดชื่น ระงมไปด้วยเสียงของกบ เขียด อันเป็นสัญลักษณ์ของความสุข ของการเกิด

แม้แต่ทางภาคใต้เองเมือ่สมัยที่ผม (มหาปลี ) ยังเด็กมากๆก็ยังเคยได้เห็นพิธีกรรม ที่เรียกว่าขอฝนเทียมดาที่ อำเภอหนึ่งในจังหวัดสงขลา ซึ่งนั้นจะเป็นพิธีการที่มีการปลูกปะรำพิธีบวงสรวงตรงข้างทางตรงมุมถนนทุกครั้ง  ทำด้วยใบมะพร้าวหรือใบตาลหรือใบอะไรมั่งไม่รู้เลือนลางเต็มทีจะเป็นโรงพิธีเตี้ยๆ แต่สรุปได้ว่าเป็นบทสวดประเภทหนึ่งเพื่ออ้อนวอนขอฝนจากเทวดา (ภายหลังจึงมีผู้บอกว่าคำว่า "เทียมดา"นั้นก็คือเทวดา แต่เป็นภาษาใต้โบราณ


แล้วเทวดาจริงๆมีไหม ใครเคยเจอบ้าง   เทวดาคืออะไรยังงงๆ     ที่เห็นตามผนังโบสถ์นั่นนะหรือ ?  ผมเองก็ไม่เคยเจอฟังแต่ผู้ใหญ่ที่นับถือเล่าให้ฟัง  อาจจะอารมย์ไม่ละเอียดพอเพราะไม่เคยได้ฌานสมาบัติ ในแวดวงศาสนา ต้องอ่านเรื่องเล่าจากพระราชพรมญาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านจะเล่าเรื่องเทวดาไว้เยอะสนุกดีลองไปหาอ่านดูจากเวปไซด์วัดท่าซุงครับ หลวงพ่อจรัล วัดอำพวาก็เคยเล่า หลวงพ่อฯหลายท่านก็เคยเล่าให้ฟัง พี่ชายตัวเองก็เคยเล่าให้ฟัง  และตามคำภีร์ต่างๆก็มีกล่าวถึงเทวดาไว้เช่น

ในพระคัมภีร์ไบเบิลซึ่งถือว่ามาจากพระวจนะหรือคำพูดของพระเจ้านั้น มีการกล่าวถึงเทวดามากมาย อยู่ในฐานะ “ทูตสวรรค์” หรือ “นักบุญ” ซึ่งมีทั้งในเพศชายและและเพศหญิง

ในศาสนาฮินดูนั้นคำภีร์ฤคเวท ได้กล่าวถึงเรื่องราวของปวงเทพเทวาหรือเทวดานั้นมีมากมายจนนับไม่ถ้วน และมีการกล่าวถึงอำนาจและอิทธิฤทธิ์ไว้มากมาย เพราะเป็นศาสนาพหุเทวนิยม ในศาสนาโวโรอัสก็ก็มีคำคำภีร์คัมภีร์อเวสตะ  กล่าวเรื่องเทวะไว้คล้ายๆกัน

ในพระไตรปิฎกที่ถือว่าเป็นคัมภีร์ทางศาสนาพุทธนั้น ได้อธิบายถึงภพภูมิของเทวดาตามความเชื่อของศาสนาพุทธนั้นเชื่อว่ามีอยู่ 7 ชั้นคือ

ชั้น ๑. เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ๒. ดาวดึงส์ ๓. ยามา  ๔.ดุสิต  ๕. นิมมานรดี ๖.ปรินิมมิตวสวัตตี ซึ่งจะไม่กล่าวถึงที่นี่ ดูเรื่องเทวดาที่นี่  

ขยายความ

คัมภีร์อเวสตะ
คัมภีร์อเวสตะ เกิดก่อนพุทธกาลประมาณ ๔๐๐-๑๐๐๐ ปี มีโซโรอัสเตอร์เป็นศาสดา เป็นคัมภีร์สำคัญในศาสนาโซโรอัส ที่เกิดขึ้นที่ประเทศอิหร่านยุคก่อนที่อิหร่านจะหันไปนับถือศาสนาอิสลาม หรือรู้จักกันในนามของลัทธิบูชาไฟ มีความเชื่อแบบทวินิยม  สอนเรื่องการต่อสู้กันระหว่างพระเจ้าแห่งความดีกับพระเจ้าแห่งความชั่วร้าย ซึ่งในที่สุดพระเจ้าฝ่ายดีเป็นฝ่ายชนะในการต่อสู้นี้มนุษย์มีเสรีภาพในการเลือกว่าจะเลือกเอาข้างฝ่ายใด

คำภีร์ฤคเวท
ในสมัยก่อนเมื่อหลายปีนานมาแล้ว  ผมอ่านหนังสือของพระสงฆ์ท่านหนึ่งของไทย ที่หลายคนรู้จักดี  คืออาจารย์พระพุทธาสฯ  งานเขียนของท่านมีเยอะมากและมีอ้างอิงจากหลายแหล่ง  หนึ่งในนั้นคือคำภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์   การไปค้นหาหนังสือเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์เมื่อ 20 ปีมาแแล้วยากมากครับ (พศ.2532 ) ไม่เหมือนสมัยนี้เข้ากูเกิ้ลแล้วพิมม์ก็โอเคได้ังใจหวังครับ      ฤคเวท เป็นคัมภีร์เล่มแรกในวรรณคดีพระเวท   แต่งขึ้นเมื่อราว 3000 ปีก่อนคริสตกาล   เป็นตำราทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก    ประกอบไปด้วยบทสวดที่วางท่วงทำนองในการสวดไว้อย่างตายตัว   กล่าวถึงบทสรรเสริญคุณ   อำนาจแห่งเทวะ   และประวัติการสร้างโลกรวมถึงหน้าที่ของพระพรหมผู้สร้างมนุษย์และสรรพสิ่ง  ซึ่งจะใช้ในพิธีการบรวงสรวงเทพเจ้าต่างๆ  ของชาวอารยัน ตามประเพณีของฮินดูแล้ว 

การแบ่งหมวดหมู่ของคัมภีร์พระเวทนี้ วยาส ( ผู้แต่งมหากาพย์ มหาภารตะ ) เป็นผู้ทำขึ้นโดยรับคำสั่งจากพระพรหมณ์ การจัดรวบรวมบทสวด
ในคัมภีร์ฤคเวทนี้ เรียกว่า ฤคเวทสังหิตา มีบทสวดทั้งหมด 1,028 บท เป็นหนึ่งในคัมภีร์ทั้งสี่ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งเรียกรวมกันว่า "พระเวท" และนับเป็นบทสวดที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ 

ในฐานะที่เป็นวรรณคดีที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ชาวอารยันนับล้านคนนับถือคัมภีร์พระเวทว่าเป็นงานของพระเจ้า     และนับถือว่าเป็นทิพยวิชาที่ฤษียุคโบราณได้ค้นพบ   ฤษีผู้ค้นพบความรู้เหล่านั้น   เรียกว่า ฤษีแห่งพระเวท คัมภีร์พระเวทประกอบด้วยวิชาการทุกประเภทของฮินดู  เช่น แนวคิดทางศาสนา   แนวคิดทางสังคมและแนวคิดทางปรัชญา เป็นต้น วิถีชีวิตของชาวอินเดียมีพื้นฐานมาจากคัมภีร์พระเวท การศึกษาวัฒนธรรมอินเดียจึงต้องอาศัยความเข้าใจเรื่องพระเวท 


อ้างอิง :
บางส่วนจากคำภีร์อเวสตะ     บางส่วนจากคำภีร์ฤคเวท    สยามคเณศดอทคอม
           
                                                                       เทวอสูรสงคราม ๓ ( ปรัชญา)

สงครามเทวดา

เทวอสูรสงคราม ๑
เทวอสูรสงคราม ที่นำมาร้อยเรียงและเขียนขึ้นมาใหม่นี้มีทั้งหมด ๕ ตอน   ได้แรงบันดาลใจมาจาก ความแตกแยกของคนในชาติ  เมื่อครั้งสมัยพันธมิตรและนปช.เกิดขึ้นใหม่ๆ  ว่าเหตุใดกันแน่ผู้คนจึงได้มีความคิดไปคนละทาง  ไม่สามารถจะพูดคุย  เจรจาตกลงอะไรกันได้  ใครถูกใครผิดไม่ขอพูดถึง   เห็นมีแต่ปรัชญาเทวดาและอสูร    เรื่องที่บรรพชนเขียนไว้เท่านั้นที่พอจะอธิบายปรากการณ์นี้ได้   ลองอ่านเล่นๆดูครับ ผมเรียบเรียง ตีความ ขยายความ  เพิ่มเติม ตัดออกตามความคิดตนเองถูกผิดประการใดถือเป็นเรื่องความเข้าใจของปัจเจกบุคคลครับ

เรื่องเทวดากับอสูร เป็นฉากหนึ่งของเรื่องโลกธาตุที่บูรพาจารย์ได้ผูกเรื่องราวเอาไว้ด้วยเจตนาซ่อนปริศนาธรรมแขวงเอาไว้  เป็น เรืองที่ทำให้ข้าพเจ้าหลงใหล ครุ่นคิดถึงปริศนาที่ซ่อนเร้น      กับเรื่องโลกธาตุพลังงานอัตตาระดับละเอียดอ่อน  เรื่องของพลังงาน สสาร ไฟฟ้า อุตตุ หยินหยาง โหราศาสตร์ ฯลฯ ร้อยเรียงเรื่องราวแทนด้วยสงคราม จากภาคสวรรค์และโลกมนุษย์
   
บทที่ ๑ เรื่องเดิมตามตำนาน และคำภีร์



ในยุคพระเวท สมัยก่อนพุทธกาล ท้าวความตามคำภีร์เก่าแก่ ของชนเผ่าอารยัน คือคัมภีร์อเวสตะ ของอิหร่าน กับคัมภีร์คฤเวทของอินเดียได้กล่าวถึงการทำสงครามระหว่าง เทวดากับอสูร ไว้คล้ายๆ กัน แต่ค้นหาอ่านเรื่องราวตามตำนานทางฝ่ายอิหร่านแทบไม่ได้เลย

ประเทศไทยซึ่งได้รับอิทธิพลทางอินเดีย เป็นหลัก จึงมีตำนานตามฝ่ายอารยธรรมอินเดียเป็นส่วยใหญ่ โดยตามตำนานกล่าวไว้แต่เดิมว่า   มีเทวดาพวกหนึ่ง เรียกว่า เนวาสิกเทวบุตร (เทวบุตรผุ้อยู่ประจำ) อาศัยอยู่บนบนยอดเขาสุเมรุ เรียกว่า เทวโลก   มีท้าวเวปจิตติเป็นหัวหน้า อาศัยอยู่ด้วยความเพลิดเพลินในกามคุณ ๕ คือรูป รส กลิ่น เสียง สำผัส มานานแสนนาน

กาลต่อมา ณ ที่ดินแดนมนุษย์โลก ได้มีมาณพนาม “มฆะมาณพ” เป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่ อจลคามในอาณาจักร มคธ ได้เป็นผู้บำเพ็ญ วัตตบท ๗ ประการ **กับภรรยา ๔ คน ได้ชักชวนเพื่อนอีก ๓๒ คน ร่วมกันสร้างกุศลกรรมต่างๆ ครั้นตายลง มฆะมาณพกับพวกเพื่อน ๓๒ คน และภรรยา ๓ คน (ขาดนางสุชาดา) ได้ไปเกิดในเทวโลกบนยอดเขาสุเมรุ ที่พวกเนวาสิกเทวบุตรอยู่

เนวาสิกเทวบุตร เห็นมีเทวดามาใหม่จึงได้จัดเลี้ยงต้อนรับฉลองเหล่าเทพเทวดามาใหม่กันแบบเต็มที่ และที่ขาดไม่ได้ในงานเลี้ยงก็คือน้ำคันธปานะ หรือหากคิดกับสังคมคนในโลกมนุษย์ก็คงเป็นสุราชั้นดีนั่นเอง และก็บอกกล่่าวว่าจะยินดีแบ่งเทพนครให้ไปครองกึ่งหนึ่ง  เมื่อเทพบุตรเจ้าถิ่นพร้อมกับบริวารของตน ตกแต่งน้ำคันธบานให้อาคันตุกะเทพบุตรแล้ว พวกตนก็ดื่มกินกันอย่างไม่ยั้งสนุกสนานกันเต็มที่


แต่เทวดาที่มาใหม่ต้องการครองเทพนครทั้งหมด จึงนัดแนะบริวารของตนเองไว้ก่อนแล้วว่า ไม่ให้ดื่มน้ำคันธปานะหรือน้ำเมาของสวรรค์จนเมามาย แค่จิบๆให้พอพวกเขารู้ว่าดื่มด้วยแล้วก็พอ แต่ให้ทำทีเหมือนหนึ่งว่าดื่มและเมาเต็มที่จริง ๆ เมื่อพวกเนวาสิกเทว  ดื่มน้ำคันธปานะจนมึนเมามายสนุกสนานเฮฮากันจนไร้สติหลับไหลแล้ว พวกเทวดาใหม่จึงช่วยกันจับท้าวเนวาสิกเทวบุตร และบริวาร เหวี่ยงลงไปในสีทันดรมหาสมุทรที่เชิงเขา เขาสุเมรุ

แต่ด้วยบุญญานุภาพของพวกเนวาสิกเทวบุตรที่เคยสร้างสมมา จึงดลบันดาลให้มีอสูรภิภพเกิดขึ้น ณ เบื้องล่างเขาพระสุเมรุ เป็นภูเขาสามยอดชื่อตรีกูฏมหาบรรพต เป็นเทพนครที่สวยสดงดงาม กว้างใหญ่รุ่งเรืองคล้ายกับดาวดึงส์พิภพทุกประการ   นครแห่งนี้นี้จะมีนํ้าล้อมรอบกำแพงเมืองอยู่เสมอมิได้ขาด จนพวกเนวาสิกเทว ไม่รู้ตัวเองเลยว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่วิมานเดิมบนยอดเขาสุเมรุ จนกระทั่งถึงฤดูที่ดอกไม้บาน เมื่อท้าวเนวาสิกเทว ได้มาเดินชมดอกไม้ประจำเมืองออกดอกแล้ว  สังเกตุเห็นดอกไม้ไม่เหมือนกับดอกปาริชาติในเมืองสวรรค์   จนท้าวเนวาสิกทวจึงรู้ได้ว่าตนโดนเทวบุตรใหม่หักหลังเสียแล้ว แค้นนี้จึงได้ใหญ่หลวงนัก รอวันชำระคืนเท่านั้น ต่อมาต้นไม้ในเมืองอสูรนี้ ได้ชื่อว่า จิตตปาลี (แปลว่าต้นแคฝอย) และถูกบัญญัติเป็นต้นไม้ประจำพิภพของอสูรตลอดมา

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาดินแดนแห่งนี้จึงได้ชื่ออสูรพิภพ กว้างขวางถึง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ตั้งอยู่ใต้เขาพระสุเมร สำหรับความเป็นอยู่ในอสูรพิภพนี้ พวกอสูรมีความเป็นอยู่เช่นเดียวกับทวยเทพทั้งหลาย คือ เสวยสุขอันเป็นทิพย์ทุกอย่าง มีแต่ความสดชื่นรื่นเริงใจ มิต้องลำบากยากเข็ญ เหมือนพวกอสุรกายหรือยักษ์ทั่วๆ ไป เป็นเพราะอำนาจกุศลกรรมที่เหล่าอสูรได้ทำไว้แต่ปางก่อน   และจากผลอันเกิดจากการดื่มน้ำเมาครั้งนั้น จอมเทพได้สั่งสอนบริวารว่า “ชาวเราทั้งหลาย แต่นี้ต่อไปพวกเราอย่าได้ดื่มนํ้าคันธบานที่มีฤทธิ์ร้ายอีกเลย เพราะการดื่มนํ้าคันธบานนี่เอง พวกเราจึงต้องได้รับความอัปยศอดสูใจในครั้งนี้ยิ่งนัก” จากนั้นต่างพร้อมใจงดเว้นการดื่มนํ้าคันธบานตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


ส่วนเทวโลกเดิมที่อยู่บนยอดเขาสุเมรุ ก็กลายเป็น สุทัศนเทพนคร โดยมฆะมาณพได้เป็นจอม เทวดา  ต่อมาเรียพระอินทร์ คือท้าวสักกะ ผู้เป็นใหญ่ของเทวดา        ส่วนนายช่างของ มฆะมาณพไปเกิดเป็น วิสสุกรรมเทวบุตร นายช่างเทวดา  ภรรยา ๓ คน คือ นางสุธัมมา นางสุนันทา นางสุจิตรา ก็ไปเกิดเป็นมเหสีของพระอินทร์    มีวิมาน มีอุทยาน มีสระโบกขรณี มีต้นปาริฉัตร (คล้ายต้นทองหลาง) มีเวชยันต์ปราสาท เวชยันต์ราชรถ และอื่นๆ เกิดขึ้นด้วยอานุภาพของ ท้าวสักกะกับมเหสีและเทวดา ๓๒ องค์ ซึ่งสร้างกุศลร่วมกันมา ตั้งแต่นั้น สวรรค์ชั้นนี้จึงมีนามว่า ดาวดึงส์เทพนคร (นครของเทวดา ๓๒ องค์) ท่านกล่าวว่า เทพนครกับอสูรนครนั้น มี สมบัติเท่าเทียมเสมอกัน

ปาริชาติบานที่สวรรค์ดาวดึงส์ (สมมุติ )

ในอสูรพิภพมีการแบ่งเขตปกครองเป็นเขตเหมือนชาวสวรรค์ ได้แก่ ทางด้านทิศตะวันออก มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ท่านท้าวสัมพรอสูร  ทรงเป็นองค์อธิบดีปกครอง แล้วทรงแต่งตั้งให้ไพจิตตาสูรเป็นองค์อุปราช ทางด้านทิศใต้ ท้าวอสัพพราสูรเป็นองค์อธิบดี มีท้าวสุลิอสูรเป็นองค์อุปราช ด้านทิศตะวันตก มีท้าวเวลาสูรเป็นองค์อธิบดี มีท้าวปริกาสูรเป็นองค์อุปราช  และด้านทิศเหนือ ท้าวพรหมทัตตาสูรเป็นองค์อธิบดี มีท้าวอสุรินทราหูเป็นองค์อุปราช


ท้าวสัมพรอสูรทรงเป็นใหญ่ในอสูรพิภพ   บริบูรณ์ด้วยอิสริยยศเช่นเดียวกับพระอินทร์บนดาวดึงส์พิภพทุกอย่าง    เมื่อใดก็ตามที่พวกอสูรเห็นต้นแคฝอยออกดอกบานสะพรั่ง เหล่าอสูรก็จะหวนระลึกนึกถึงความหลัง เมื่อครั้งที่ยังอยู่บนเทวนครดาวดึงส์ ซึ่งมีต้นปาริฉัตรเป็นไม้ประจำเทพนคร และทุกครั้งที่ย้อนนึกถึงความหลัง   เหล่าอสูรก็รู้สึกโกรธเคืองแค้นต่อเหล่าทวยเทพในดาวดึงส์พิภพ จึงพากันชักชวนยกทัพขึ้นไปทำสงครามกับพระอินทร์ บนเทวโลกอยู่ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์

สงครามระหว่างเทวดากับอสูรรบกันนั้น ปรากฏว่า ฝ่ายอสูรเป็นฝ่ายปราชัยมากกว่ามีชัย เมื่อท้าวสัมพรอสูรผู้เป็นใหญ่ หนีมาพบบรรณศาลาของโยคีฤๅษีสิทธาทั้งหลาย ก็เข้าใจเอาเองว่า องค์อินทร์คงมีฤๅษีเหล่านี้เป็นองคมนตรีที่ปรึกษา ทำให้ฝ่ายตนพ่ายแพ้ปราชัยอยู่เสมอ คิดเช่นนั้นแล้ว จอมอสูรก็สั่งการบริวารให้รื้อบรรณศาลาของฤๅษี เท่านั้นยังไม่พอ จอมอสูรยังให้บริวารทุบต่อยหม้อนํ้าและทำลายบริขารของฤๅษี

ฤๅษีทั้งหลายได้เหาะไปปรับความเข้าใจกับจอมอสูรว่า “อาตมภาพทั้งปวง มิได้เกี่ยวข้องในการรบนี้ ขออย่าให้เราต้องลำบากเลย ขอบพิตรจงให้อภัยเสียเถิด” สัมพรอสูรได้ฟังแล้ว ก็ไม่พอใจ จึงกล่าวปรักปรำว่า “พวกท่านพอใจที่จะคบหากับพระอินทร์ซึ่งเป็นผู้ผิด แล้วกลับมาขออภัยต่อข้า  เราไม่ยอมให้อภัยพวกท่าน และยังคิดที่จะเบียดเบียนพวกท่าน ให้ได้รับความลำบากอีกด้วย”

เหล่าฤๅษีเห็นว่าจอมอสูรยังมีความโกรธ ไม่ยอมสงบศึกอย่างสันติวิธี  จึงกล่าวตักเตือนว่า “ดูก่อนอสูรผู้ใจบาป เราทั้งปวงนี้มีความประสงค์จะขออภัย ไยท่านกลับให้ภัยแก่เราเสียเล่า เราใคร่จะขอรับแต่อภัยอย่างเดียว  เมื่อท่านมาให้ภัยอย่างนี้ เรามิรับดอก ภัยนั้นจงตกอยู่กับตัวท่านเองเถิด สัมพรอสูรเอ๋ย ธรรมดาว่า พืชทั้งปวงที่บุคคลหว่านลงไป คราวเมื่อจะได้ผล ก็ให้ผลไม่ผิดกับชนิดพืชเลย ฉันใดก็ดี บุคคลทำการกุศล ก็จักพลันได้ซึ่งผลแห่งกุศลนั้นอย่างแน่นอน แต่สำหรับบุคคลบาปหยาบช้า ก็อย่าหมายเลยว่าจะไม่ได้รับผลแห่งความชั่ว ตัวท่านให้ภัยแก่เหล่าอาตมภาพ ท่านก็จักได้รับภัยในไม่ช้านี้ ฉันนั้น”

จากนั้นเหล่าฤๅษีต่างพากันเหาะกลับอาศรมตามเดิม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สัมพรอสูรก็ไม่เป็นอันจะกินจะนอนเลย มีแต่หวาดเสียวสะดุ้งจิตหวาดหวั่นอยู่เป็นนิตย์ เฝ้าแต่คิดกลัวภัยที่ดาบสกล่าวติเตียนเอาไว้ เมื่อจะเอนหลังลงสู่ที่นอนในยามราตรี ก็มีอันให้เห็นศัตรูมาแวดล้อมกลุ้มรุม และจะเอาหอกหลาวทิ่มแทง ทำให้ต้องหวาดผวาลุกขึ้นมาทันที

ด้วยเหตุนี้ หมู่อสูรต่างพากันแตกตื่นเป็นห่วง และมาเยี่ยมเยียนไต่ถามถึงอาการมิได้ขาด เมื่อถูกถามเช่นนี้ สัมพรอสูรก็มิกล้าเล่าความจริง เกรงว่าจะได้รับความอับอาย จึงปกปิดไม่บอกความจริงใดๆ ครั้นเวลานอนหลับ นิมิตร้ายนั้นก็มาปรากฏให้เห็นอีก ทำเอาจอมอสูรเป็นไข้ใจ กลายเป็นเทพอ่อนแอทั้งกายและใจ มีจิตหวาดหวั่นตกใจกลัวอยู่เป็นนิตย์ จึงได้รับขนานนามใหม่ว่า ท้าวเวปจิตติ หมายถึงจอมอสูรผู้มีจิตหวาดหวั่น



นี่ก็เป็นประวัติการอุบัติขึ้นของ เทวและอสูรพิภพ ของนักปราชญ์สมัยโบราณ ท่านได้รจนาไว้เพื่อที่จะบอกเรื่องราวอันใดแก่พวกเรารุ่นหลัง ก็แล้วแต่ภมิปัญญาของลูกหลานจะตีความเอา สำหรับผมแล้ว เรื่องราวขอองนักปราชญ์โบราณผมจะมองเป็นเรื่องอุปมาอุปมัย ตีความไปตามเรื่องโลกธาตุ อุตุ เรื่องไฟฟ้า หยินหยาง หรือแล้วแต่เรื่องอันใดก็ได้ที่ผมเข้าใจ เพราะยังมิได้บรรลุธรรมฌานทัศนะอันประณีต ผิดถูกประการใดก็ขึ้นอยู่กับภมิรู้ภูมิธรรมของผู้อ่านเช่นกันครับ


** วัตตบท ๗ ประการ คือ (คุณความดียุคแรกที่ทำให้ไปจุติเป็นเทวดา)


1. เลี้ยงดูและมีความเคารพในพ่อแม่ 

2. เคารพอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่  
3. กล่าววาจาสุภาพอ่อนหวาน
4. ไม่กล่าวคำส่อเสียด กล่าวแต่วาจาสมานสามัคคี     
5. ชอบเผื่อแผ่ ไม่ประพฤติตนเป็นคนตระหนี่
6. มีความสัตย์ กล่าวแต่คำที่เป็นจริง     
7. ระงับความโกรธด้วยขันติธรรม



เครดิต เวปไซด์ บ้านจอมยุทธ วัดธรรมกาย และฯ

                                                     เทวอสูรสงคราม ๒   พินิจฯ.เรื่องตามตำนาน

ชีวิตกับดวง

ชีวิตกับดวง
เรื่องดวงชะตากับชีวิตเป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่ง ผมจะเขียนเล่นไปเรื่อยๆนะครับ   แม้นว่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยมองว่าป็นเรื่องงมงาย แต่หากสังเกตุดูดีจากข่าวสาร จะเห็นมีผู้ใหญ่จำนวนไมน้อย ไปดูดวง ไปสะเดาะเคราะห์ ใช่ว่าจะมีแตเพียงดาราเท่านั้น  แม้กระทั่งการทำสงครามของบบางประเทศก็ยังอาศัยเรื่องดวงชะตาอยู่  มันเป็นยังไงกันแน่   เป็นเรื่องที่หลายคนอยากรู้ คนที่ไม่อยากรู้ว่าคนดูดวงงมงาย ตัวเองฉลาด แต่สภาพชีวิตจริงดูเคร่งเครียด จริงจัง ไม่ค่อยมีใครอยากคบ ก็มีให้เห็นเยอะแยะ


การดูหมอ
ดวงชะตาชีวิต  เรื่องจริงทีทุกคนต้องเจอ  ส่วนเรื่องดูดวง  จะจริงจะเท็จก็แล้วแต่ผู้ดูว่เชี่ยวชาญระดับเทพฯ หรือจิตวิทยาสูงปรี๊ดแต่ความรู้น้อย  ก็สามารถทำนายได้แม่นยำจนน่าทึ่ง แต่จะเป็นยังไงก็ตาม   ไม่ว่าวิชานีจะถูกมองว่างมงายขนาดไหน แต่การดูดวงก็เป็นเรื่องที่ต้องอยู่คู่โลกมายาวนานและอาจจะตลอดไป
   

๘ ยามตกฟากคำกลอน
เรื่อง แปดยามตกฟากคำกลอนนี้  ผมได้มาจากหนังสือที่พิมม์แจกงานศพ     ที่บ้านเกิดผม ที่ อ.ระโนด จ.สงขลา  เห็นยังไม่เคยอ่านเจอที่ไหนมาก่อน  เกรงจะหายไป  จึงได้ลงทุนพิมม์ด้วยตัวเอง กว่าจะเสร็จก็เมือยเหมือนกันครับ
             
การดูหมอ            การหมอดู   Google
โหราพยากรณ์ ปฏิทินโหราศาสตร์ไทย ปฏิทินวันนี้
ผีชิน คุณเป็นใครในอดีตชาติ เลขเด็ดวันนี้                      
เวปดูหมอ        ตำนานหลวงปู่ทวด ตำราพรหมชาติ

ทฤษฎีส้นตีน             ทฤษฎีส้นตีน 2 ทฤษฎีส้นตีน 3
ST4 . พระจันทร์ ST5.พระอังคาร      เลขศาสตร์มาตรฐาน
ST6. พระพุธ ST.7 ศาสตร์ตัวเลข ST8. พระพฤหัสบ่ดี..
ST.9 พระศุกร์ ST 10. พระเสาร์               ST 11 จักราศี 1
ST.12 จักรราศี 2      ST 13 ชนชั้นวรรณ กระทำทักษิณา
ดวงเมือง 2561 โดยหลวงกล้วย ดวงเมืองไทย 1  ดวงเมือง 2562...หลวงกล้วย
โหงวเฮ้ง 12 ภพ โหงวเฮ้ง/ซินแสหยาง     โหงวเฮ้ง ..ชินแสหมิง
โหงวเฮ้ง                             ยามสามตา ลายมือ โดย อ.พัชนี

โหราประสาฮิปโป พยากรณ์ดอทคอม                     พยากรณ์ดอทคอม   
มหาหมอดูดอทคอม                  อ.ธนเทพ กีตาร์โหร  อ.พัชนี ตุษยะเดช/ลายมือ  

พนมพนธ์ คุณวุฒิรักษ์..ลายมือ  palm web org     Hands in scripture
ลายมือ Kat Anders palm from Bible ลายมือ..เส้นสมอง
   
 Face Book พยากรณ์

Divine  From india   โหราจารย์ดูลายมือ AutoConhec palm
Palmreading org ลายมือ อังกฤษ              ลายมือ english Fun ch
หัตถศาสตร์ เฟสบุ๊คมือพยากรณ์ inter ลายนิ้วมือ
ลายนิ้วมือ ลายมือกับอภิวัตน์ ลายมือกับ Benjateller
ลายมือจากเฟสบุ๊ค อธิวัฒน์  มหัศจรรย์แห่งลายมือ/ตัวเลข พยากรณ์ลายมือ
ลายมือ rajiv sood                ลายมือ Nirotwat Chinpan ดูลายมือ
ลายมือ shwetank johri เวปฯ ตำราดูลายมือ ลายมือโดย...Chariot   
Tanapong ลายมือ โค๊ดลายมือสื่อชีวิต                  คลิปดูลายมือ

มุมสุขภาพ

สุขภาพดีไม่มีขาย  คำๆนี้หลายคนคงผ่านสายตามาบ้าง อาจจะจากหนังสือ อินเตอร์เน็ต หรือจากสกรีนที่เสื้อนักวิ่งนักกีฬา   ที่นี่ผมจะเล่าในเชิงประสบการณ์ของตัวเองหรือของเพื่อนๆที่เคยผ่าน เคยลอง เคยรักษา เมื่อก่อนเรื่องสุขภาพมักเป็นเรื่องของผู้สูงวัย แต่สมัยนี้คนรุ่นใหม่เป็นโรคร้ายๆกันง่ายๆจากภาวะสังคมที่เปลี่ยนไป  แม้นว่าเทคนโลยีการแพทย์จะล้ำหน้าไปไกลจนรักษาได้สบายๆแทบทุกอย่าง แต่ก็ต้องแลกด้วยราคาแสนแพง  แต่ยังไงการดูแลสุขภาพกายและใจก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ที่ต้องดูแลด้วยตัวเองส่วนหนึ่งอยู่ดีครับ

พลังธรรมชาติบำบัด
พลังธรรมชาติ เรื่องที่ผถูกมองข้ามในปัจจุบันี้
เพราะเราฝากชีวิตไว้กับหมอเป็นหลัก  ถามว่าดีไหม ดีนั้นดีแน่ครับ  แต่ชีวิต รูปนาม นี้มันเป็นธรรมชาติที่สร้าง และซ่อมตัวเองได้แต่เราอาจลืมไป        
                                     อ่านต่อ
  
                                            ลิงค์น่าสนใจ

จำรัส เซ็นนิล พระมหาสีไพร (ตอกเส้น) บวรเวชแผนไทย
สมุนไพรดอทคอม เกษตรลุงคิม    ผ่าตัดนิ้วล็อค
แพทย์แผนจีน เกษตรเพียงพอ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
My First Brain.com บ/ช งบดุล FB น้าอ้วนฯ นวดแผนไทย


Asia TV sat Thaicom 5 Lynsat                                  
สหกรณ์ กสท.ประเมินราคาที่ดินทรูมูฟเซอร์วิซ
การเขียนบล็อกเบื้องต้นเทคนิคการเขียนบล็อกสร้างตัวอักษร
สร้างภาพเคลื่อนไหวistyle boxเกี่ยวกับปรัชญา

ดวงเมืองกรุงเทพฯ

การดูหมอตอนที่ ๓

ทำไมต้องดวงเมืองกรุงเทพฯ   เพราะผมชอบโหราศาสตร์ไทยแนวโลกธาตุ   ของอจ. ส.แสงตะวัน   ครับ   เห็นท่านเขียนว่า  การศึกษาเรื่องดวง เรื่องโลก เรื่องโกธาตุให้เข้าใจ  ให้ทำความเข้าใจเรื่องดวงเมืองกรุงเทพฯให้ได้

เรื่องดวงเมืองที่อาจารณ์ ส.แสงตะวัน ที่ผมนับถือ ได้เขียนลงในหนังสือโหราเวศน์และที่อื่นๆ    ว่าเป็นสุดยอดของวิชาการวางฤกษ์ผู้ทีจะเรียนรู้เรื่องฤกษ์ต้องอ่านดวงเมืองกรุงเทพฯออกและต้องรู้จักลางฤกษ์  คือเมื่อวางฤกษ์นอกจากจะดูเวลานาฬิกาไม่ว่านาฬิกาแดดนาฬิกาสากลไม่ว่าจะเป็นท้องถิ่นหรือนาฬิกามาตรฐานที่ใช้ซีเซียมคล็อกแล้ว ต้องกำหนดฤกษ์จากเหตุการณ์จริงในขณะนั้นด้วยเช่นฤกษ์นี้กำหนดให้วาง วันศุกร์ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน๑๒ ปีกุน เวลานาฬิกา คือ ๐๖.๔๕ เวลาฤกษ์จริงๆ ต้องเป็นเวลาที่มีพระกับเด็กวัดเดินเข้ามาในบริเวณนี้แล้วเท่านั้น จึงวางฤกษ์ได้ ( ถ้าฤกษ์เรื่องไม่สำคัญมากนักก็ไม่เป็นไร) ข้อมูลที่ผมเอามาลงนี้ส่วนแรกได้จาก หนังสือของ อ.แสงตะวัน ส่วนอื่นลอกจากเวปไซด์อื่นๆ



ดวงเมืองกรุงเทพฯ
อาทิตย์ที่ ๒๑ เมษายน พศ.๒๓๒๕ เวลารุ่งแล้ว ๙ บาท
ตรงกับวันขึ้น ๑๐ ค่ำเดือน ๖ ปีขาล จศ. ๑๑๔๔  โหรเรียกกำแพงแก้ว ๓ ชั้น
         โดยใช้โหรจากอินเดีย ๙ คนเป็นผู้ให้ฤกษ์ เรียกว่า "เพชรฤกษ์มงคล "


กำแพงแก้ว ๓ ชั้นในดวงนี้ คือ
เกณท์ฤกษ์ ชั้นที่ ๑ พระ ๒ เป็นองค์พระฤกษ์ พระ ๖ เป็นองค์คู่ฤกษ์
เกณท์ฤกษ์ชั้นที่ ๒ พระ ๖ เป็นองค์พระฤกษ์ พระ ๔ เป็นองค์คู่ฤกษ์ 
เกณท์ฤกษ์ชั้นที่ ๓ พระ ๕ เป็นองค์พระฤกษ์ พระ ๖ เป็นองค์คู่ฤกษ์ 

เมื่อถึงเวลาวางฤกษ์คือรุ่งเช้า ๙ บาท(ใช้แสงแดดวัดเงา ได้ ๙ ฝ่าเท้า) เป็นช่วงที่มีเรือสำเภาส่งสินค้าจากเมืองจีนเข้ามาเทียบแล้วลูกเรือก็ขนกระทะเหล็กเดินผ่านเข้ามาในเขตุทำพิธีถือเป็นลางฤกษ์ ของเวลาจริงคือลางฤกษ์มาณพน้อยใส่หมวกเหล็ก (โดยปกติตอนผูกดวงฤกษ์ โหรที่เก่งจริงๆจะรู้ว่าในเวลานี้จะมีอะไรเกิดขึ้นในทำนองนี้) เจ้าหน้าที่จึงได้ลั่นฆ้องลงเสาหลักเมือง(ถ้าเป็นฝรั่งหรือทางตะวันตกเขาใช้การสั่นกระดิ่ง) เมื่อปล่อยเสาลงหลุมปรากฏว่ามีลูกงูสิงห์มาจากไหนก็ไม่รู้มาอยู่ที่ก้นหลุม ทางโหรถือเป็นเทพนิมิตร และได้ทำนายว่าราชวงศ์จะเจริญไปได้ ๑๕๐ ปีจะสูญสิ้น มีทางที่แก้ไขได้ทางเดียวคือการสร้างวัดไว้ในทิศใกล้จึงจะบรรเทาได้ ทางพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ จึงให้สร้างวัดพระแก้วขึ้น เป็นการแก้อาถรรพ์ เพื่อปกปักรักษาพระนคร และทางโหรได้แบ่งชะตาของดวงเมืองไว้ เป็น ๗ ยุคด้วยกันคือ

๑.ยุคมหากาฬ                ๒. ยุคบัณฑิตธรรม          ๓. ยุคจำแขนขาด        ๔. ยุคราชโจร
๕. ยุคนนทร้องทุกข์        ๖.ยุคทมิฬ                     ๗. ยุคถิ่นกาขาว

ตามตำราผมไม่พบคำอธิบายความไว้ แต่มาสมัยหลังเห็นมีคำทำนายต่อเติมตีความกันไปต่างๆนาๆตามภูมิปัญญาของแต่ละคนเราอย่าไปว่ากัน ดีแล้วที่มีคนช่วยกันคิด ทุกคนก็หวังดีแก่บ้านเมือง อันไหนจริงอันไหนเท็จผมมิอาจทราบได้เพราะเกิดไม่ทัน ท่านก็หาอ่านกันได้ตาม เน็ตและหนังสืือแจกแและหนังสือลูกโซ่ เห็นมีมาบ่อยๆเพราะพวกที่พิมม์แจกจะได้บุญ ใครไม่ทำจะมีอันเป็นไปผมก็เจอหลายหนแล้วไม่เคยได้พิมม์แจกเลย เลยขอเผยแพร่ต่อทางเวปไซด์ก็แล้วกันนะครับ


ภาพที่แสนสวยเหล่านี้หากท่านไปดูช่วงงานในหลวง ช่วงวันที่ 5 ธันวาคม ที่มีขบวนรถพาเหรดสวยๆตระกาลตายามค่ำคืน มีพลุสวยๆสูงเสียดฟ้า ประดับประดาไปด้วยฉากวัดวาอาราม และตึกยามค่ำคืน ข้าพเจ้ามองว่า เหมือนดั่งเมืองสวรรค์  ที่ข้าพเจ้าได้ไปดูมาแล้ว คืน 6 ธค. 2553  จากอาณาบริเวณผ่านฟ้า ถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สวยกว่าสมัยเมื่อปี 2526 เยอะ(ตอนนั้นอยู่วัดสุทัศน์ เดินมาดูง่าย)



-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดวงเมืองกรุงเทพฯที่ลอกมา

เก็บไว้ครับ กลัวหาย เพราะเวปไซด์ต้นขั้วถูกปิด
ส่วนนี้ได้จาก http://www.paisarn.com/believeother.html (เฉพาะตัวหนังสือลอกมาทั้งหมดไม่มีดัดแปลงแก้ไข เวปไซด์อาจปิดไปก่อนก็เป็นไปได้ครับ) เหตุที่คัดเอาไว้เพราะวันหนึ่งอาจหายไป

“พระโหรา กล่าวโศลกบูชาฤกษ์และพระมหาราชครูอ่านกระแสพระราชโองการตั้งพระมหานคร ขุนโหรเริ่มประกอบพิธีกล่าวอุทิศเทพสังหรณ์ 

อัญเชิญก้อนดินซึ่งพลีมาแต่ทิศทั้ง 4 แห่งพระนคร กระทำให้เป็นก้อนกลมดุจลูกนิมิตลงสู่ก้นหลุมเป็นลำดับกันไปเริ่มแต่ทิศบูรพา ทักษิณ ปัจฉิมและอุดร จากนั้นนำแผ่นศิลาเลขยันต์สำหรับรับรองหลักวางลงบนก้อนดินทั้ง 4 ก้อนนั้น ส่วนภายในก้นหลุมนั้นเล่าก็ได้ตกแต่งไว้เรียบร้อย กรุด้วยผ้าขาวสะอาดบริสุทธิ์ ดาษไปด้วยใบไม้อันเป็นมงคล 9 ประการ โปรยปรายแก้วนพรัตน์ไว้เรียงรายโดยรอบขอบปริมณฑลภายในก้นหลุมนั้น”

ขณะที่ได้พระฤกษ์ พระโหราย่ำฆ้องบอกกำหนดพระฤกษ์ ชีพราหมณ์เป่ามหาสังข์แกว่งบัณเฑาะว์ เจ้าพนักงานประโคมดุริยางค์แตรสังข์และพิณพาทย์ เจ้าหน้าที่ประจำยิงปืนใหญ่เป็นมหาพิชัยฤกษ์ เริ่มพระราชพิธีอัญเชิญเสาหลักเมืองลงสู่หลุม โดยวางไว้บนแผ่นศิลายันต์  ทันทีนั่นเอง ก็เกิดปรากฏการณ์เป็นมหัศจรรย์ขึ้น โดยปรากฏว่ามีงูตัวเล็กๆ 4 ตัว ปาฏิหาริย์ลงไปอยู่ในหลุมนั้น และก็บังเอิญบันดาลให้ทุกคนที่ไปร่วมชุมนุมประกอบพิธีอยู่ ณ ที่นั่น ได้เห็นงูในขณะที่เคลื่อนเสาหลักเมืองนั้นลงไปในหลุมเสียแล้ว 


ซึ่งเมื่อก่อนที่จะยกเสาลงสู่หลุมนั้น หาปรากฏว่ามีงู 4 ตัวดังกล่าวนั้นไม่ และก็หมดโอกาสที่จะแก้ไขประการใดๆ ได้ทั้งสิ้น เพราะเมื่อตอนที่เห็นงูนั้น เป็นขณะที่เสาได้เคลื่อนลงหลุมแล้ว จึงจำเป็นจะต้องปล่อยให้เลยตามเลยไป โดยปล่อยให้เสาลงไปในหลุมและกลบดินให้แน่น ทำให้งูทั้ 4 ตัวนั้น ต้องตายอยู่ภายในก้มหลุมนั่นเองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่ฝังเสาหลักเมืองนี้ ได้ยังพระวิตกให้แก่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นอันมาก ทรงเรียกประชุมเหล่าเสวกามาตย์ราชบัณฑิตปุโรหิตาจารย์ พระราชาคณะและบรรดาผู้รู้ทั้งปวงมาร่วมประชุมวิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นครั้งนี้ว่า จะเป็นมงคลนิมิตหรืออวมงคลนิมิต บรรดาผู้รู้ทั้งปวงต่างก็ให้ความเห็นสอดคล้องต้องกันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จัดว่าอยู่ในจำพวกอวมงคลนิมิต แต่ก็ไม่สามารถจะชี้ลงไปได้ว่า ผลจะปรากฏออกมาในทำนองใด นอกจากจะลงความเห็นว่างูเล็กทั้ง 4 นั่นแหละ จะเป็นมูลเหตุนำความอวมงคลให้แก่บ้านเมือง

แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นการบอกกล่าวของเทพยดาฟ้าดินขึ้นมาในระยะนั้น โดยเกิดฟ้าผ่าไฟไหม้พระที่นั่งอมรินทร์มหาปราสาท ทำให้ทรงพระราชวินิจฉัยออกมาว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์เมือง โดยที่เทพยดาบันดาลให้เกิดฟ้าผ่าจนไฟไหม้พระมหาปราสาท ตามธรรมดาต้องเสียเมืองก่อนจึงจะเสียพระมหาปราสาท คราวนี้ได้เสียพระมหาประสาทไปแล้วเท่ากับเสียเมืองไป เพราะเหตุที่ชะตากรุงเทพมหานครในระยะเริ่มตั้งแต่ฝังเสาหลักเมืองมานั้น ชะตาเมืองอยู่ในเกณฑ์ร้ายถึง 7 ปี 7 เดือน เป็นอันเสร็จสิ้พระเคราะห์เมืองไป และจะถาวรลำดับกษัตริย์ไป 150 ปี (เทพย์ สาริกบุตร “โหราศาสตร์ในวรรณคดี”)

คนไทยทุกคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ หรือเคยเดินทางมากรุงเทพฯ ก็คงจะได้พบได้เห็นศาลเจ้าพ่อหลักเมืองทีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นประธานในการทำพิธีฝังตามคัมภีร์ของคนไทยที่ชื่อว่า คัมภีร์พระนครฐาน แต่สำหรับคนธรรมดาสามัญทั่วไป หรือเฉพาะคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ นับจำนวนล้านๆ คน อาจจะไม่เคยทราบว่าการทำพิธีฝังเสาหลักเมืองในวันนั้น เป็นเรื่องไม่ธรรมดา
พิลึกพิลั่นและมีเหตุการณ์อันประหลาดมหัศจรรย์มากมายเพียงใด หรือคนโบราณเขาได้ทำกันอย่างไร และมีอะไรประกอบขึ้นมาบ้างก่อนที่จะมาเป็นศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ จึงสามารถทำให้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงทำนายทายทักออกมาได้ว่า นับตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2325 เป็นต้นไป ระบอบการปกครองของไทยจะต้องเปลี่ยนจากระบอบราชาธิปไตยไปเป็นประชาธิปไตยอย่างที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้

 และยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงในวันทำเสาหลักเมืองนั้น ทุกคนที่ร่วมชุมนุมทำพิธีเหล่านั้น ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ และบรรดาชีบานาสงฆ์ฐานันดรสูงสุดของประเทศ ได้เห็นเป็นประจักษ์พยานว่า มันมีสิ่งบอกเหตุว่าจะต้องเกิดขึ้น เพราะในหลุมลึกที่ฝังเสาหลักเมืองที่กรองก้นหลุมไว้ด้วยผ้าขาวและสรรพคา รูปหล่อเทวดาที่ปกปักรักษาบ้านเมืองถาอาคมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายนั้น เมื่อเวลานำเสาลงหลุมเสร็จและกำลังจะกลบด้วยดินตามปกตินั้น ทุกคนก็ได้เห็นว่ามีงูเล็ก 4 ตัวลงไปนอนเล่นอยู่ในหลุม โดยที่ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้ นอกจากถมให้ตายลงไป และงูตัวนั้น โบราณหรือกษัตริย์ของกรุงรัตนโกสินทร์ทรงทราบว่า มันบอก ถึงการสิ้นสุดของระบอบราชาธิปไตยของคนไทย ว่าการสิ้นสุดของระบอบนั้นจะเกิดจากการถือกำเนิดของเชื้อพระวงศ์ 4 พระองค์ของกรุงรัตนโกสินทร์

 และเหตุการณ์ก็เป็นจริงเพราะว่าจากวันนั้นมาถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นวันที่ครบ 150 ปี จากวันที่ฝังเสาหลักเมืองและการตายของงูทั้ง 5 ตัวนั้นเหมือนกับนัด ในระยะนั้น เจ้านาย 4 พระองค์เป็นผู้รับผิดชอบกิจการของบ้านเมือง ทั้งฝ่ายนอกฝ่ายในคือ (1) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (2) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิจ (3) กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน (4) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินทร ซึ่งทุกพระองค์ทรงมีพระราชสมภพในปีเดียวกันทั้ง 4 พระองค์คือ ปีมะเส็งซึ่งหมายถึง งูเล็กหรืองูทั้ง 4 ตัวที่ตายอยู่ในหลุมฝังเสาหลักเมืองวันนั้น


เทวดาที่ปกปักรักษาบ้านเมือง

ดวงชะตาเมืองที่จัดทำขึ้นวันนั้น มันมีอาถรรพ์และมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนไทยโบราณ และมันแสดงให้เห็นเป็นประการแรกที่พิสูจน์ได้

สมัยเจ้าฟ้าทั้ง 4 พระองค์ หรือคนโบราณรู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดหรือจะสิ้นอายุ 150 อายุพระนครตามที่พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงให้คำทำนายไว้นั้น ตามประเพณีไทยก็ต้องไปทำบุญแก้เคล็ดหรือสะเดาะเคราะห์ไว้ก่อน เพราะฉะนั้นเจ้าฟ้าทั้ง 4 พระองค์นี้ก็ได้ร่วมกันสร้างตึกขึ้นหลังหนึ่งที่เรียกว่า ตึกสี่มะเส็ง ที่บริเวณโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์หรือที่สถานเสาวภาทุกวันนี้ การที่จะคาดหมายว่าอะไรจะเกิดขึ้นอย่างไรของคนโบราณอย่างที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงทำนายไว้นั้น ความจริงไม่เพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นเท่านั้น แต่ตามประเพณีก็จะดูกันจากดวงชะตาเมือง ซึ่งโหรไทยหรือนักศึกษาโหราศาสตร์ไทยทุกคนก็จะรู้กันดีว่าเอาอะไรมาทำนายทายทักกันอย่างไร อย่างไรก็ตาม เรื่องของขนบประเพณีในการสร้างบ้านสร้างเมืองหรือหลักการสร้างบ้านสร้างเมืองตามพิธีนครฐานนั้น เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ร้อยแปดที่จะต้องการสองประการคือ

(1) จะต้องมีอาถรรพ์หรือคำสาปแช่งนานาประการที่จะป้องกันเสนียดจัญไรหรืออันตรายทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นแก่บ้านเมือง ผู้ใดที่ไม่หวังดีหรือได้กระทำความชั่วให้เกิดเหตุร้ายแก่บ้านเมืองจะต้องวินาศฉิบหายไป อริราชศัตรูหรือผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมืองที่กระทำการอันเป็นโทษต่อบ้านเมืองนั้น จงแพ้ภัยแก่ตัวเองและจะประสบความวินาศฉิบหายไป

 (2) ให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ไม่ให้ผู้คนอดอยากและได้รับเวรภัยใดๆ ให้ประสบแต่ความสมบูรณ์พูนสุขทั้งบ้านเมือง ทั้ง 4 มุมเมืองของกรุงเทพมหานครนั้น คนโบราณเล่ากันต่อไปว่าได้มีการฝังอาถรรพ์ไว้ทั้งทิศเหนือ ทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตก เพื่อป้องกันคนชั่วและคนที่มีความประสงค์ร้ายต่อบ้านเมืองอย่าได้มีโอกาสเข้ามาพ้นจากมุมที่ท่านฝังอาถรรพ์เหล่านั้นไว้เป็นอันขาดว่ากันว่าคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางคาถาอาคมหรือเครื่องลางของขลังแน่นขนาดไหนก็ตาม เพียงแต่เดินผ่านมุมเมืองทั้งสี่มุมใดมุมหนึ่งเข้ามา ท่านก็ว่าวิชาอาคมทั้งปวงก็จะเสื่อมหมด ไม่ว่าจะชื่อเณรแอหรืออาจารย์กู้และหลวงตาจันทร์ก็เถอะ ดีไม่ดีติดคุกเอาง่ายๆ ในชีวิตจะหมดสิริมงคลทำมาหากินไม่ขึ้นเอาทีเดียว

ที่มีการบอกกล่าวกันว่า ได้มีการฝังอาถรรพ์ไว้ทั้ง 4 มุมเมืองในวันนั้น ก็เป็นเพียงรับรู้และบอกเล่ากันมา แต่ความจริงที่ทำอย่างแน่นอนก็คือ การอัญเชิญท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 เข้ามาประกอบพิธีด้วย ท่านว่า “และให้ปลูกโรงศาลโรงพิธีขึ้นใกล้ๆ กับหลุมที่จะขุด เพื่อจะปักเสาหลักเมืองนั้น ตั้งศาลจตุโลกบาลทั้ง 4 ทิศขึ้น 4 ศาล” ซึ่งอาจจะเป็นการฝังอาถรรพ์ทั้ง 4 มุมเมืองที่บอกกล่าวกันมาก็ได้

เช่นเดียวกับเจ้าขุนมูลนายหรือผู้ปกครองบ้านเมืองที่คิดว่าตัวเองคือพระเจ้าที่อยากจะทำอะไรตามใจตัวเองก็ทำได้นั้น ก็ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ นอกจากความวิบัติฉิบหายน้อยมากตามกรรมตามเวรของแต่ละคน ก็ได้พิสูจน์กันมาแล้วเป็นลำดับ เฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา 

พระเสื้อเมือง... เป็นเทพารักษ์หล่อสำริด ปิดทอง สูง ๙๓ ซม มีหน้าที่คุ้มครองป้องกันทั้งทางบก ทางน้ำ คุมกำลังไพร่พลแสนยากร รักษาบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข ปราศจากอริราชศัตรูมารุกราน 

พระทรงเมือง... เป็นเทพารักษ์หล่อสำริด ปิดทอง สูง ๘๘ ซม. มีหน้าที่รักษาการปกครอง และกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ดูแลทุกข์สุขของประชาชน ให้ร่มเย็นเป็นสุขสวัสดี

พระกาฬไชยศรี... เป็นเทพารักษ์หล่อสำริด ปิดทอง สูง ๘๖ ซม. เป็นบริวารพระยม มีหน้าที่นำวิญญาณของมนุษย์ผู้ทำบาปไปสู่ยมโลก

ตัวอย่างคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งคนสำคัญๆ ล้วนแต่ดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยากันมาแล้วทั้งนั้น และเมื่อปฏิวัติแล้วก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ แล้วทุกคนก็แตกกระสานซ่านเซ็นกันไปเกือบทุกคน เท่านั้นยังไม่พอ ยังพยายามติดตามจองล้างจองผลาญกันอย่างไม่ลืมหูลืมตาเอาด้วย ไม่ว่าเป็นพระยาทรงสุรเดช พระยาศรสิทธิสงครามและคนอื่นๆ แม้แต่จอมพล ป. พิบูลสงครามเอง ทุกคนใช้ชีวิตสุดท้ายด้วยความทุกข์ยากและตายไม่ดีกันทั้งนั้น แม้แต่หลวงประดิษฐ์มนูธรรม แม้ว่าจะทำบุญกุศลและสร้างเกียรติยศให้แก่บ้านเมืองเพียงไร ก็ไม่มีโอกาสได้ตายอย่างรัฐบุรุษของชาติ แต่ตายนอกประเทศที่ตนเองกอบกู้มันเอาไว้ และที่ร้ายที่สุดก็คือ ความแตกแยกชนิดเอากาวอะไรทาก็ไม่ยอมติด นั่นคือความอาถรรพ์ของดวงชะตาเมือง

และรัฐบาลชุดนี้ที่ถือเอาฤกษ์วันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมานั้นเป็นหลัก สิ่งที่จะเกิดก่อนอื่นที่ไม่สามารถจะแก้ไขก็คือ ความแตกแยกที่จะต้องแตกกันขนาดต้องพังไปข้างหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยอะไร
ถึงแม้ว่ามีโอกาสได้ตั้งกระทรวงต่างๆ มาถลุงเงินประชาชนกันอย่างสนุกมือก็ตาม แต่ก็จะต้องระวังอาถรรพ์และคำสาปแช่งของโบราณนั้นไว้บ้างก็ดี เพราะเสาหลักเมืองยังอยู่ อาถรรพ์และเสียงสาปแช่งจะไม่ไปไหนเสีย ถ้าหากเกิดความสกปรกหรือผิดพลาดอะไรขึ้นมา เจอพิษงูเล็กชุดนี้แน่
ไม่เพียงแต่ตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเท่านั้น แต่คณะรัฐบาลทั้งชุด ทั้งคณะควรจะรู้เรื่องราวของอาถรรพ์เหล่านี้ไว้บ้าง อาจจะมีประโยชน์บ้างก็ได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่เคยไว้หน้าใครหรอก ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออยู่ในตำแหน่งขนาดไหน!

------------------------------------------------------------------------------------------------

บทวิเคราะห์เรื่องดวงเมืองของท่านต่างๆ
(ข้อความจาก http://board.palungjit.com/f178) หลังจากที่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษีได้มรณภาพลงเมื่อวันเสาร์แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๕ ตอนเที่ยงคืนเช้าวันรุ่งขึ้น นายอาญาราช ศิษย์ก้นกุฏิ ของเจ้าประคุณ 
สมเด็จ เข้าไปเก็บกวาดในกุฏิของท่าน ขณะทำความสะอาดกุฏิ นายอาญาราชได้พบเศษกระดาษชิ้นหนึ่งซุกอยู่ใต้เสื่อเป็นลายมือของเจ้าประคุณสมเด็จ เขียนสั้นๆ โดยสังเขป เป็นคำทำนายชะตาเมือง มีความว่า

" มหากาฬ พาลยักษ์ รักมิตร สนิทธรรม จำแขนขาด ราษฎร์จน ชนร้องทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นกาขาว ชาววิไล "

บทวิเคราะห์  (ไม่รู้ใครวิเคราะห์นะครับ )

๑. มหากาฬ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงปราบดาภิเษก คือปราบกบฎที่ก่อความเดือดร้อนให้บ้านเมือง และสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินมหาราช ที่ทรงถูกพวกกบฎจับกุมคุมขังและยึดอำนาจ ฐานวิกลจริต (กล่าวหาว่าเป็นบ้าเสียสติ)ด้วยการนำไปประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ และตั้งตนเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ในการนี้ทำให้ผู้ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าตาก และผู้ที่ไม่เห็นด้วย รวมไปถึงผู้ที่เสียผลประโยชน์ เกิดแข็งข้อ ไม่ยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี ไม่ยอมรับว่างั้นเถอะ 


จึงได้มีพระบรมราชโองการปราบพวกไม่เห็นด้วย หรือพวกกบฎต่อแผ่นดินใหม่ให้ราบคาบ มีการสังหารล้างโคตรกันทีเดียว ถึง ๘๒ ครัวเรือน มีการประกาศใช้กฎปราบกบถ กฎมณเทียรบาล และกฎอัยการศึก ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน ซึ่งเป็นเรื่องหวาดเสียว น่ากลัวมาก เพราะบ้านเมืองที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ (คือสร้างกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงใหม่) ยังระส่ำระสาย หาความเป็นปึกแผ่นมั่นคงไม่ได้ จึงต้องทำทุกอย่างด้วยความเฉียบขาด จึงเรียกยุคนี้ว่า "ยุคมหากาฬ" หรือ"ยุคดำมืด" เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่า "บ้านเมืองใหม่จะอยู่หรือจะไป" ยิ่งมีสงคราม ๙ ทัพ จากพวกคุณหม่องมาสั่นประสาทชาวบ้านด้วยแล้ว ใครเกิดยุคนี้ล่ะก็ ร้องได้คำเดียวว่า "กลัวแล้วจ้า" (เพราะคนไทยยังไม่หายเข็ดกลัวพม่ายังไม่เชื่อมั่นในตัวผู้นำและขุนนาง เพราะสร้างความเหลวแหลกไว้เยอะในตอนก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา)

๒. พาลยักษ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นยุคแห่งความวิบัติเคราะห์ร้าย ของผู้คนในแผ่นดิน เนื่องจากเกิดอหิวาตโรค (โรคห่า โรคท้องร่วง) ในปี พ.ศ. ๒๓๖๓ โรค ได้ระบาดไปทั่วเมือง มีผู้คนล้มตายลงวันละมากๆ เพราะการแพทย์ในสมัยนั้นยังไม่เจริญ ตามสุสานวัดสำคัญต่าง ๆ เช่น วัดสระเกศ , วัดบพิตรพิมุข เต็มไปด้วยซากศพผู้เสียชีวิต ในแม่น้ำลำคลองก็ยังมีซากศพลอยขึ้นอืดกันให้เกลื่อน เป็นที่อุจาดตาส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง น่าสะอิดสะเอียนเป็นยิ่งนัก ถนนหนทางมีแต่ความเงียบสงัดวังเวง ผู้คนต่างหลบซ่อนอยู่ภายในบ้าน บางครอบครัวก็อพยพหลบหนีโรคร้ายไปอยู่เสียหัวเมือง 

ในการนี้ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๒ ถึงกับรับสั่งให้ทำพระราชพิธียิงปืนใหญ่รอบกำแพง พระบรมมหาราชวัง ๑ คืน (เป็นความเชื่อที่ว่า โรคห่า เกิดจากการกระทำของยักษ์มาร ภูติผีปีศาจ จึงต้องมีพิธีการสวดมนต์ ปัดรังควาน ยิงปืนใหญ่ขับไล่ ให้มันตกใจกลัวจะได้หนีไป ทำคล้ายกับพิธีสวดภาณยักษ์ หรือสวดอาฎานาฎิยปริตร นั่นแหละครับ) ทรงให้อัญเชิญพระแก้วมรกตอันศักดิ์สิทธิ์ และพระบรมธาตุออกแห่แหน เป็นการขับไล่และปลอบขวัญพลเมือง ในที่สุดโรคร้ายก็สงบ แต่กว่าจะสงบราบคาบประมาณกันว่ามีผู้เสียชีวิตถึงสามหมื่นคนทีเดียว นับว่าไม่น้อยเลยครับในสมัยนั้น

๓. รักมิตร หรือ รักบัณฑิต ในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถมากในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการปกครอง การค้าขายกับต่างประเทศ (รัชกาลที่ ๒ ทรงสัพยอกท่านว่า"เจ้าสัว") ได้มีการเริ่มต้นเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศอันได้แก่ อังกฤษ, อเมริกา ฯลฯ โดยเริ่มต้นจากการค้านั่นเอง ดังนั้นจึงเป็นยุคที่ทรงโปรดปรานชุบเลี้ยงคนที่ตั้งใจทำราชการอย่างจริงจัง มากกว่าพวกประจบสอพลอ

๔. สนิทธรรม ในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า พระองค์ท่านทรงออกผนวชนานถึง ๒๗ พรรษา ตลอดรัชกาลที่ ๓ เลยก็ว่าได้ จะเรียกว่าบวชลี้ภัยการเมืองก็ได้ เพราะขนาดออกบวชแล้ว ยังไม่วายูกใส่ร้ายป้ายสี ว่าจะก่อการกบถเลยครับ(ดีนะครับที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๓ ท่านทรงมีน้ำพระทัยหนักแน่น เยือกเย็น ไม่หูเบา) ดังนั้นเมื่อพระองค์ท่านลาสิกขาขึ้นครองราชย์ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของข้าราชบริพารจึงทรงฝักใฝ่ใธรรม สนับสนุนการเผยแพร่จริยธรรม ตลอดจนการพระศาสนาต่างๆ พระองค์เองก็ทรงชุดขาวถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ฟังธรรมทุกวันธรรมสวณะจึงเรียกยุคนี้ว่า"ยุคสนิทธรรม"

๕. จำแขนขาด ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดเป็นยุคที่น่าเศร้าใจอีกยุคสมัยหนึ่ง เพราะเป็นสมัยที่พวกตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ mและฝรั่งเศส กำลังแข่งขันกรีฑาทัพเข้ายึดประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเซีย เป็นเมืองขึ้น หรือที่เรียกกันว่า "ยุคล่าอาณานิคม" เมืองสยามของไทยเรานั้น เป็นเมืองรักสงบ เปรียบเสมือนลูกแกะ ไม่มีเขี้ยวเล็บอะไรที่จะไปต่อกรกับชาติมหาอำนาจอย่างกับอังกฤษและฝรั่งเศส ประเทศเพื่อนบ้านรอบ ๆ ไทยเรา ก็โดนเขากวาดเรียบไปหมดแล้ว เหลือพี่ไทยอยู่เจ้าเดียวเท่านั้น ดังนั้นในสมัยนี้ ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส จึงบีบไทยทุกด้าน หาเรื่องทุกอย่าง ที่จะเป็นเหตุยกทัพบุกยึดประเทศให้ได้ 

แต่ด้วยพระปรีชาญาณแห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง พระองค์ได้ดำเนินวิเทศโยบายอย่างรัดกุม ทรงเสด็จประพาสยุโรป ถึง ๒ หน รวมไปถึงรัสเซียมหามิตรของไทยในสมัยนั้นด้วย นับว่าเป็นผลสำเร็จอย่างดีเยี่ยมเพราะไทยเราได้เพื่อนเอาไว้เป็นไม้กันหมา ถึงกระนั้นก็เถอะ ไทยเรายังต้องยอมเสียดินแดนส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ คือไม่ให้เกิดสงครามจนเราแพ้ต้องเสียเอกราช คือเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ร.ศ ๑๑๒ หรือ พ.ศ. ๒๔๓๖) แก่ฝรั่งเศส หลังจากที่ในปี พ.ศ๒๔๓๑ ได้เสียแคว้นสิบสองจุไทย ให้มันไปแล้ว (ขออนุญาตใช้คำว่ามัน เพราะพฤติกรรมเยี่ยงอันธพาล) 

ต่อมามันก็หาเรื่องอีก ได้ถอนทัพเรือไปยึดจันทบุรีเอาไว้ ไทยต้องยอมมันอีก โดยยกดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง และเมืองหลวงพระบาง ให้เจ้าเศษฝรั่งไปครอบครอง ให้ไปร้องไห้ไปล่ะครับ ให้จนกว่ามันจะพอใจหรือไม่สามารถหาเรื่องเราได้อีกแล้ว ต้องจำแขนขาดเพื่อรักษาชีวิต หรือผืนดินแผ่นใหญ่เอาไว้ให้ลูกหลานจนทุกวันนี้ (เรื่องของไอ้เศษฝรั่งนี่มันยังทำแสบ โดยวางแผนปลงพระชนม์รัชกาลที่ ๕ เมื่อคราวเสด็จประพาสบ้านเมืองของมันอย่างแยบยล เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามอ่านในตอน "คำพยากรณ์หลวงปู่เอี่ยม กับ ร.๕" ส่วนอังกฤษนั้น ค่อยยังชั่วน้อยหน่อย ไม่ถึงกับพาลหาเรื่องนัก โดยในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ ไทยเรายอมทำสัญญา ยกดินแดนหัวเมืองทางมาลายู คือ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส ให้อังกฤษ เพื่อแลกกับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต หรือ อำนาจศาลกงสุล

๖. ราษฏร์โจร (ราชโจร) ในสมัยรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุคที่ไทยเรามีการนิยมของนอก มีการฟุ้งเฟ้อ เอาอย่าง เลียนแบบ วัฒนธรรมตะวันตก โดยเฉพาะในหมู่ข้าราชบริพาร ขุนน้ำขุนนางในราชสำนัก มีการแต่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์กันมากเกินไป จนแทบจะไม่มีความหมาย เป็นยุคเริ่มต้นแห่งภัยพิบัติในด้านเศรษฐกิจที่จะตามมาในยุคต่อไป การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน ทำลายแผ่นดินทางอ้อม ในสมัยนี้มีผู้คิดปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเหมือนกัน แต่ทำไม่สำเร็จกลายเป็นกบฎไป (กบฎ รศ.๑๓๐)

๗. ชนร้องทุกข์ ในสมัยรัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดเป็นยุคที่ผู้คนพลเมืองต้องประสบกับภาวะ "ข้าวยากหมากแพง" ผู้คนอดอยาก แร้นแค้นด้วยสภาวะเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ และผลสืบเนื่องมาจากการฟุ้งเฟ้อในรัชกาลก่อน มีการปลดข้าราชการออกเพราะไม่มีเงินเบี้ยหวัด เงินปีให้ เป็นสมัยที่เริ่มให้ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงร้องทุกข์ แสดงความคิดเห็นจนกระทั่งมีการกระทำที่รุนแรงถึงขั้นปฏิวัติยึดอำนาจ ให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์ มาเป็นประชาธิปไตย จนในที่สุดพระองค์ต้องทรงสละราชสมบัติ และเสด็จไปสวรรคต ณ ต่างประเทศ

๘. ยุคทมิฬ ในสมัยรัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล จัดเป็นอีกยุคหนึ่งที่ประวัติศาสตร์ชาติไทยต้องจารึกไว้ไม่มีวันลืม เพราะองค์ในหลวงอันเป็นที่รักยิ่งของเรา ทรงถูกลอบปลงพระชนม์ ถึงแก่สวรรคต แม้จนกระทั่งปัจจุบันนี้ คดีก็ยังคลุมเครือ เป็นที่วิพากย์วิจารณ์ เป็นที่กินแหนงแคลงใจของคนทั่วไปถึงสาเหตุแห่งการลอบปลงพระชนม์ และผู้บงการ บ้านเมืองในยุคที่เริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ จัดเป็นยุคที่มีการแย่งชิงอำนาจ มีการปฏิวัติ รัฐประหาร เข่นฆ่าคนไทยด้วยกันเองจัดได้ว่าเป็น "ยุคทมิฬ" ยุคแห่งความเหี้ยมโหด ไร้ความปราณีและศีลธรรมอย่างแท้จริง

๙. ถิ่นตาขาว (ถิ่นกาขาว) ในยุคสมัยปัจจุบันแห่งองค์ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระภัทรมหาราชเจ้า มีชื่อเรียกยุคนี้ว่า "ถิ่นตาขาว" ซึ่งคงจะหมายถึงพวกฝรั่งตาน้ำข้าวละกระมัง เพราะเป็นยุคที่องค์พระประมุขของเรา พร้อมด้วยองค์พระราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะซีกโลกทางด้านตะวันตก นอกจากนั้นแล้วยังทรงต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากประเทศต่าง ๆ ที่มาเยือนอย่างมากมายเช่นกัน ฝรั่งตาน้ำข้าวเองก็ "อะเมซิ่งไทยแลนด์" ไม่น้อย พากันมาเที่ยวเยี่ยมเยียน ไอ้ที่ติดใจสาวไทย รสอาหารแบบไทยๆ บรรยากาศแบบไทยๆ ก็ตั้งรกรากอยู่เมืองไทยซะเลย กลายเป็นถิ่นฐานของพวกเขาไปซะแล้ว เหตุนี้กระมังจึงเรียกยุคนี้ว่า "ถิ่นตาขาว" และอีกคำหนึ่งที่เพี้ยนเสียงไปเป็น "กาขาว" ล่ะ หมายความว่าอย่างไรดี 

ตอนแรกนะผมนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ว่า "ตา" จะเป็น "กา" ไปได้อย่างไร แต่พอมาระยะ ๕-๖ ปีให้หลังมานี้ผมึง "บางอ้อ" ไม่ใช่พี่ไทยเลี้ยงอีกาสีขาวหรอกครับ เพราะกายังไงเสีย กาขนมันก็ดำวันยังค่ำ แต่ คนไทยเราไม่เจียมบอดี้ หรือไม่เจียมตนน่ะซิครับ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนสมัยรัชกาลที่ ๖ ไม่ผิดเพี้ยนเลยคือมีการนิยมของนอก มีการใช้จ่ายที่เกินตัว ฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิม อยากได้อะไรเป็นต้องได้ ขนาดลงทุนเป็นหนี้เป็นสินเขาดอกเบี้ยสูงขนาดไหนก็เอา เห็นผิดเป็นชอบ เห็นดำเป็นขาว เหมือนอีกาที่ขนดำก็อยากจะทำให้มันขาว คราวนี้แจ่มชัดหรือยังว่า ทำไมเมืองไทยถึงเป็น "ถิ่นกาขาว" หรือ"ถิ่นตาขาว" ไม่รู้ลองไปถามไอ้พวกฝรั่ง " IMF " ดู แล้วจะรู้ไปถึงก้นบี้งหัวใจ

๑๐. ชาวศิวิไลซ์ หมายถึงยุคที่ ๑๐ หรือรัชกาลที่ ๑๐ ซึ่งยังมาไม่ถึง มีผู้ตีความกันต่าง ๆ นานาเมื่อดูจากความหมายแล้ว คำนี้มาจากภาษาอังกฤษ หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง สงบสุขร่มเย็น ดังนั้นก็เป็นอันเชื่อขนมกินกันได้เลยว่า ในรัชสมัยต่อไป ประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเราจะต้องเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า มั่นคงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ประชาชนจะอยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข หน้าชื่นตาบานกันทุกถ้วนหน้า จริงเท็จประการใด กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์

จากที่มีการเล่าลือเป็นอัปมงคลว่าจะมีเพียง 10 รัชกาล พระท่านจึงเมตตาบอกต่อให้ชัดๆ อีก 2 รัชกาล

11.ไทยมหารัฐ คือยุคที่ประเทศไทยเข้าสู่ความรุ่งเรืองยิ่ง มีความเจริญทางเศรษฐกิจล้ำหน้าประเทศเพื่อนบ้านไปมาก จนทุกประเทศอยากเป็นมิตร บางเขตที่ติดต่อกันถึงกับขอมาผนวกด้วย

12.จักรพรรดิราช ด้วยพระบรมโพธิสมภารแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ปัจจุบันที่ทรงปูพื้นฐานไว้ เมื่อถึงยุคนี้ คุณาปการเหลือคณานับก็ประจักษ์ชัดแก่นานาอารยะประเทศ ถึงกับบังเกิดกระแสนิยมในระบอบกษัตริย์ บางประเทศที่สิ้นวงศ์กษัตริย์ไปแล้วก็ถึงกับมาขอพระบรมวงศ์ของไทยไปยกขึ้นเป็นกษัตริย์ของเขา พระราชประเพณีของไทยจะได้รับการถ่ายทอดและยึดถือเป็นแบบอย่าง พระมหากษัตริย์ต่างๆจึงถวายสักการะ เคารพบูชาพระมหากษัตริย์ของไทยด้วยความเป็นราชวงศ์ต้นแบบ และเป็นพระราชทายาทตรงแห่งพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าผู้ทรงทศพิธราชธรรมบริสุทธิ์อย่างไร้ข้อกังขา พระมหากษัตริย์ของไทยจึงทรงไว้ซึ่งพระราชศักดิ์สูงสุดในโลก ประดุจดังพระเจ้าจักรพรรดิรา

--------------------------------------------------------------------------------------------------

ถิ่น กาขาว
ควรจะหมายถึง ชาวจีน จำนวนมาก อพยพหนีภัยพรรคแดง
มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร มาประกอบอาชีพค้าขายจนมั่งคั่ง
และลูกจีนต่างก็รู้สึกรักในหลวง รักประเทศไทย

ถิ่น ตาขาว
ควรจะหมายถึง ยุคที่ชาวบ้านตาพร่ามัวเห็นคนพาล กลายเป็นฮีโร่ สนับสนุนให้มีอำนาจรัฐ กร่างจนสุจริตชนเกรงกลัวจนตาขาว
ชาวบ้านเห็นคนดีกลายเป็นผู้ร้าย ต่างพยายามรุมทำร้ายคนดี ขัดขวางคนดีไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสะดวก ทำให้บ้านเมืองไม่สงบ

เป็นสถานะการณ์ที่เกิดพร้อมกัน จึงเป็นยุคเดียวกัน
__________________
ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ ธรรมะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

กาขาว เปรียบดั่งเช่นผู้ปฎิบัติธรรม จะมีชีวิตอย่างเป็นสุขเพราะเข้าใจในพระธรรม เพราะความละอายเกรงกลัวต่อบาป จึงทำให้มีความเห็นถูกต้อง กาเป็นสัตว์มีขนสีดำ เหมือนมนุษย์เคยทำบาป ในเรื่องผิดศีลผิดธรรม เมื่อมารักษาศีล ปฎิบัติธรรม จึงทำให้กาดำเป็นกาขาว ตามพุทธทำนายนำมาจาก หนังสือธรรมะของแม่ชีทศพร เล่มล่าสุด เรื่องธรรมะค้าขายดีค่ะถ้าเป็นดั่งคำแปลนี้จริง เหตุการณ์นี้ก็ยังไม่เกิดตอนนี้?? เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต??
อ่านเล่นๆนะครับ
ปรีดี  ยืนยง----------------------------------------------------------------------------------------------------




บารมี

บารมี   คือคุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง บารมีในเบื้องต้นคือ ทาน ศีล ภาวนา เรื่อง ทาน ศีล- ภาวนา ขอวางไว้จะไม่กล่าวถึง ณ ที่นี้ แต่บอกไว้ก่อนดังๆว่าพุทธศาสนานี้  การสอนให้คนเป็นคนดีเป็นเพียงหลักบื้องต้น ในระดับศีลธรรมเท่านั้น   พุทธศาสนายิ่งใหญ่ ลึกล้ำพิศดารสุดพรรณา  เกินกว่าจะบรรยายให้คนธรรมดาสามัญเข้าใจได้ แม้การเหาะเหินเดินอากาศ ล่องหนหายตัว ปลุกเสก เลขยัณต์ คงประพันชาตรี อาจเป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับมนุษย์ทั่วไป แต่สำหรับพุทธศาสนาแล้ว "ไม่ใช่ " เป็นข้อห้าม ห้ามโอ้อวด ให้ศาสนาของพระองค์มัวหมอง เป็นเครื่องขัดขวางการบรรลุ


พุทธศาสนา  บัญญัติเรื่องการสร้างบารมีไว้ 10 ประการ หรือทศบารมี เป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้นำสูงสุดต้องพึงปฏิบัติเพื่อที่จะบรรลุคุณธรรมชั้นสูง เมื่อบำเพ็ญถึงชั้นสูงสุด ทางโลกจะได้เป็นพระมหาจักรพรรดิ์ ทางธรรมก็จะบรรลุขั้นพระพุทธเจ้า หรือแม้แต่การเป็นผู้นำองค์กรใดๆก็พึงปฏิบัติเช่นกัน เพื่อเพื่อนำพาองค์กรให้ พัตนาให้รุ่งเรือง สูงสุด พิชิตและทำลายปัญหาทุกประการ อันเป็นขวากหนามที่คอยขัดขวางการนำพาองค์กรให้บรรลุถึงที่หมาย  เพราะปกติธรรมดาของสังคมเมื่อเล็กปัญหาก็เล็ก เมื่อโตปัญหาก็โตตามมา ยิ่งเด่นก็ยิ่งมีคนอยากโค่น  คนยิ่งมากยิ่งมากเรื่อง ทั้งจากเรื่องภายใน จากคู่แข่งขันภายนอก ที่หาโอกาศโจมตี  สารพัดปัญหาที่จะค่อยๆตามมา  การสร้างบารมี จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบุคคลที่ด้องเป็นผู้นำในทุกระดับ  มีทานบารมี, ศีลบารมี, เนกขัมมบารมี, ปัญญาบารมี, วิริยะบารมี, ขันติบารมี, สัจจบารมี, อธิษฐานบารมี, เมตตาบารมี, อุเบกขาบารมี โดยรายละเอียดท่านก็หาอ่านได้ง่ายๆตามหนังสือหรือเวปไซด์ทั่วไป 

 ทำไมต้องบำเพ็ญบารมี  จำเป็นหรือไม่ หากถามผม ผมก็จะตอบว่าจำเป็นอย่างยิ่งครับ  เพราะหากเราไม่บำเพ็ญบารมี เราก็จะไม่สามารถกระทำการงานใดๆให้สำเร็จลุล่วงได้ หรือแม้แต่การใช้ชีวิตให้เป็นปกติสุขก็มิอาจทำได้  เพราะสภาพความเป็นจริงของชีวิตจักมีมารอยู่มากมาย (มาร ตามหลักพุทธศาสนา แปลว่าผู้ขวางความสุข ขวางการบรรลุ) การบำเพ็ญบารมีเป็นการปฏิบัติ เพื่อพัตนาตนเอง ทั้งทางกาย และจิตวิญญานไปพร้อมกัน จะใช้เพียงร่างกายและ  สมอง อย่างเดียวไม่ได้  

หากถามว่า :  การบำเพ็ญบารมีจะบำเพ็ญเพียงบารมีหนึ่งบารมีใดได้หรือไม่  ตอบว่าได้ ก็ยังดีหากไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่หรือร่ำรวยมากมาย   แต่หากยิ่งใหญ่หรือร่ำรวยยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งต้องสร้างบารมีให้ครบถ้วนมิเช่นนั้นจะเกิดปัญหาขึ้นมากมาย เคยเห็นมากับตามิใช่นิทานชาดก  คนรวยระดับมหาเศรษฐี หรือคนเก่งหรือผู้ใหญ่บางรายที่วิถีชีวิตจะต้องเจ็บปวดและขมขื่นจนตาย บางทียิ่งใหญ่มากเกินไปก็อาจกลายเป็นทรราชย์ได้้เหมือนกัน  ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อท่านเหล่านั้น  ซึ่งท่านสามารถหามาอ่านเพื่อพิจณาดูได้ไม่ยาก ว่าเขาลืมสร้างบารมีใดไปบ้าง




การสร้างสมบารมีที่เห็นง่ายๆ คือการเป็น พ่อ แม่ การเป็นพ่อแม่ที่ดี ตนเองก็ต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อลูก เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ลูก เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งมั่นคงให้แก่ลูก  จึงต้องใช้ทั้งหมดทุกบารมี เพราะการเลี้ยงลูก ต้องให้ ต้องเสียสละแทบทุกอย่าง  เรื่องจะเอากลับคืนนั้นแทบไมมีเลย  การเป็นสามี ภรรยา เป็นครอบครัวเป็นหน่วยพื้นฐานขององค์กร ที่ต้องบริหารจัดการ  คนน้อย แต่ต้องรับผิดชอบเยอะ ต่อ ทรัพย์ที่มีและที่หามา ต่อเครื่องอุปโภคบริโภค ต่อแรงต้านจากความคิดและอารมย์ ของบุคคลในครอบครัว เพราะโดยธรรมชาติของคนที่เกิดมาทุกคนก็ล้วนมีกิเลสตัณหา และบ่วงกรรมติดตัวมา อยู่ไกลไม่เป็นไร อยู่ใกล้กันเมื่อไหร่ แล้วมีเรื่องให้ยุ่งจนได้ เห็นมามากมาย ที่คิดว่าดีแสนดี เห็นยังยังพังมาแล้วหลลายราย

การเรียนหนังสือ การไปโรงเรียน ปัญหาจากครู จากเพื่อน จากเวลาเดินทาง จากการเจ็บป่วย การเรียนการสอบฯ หรือแม้แต่เด็กเกเรนักเลงหัวไม้ ติดเกมส์  การเป็นลูกน้อง ลูกจ้าง การดื่ม การเที่ยว ฯลฯ ล้วนเป็นประสบการณ์ ชีวิตที่มีค่ายิ่งทั้งนั้น   หากเมื่อถึงเวลาหนึ่งที่เราสามารถหยุด พิจรณา ทบทวน ตรึกตรอง ฯ สิงเหล่านี้ก็เป็นส่วนเสริมให้เรานำมาเป็นฐานในการสร้างบารมีได้ ทั้งสิ้น  ยกตัวอย่างคนที่ไม่เคยเป็นลูกน้อง ไม่เคยเป็นลูกจ้างใคร วันหนึ่งเมื่อได้เป็นเจ้านาย เป็นเจ้าของกิจการ เจอลูกน้องที่ประหลาดๆ นิสัยแย่ๆ ก็อาจเกิดจุดบอดต่อการเข้าใจได้เช่นกัน   อาจทำการใดๆให้กระทบขวัญและกำลังใจต่อคนอื่นหรืออาจสร้างศัตรูขึ้นมาโดยไม่ สมควร  ไม่เหมือน คนที่เคยเป็นลูกจ้าง ที่เคยเกเร เคยขี้เมามาก่อน  คนพวกนี้เมื่อถึงวันที่มีสติ ระลึกได้ จะเข้าใจคนชั้นล่าง คนที่มีปัญหาได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ ๆ คือสิ่งที่ตัวอักษรบอกให้เข้าใจไม่ได้



มีผู้บริหารฝ่ายบุคคลองค์กรใหญ่ๆ  บางคนเล่าให้ผมฟังว่าเคยผิดพลาดในการเลือกใช้คน   รับสมัครงานเลือกคนเรียนเก่งเกียรติ์นิยมอันดับ ๑ อันดับ ๒ มาร่วมงานด้วย บางคนก็ทำเสียงาน  เพราะว่าเรียนเก่งก็จริง แต่ก็เก่งแต่เรียนทำไรไม่ได้มากกว่านั้น บางคนปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้เลย   สมัยนี้คนเรียนเก่งมากๆจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็นของฝ่ายบุคคลที่องค์กรต้องการ เพราการเรียนเก่ง หลายคนเก่งเพราะมีโอกาสและทรัพยาการในการเรียนพร้อม  แต่คนเก่งจริงไม่น้อยที่ไม่เก่ง เพราะเขาเป็นเพียงผู้ขาดโอกาส ขาดอุปกรณ์  หรืออาจมัวสนุกสนานเพลิดเพลินโดยที่ยังไม่ได้เริ่มเรียนจริงๆเลยก็เป็นได้  พึงตระหนักไว้ด้วย 

พราะฉะนั้น การเป็นผู้นำ การเป็นเจ้าของกิจการทั้งหลาย  ไม่ใช่จะได้มาและรักษาไว้ได้ง่ายๆ ต้องผ่านการฝึกฝนและเพาะบ่มมากมาย จนกลายเป็นบารมีอันแก่กล้า มีตัวอย่างให้เห็นมากมายสำหรับข่าวสารในสมัยนี้  บางท่านอาจเรียนสูง แต่หลายท่านก็แทบไม่ได้ผ่านการเรียนหนังสือจากสถาบันใดเลย แต่เก่งแกร่ง และรู้จัดการได้รอบด้าน ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมากมายทั่วโลก  ท่านเหล่านี้มีเหมือนกันทุกคน คือการบำเพ็ญบารมีอย่างยิ่งยวด เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกผู้นำต้องทำ

กลียุค

กลียุค  5 may 2013
กลียุค (อ่านว่า กะ -ลี-ยุก) มาจากคำภาษาสันสกฤต แปลว่า ยุคซึ่งมีชื่อว่ากลี (อ่านว่า กะ -ลี), ยุคที่โชคร้าย, ยุคที่มีแต่การทะเลาะวิวาท เป็นชื่อยุคที่คนอินเดียโบราณเชื่อว่าเป็นยุคสุดท้ายก่อนที่โลกและจักรวาลจะถูกทำลาย


กลียุค - กาลี -กาลกิณี - คำที่คล้ายๆ กัน ความหมายไปทางเดียวกัน คือจบสิ้นกาลหนึ่ง รอบหนึ่ง จักรหนึ่งหรือ ยุคหนึ่ง หรือทั้งหมื่นโลกธาตุ

กลียุค - สมัยหนึ่งไม่รู้เมื่อไหร่ และที่ไหน เมื่อโลกธาตุถูกขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วและแรง ทำให้บ้านเมืองเกิดสว่างไสวไร้กลางวันกลางคืนประดุจเมืองนรก และหรือสวรรค์ ผู้คนเก่งกล้า เจริญด้วยความรู้ มีเครื่องปัจจัยไทยทานมากมาย เครื่องมือสื่อสารยานพยนต์จักรกลสมบูรณ์ ล้ำยุค แต่มิอาจเจรจาพาทีให้เข้าใจกันได้ สุดท้ายก็ถูกความโลภโมโทสันครอบงำจิตวิญญาน การแบ่งปันกันไม่พอดีลงตัว ความขัดแย้ง และไฟโทสะก็เกิดลุกลามขึ้นทั่วแผ่นดิน ผู้หลักผู้ใหญ่อันเป็นที่เคารพยึดถือของบ้านเมือง ตั้งแต่ ชั้นพรหม เทวดา พระมหากษัตริย์ องคมนตรี เสนาอำมาตย์ นายกฯ รัฐมนตรี ทั้งฝ่ายพระศาสนจักร พระสงฆ์ อุสตาด โต๊ะอิหม่าม ฯ ถูกหยาม ถูกฆ่า ถูกด่าเยาะเย้ยหยัน ไปทั่วแผ่นดิน มิอาจพูด มิอาจเจรจา มิอาจดำเนินการใดๆให้เข้าใจออมชอมกันได้ สุดท้าย ก็ต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีการเดิมๆ แบบโบราณ คือรบกัน ด้วยอาวุธ ยิง แทง ระเบิด เผาทำลาย ชีวิตและทรัพย์สิน จนพินาศสิ้น ช่างอนาดจริงหนอมนุษย์


ฟังเพลงกลียุค 2000 ขับร้องโดยคุณ จรัล  ภักดีธนากุล หนึ่งในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ




มิคสัญญีกลียุค http://www.oknation.net/blog/print.php?id=54480

                                                                                   มีต่อ